ประกาศผลสอบแอดมิชชั่นแต่ละปี ถ้าเราไม่ได้มีลูกหลานหรือญาติสนิทต้องลุ้นผลสอบแล้ว ก็คงไม่ค่อยได้ติดตามผลกับเขาเท่าไหร่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผลสอบรับตรงต่างๆ หรือผลสอบ กสพท ที่ยิ่งเฉพาะทางเข้าไปอีก จะมีให้เห็นตามสื่อบ้างก็คงเป็นที่หนึ่งของประเทศแต่ละปี หรือไม่ก็อภินิหารคำตอบในข้อสอบ ที่ก็ติดตามกันจนเป็นเรื่องปกติ
แต่ปีนี้ประกาศผล กสพท มีชื่อของ รวิสรา โล่สุวรรณกุล หรือ โน้ต ที่ทำให้หลายคนสนใจการประกาศผลครั้งนี้ขึ้นมา เพราะสิ่งที่เธอเพิ่งทำสำเร็จไม่ใช่เรื่องที่จะเห็นกันได้ทุกปีเมื่อไหร่ การเป็นเด็กม.ปลายสายศิลป์ แถมยังเป็นนิเทศศาสตร์บัณฑิตไปแล้วเรียบร้อย แต่ยังตัดสินใจสอบเข้าคณะแพทย์ที่ต้องเรียนต่ออีก 6 ปีเป็นอย่างต่ำ ที่สำคัญคือเธอทำได้ด้วย หลังจากพยายามมา 3 ปี ตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรีใบแรกจากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตอนนี้ก็เป็นว่าที่นิสิตคณะแพทยศาส
รู้ๆ กันว่าการสอบแอดมิชชั่นไม่ใช่เรื่องง่ายสักเท่าไหร่ เอาแค่การพลาดสอบปีแรก แล้วจะซิ่วใหม่เพื่อทำตามความฝัน หลายคนก็คิดหนักแล้ว ยิ่งคนที่เรียนจนได้ใบปริญญาไปประกอบอาชีพได้ มันก็ยิ่งมีทางเลือกที่สุดท้ายอาจเก็บความฝันวัยเด็กเอาไว้แล้วอยู่กับชีวิตตรงหน้า ซึ่งจะเลือกทางไหนก็ไม่มีใครบอกได้ว่าผิดหรือถูก แต่การตัดสินใจไล่ตามความฝันวัยเด็กก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายที่ทำได้ทุกคน เราเลยอยากคุยกับเธอคนนี้สักหน่อย ในฐานะที่เรื่องนี้น่าจะเป็นได้ทั้งแรงบันดาลใจและเคสตัวอย่างสำหรับเด็กสายศิลป์หลายๆ คน ที่อาจจะยังไม่รู้ว่าเรียนสายศิลป์ก็มีสิทธิสมัครสอบเข้าเรียนหมอได้เหมือนกัน
The MATTER : มารู้ตัวว่าอยากเป็นหมอตอนไหน
โน้ต : จริงๆ อยากเป็นหมอมานานเด็กๆ แล้วค่ะ แต่ตอนวัยรุ่นก็มีช่วงที่ตั้งคำถามกับตัวเองกับโลกเยอะๆนะ กลัวการไม่เป็นตัวเองแบบสุดโต่ง ใครบอกให้ไปทางซ้ายจะไปทางขวาให้ดูเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าเราไม่ต้องตามใคร กลายเป็นว่าแทนที่จะเรียนหมอตามที่ตัวเองอยากทำ แถมใครๆ ก็บอกว่าเป็นหมอดูเหมาะกับเรา ต้องเรียนสายวิทย์เลยนะอยากเป็นหมอเนี่ย โน้ตเลยมองว่าหรือจริงๆ ยังมีอะไรอีกเยอะที่น่าสนใจล่ะแล้วก็ดื้อหนีไปเรียนสายศิลป์เสียเลย
พอเบี่ยงมาสายศิลป์ก็เรียนตามที่สนใจมาเรื่อยๆ เก็บความฝันที่อยากเป็นหมอไว้เงียบๆ พอมาช่วงประมาณปลายปี 3 ได้รู้ว่าสายศิลป์ก็มีสิทธิสอบหมอผ่านระบบ กสพท ได้ก็ดีใจนะที่เขาเปิดกว้าง แต่ก็ยังสนุกกับการเรียนนิเทศและคิดว่าน่าจะมีงานที่เหมาะกับเรา จนใกล้ๆ จบนั่นแหละ ที่เพื่อนหลายคนที่มีเป้าหมายชัดเจนเขาจะไฟแรงมาก เตรียมจะพุ่งตัวออกไปสู่โลกการทำงานแล้ว แต่โน้ตยังเคว้งว่าไปทางไหนดี อยากเป็นอะไรก็ตอบตัวเองชัดๆ ไม่ได้ มีแต่เรื่องเรียนหมอที่เราแน่ใจมาตลอด ถึงตอนนี้เลิกดื้อกับตัวเองแล้ว เลยตัดสินใจว่าจะสอบหมอ คุยกับครอบครัวว่าโอเคไหม ครอบครัวก็สนับสนุนในสิ่งที่เราอยากเป็นก็ถึงเวลาสู้
The MATTER : การเป็นเด็กสายศิลป์ที่ต้องมาสอบกสพท.แข่งกับเด็กสายวิทย์ มันยากกว่าไหม แล้วต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง
โน้ต : ถ้าในวัยของโน้ตเองคือจบปริญญาตรีมาแล้วไม่ได้คิดว่ายากไปกว่าการเตรียมตัวของคนจบสายวิทย์มาค่ะ ขนาดวิชาเลขที่เคยโดนเคี่ยวมาหนักๆ สมัยม.ปลายที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษายังลืมเกลี้ยงได้เลย นับประสาอะไรกับฟิสิกส์ เคมี ชีวะ แต่ถ้าอย่างเรียนม.ปลายอยู่สายศิลป์จะต้องไปเรียนเพิ่มหรือศึกษาวิชาสายวิทย์เอง โน้ตว่าหนักประมาณนึงเลยนะ ต้องใช้พลังกายพลังใจมหาศาลเลย ไหนจะค่าเรียนพิเศษอีกล่ะ ถ้าใครยังอยู่ม.4 แล้วเจอตัวเองว่าอยากเรียนคณะทางสายวิทย์ก็จะแนะนำให้เริ่มเรียนม.4 สายวิทย์ใหม่ค่ะ ส่วนการเตรียมตัวอย่างแรกเลยคือประเมินตัวเองว่ายังไม่รู้อะไรบ้าง จะเรียนอะไรเพิ่มบ้าง หรือมีส่วนไหนที่อ่านหนังสือเองได้ แพลนเรื่องตารางเวลาไว้คร่าวๆ ว่าควรจะเก็บเนื้อหาจบเมื่อไหร่ ควรเว้นระยะให้กลับมาทบทวนกับทำข้อสอบเก่าก่อนสอบเท่าไหร่ แล้วก็ลุยเลย แต่สิ่งสำคัญ 2 อย่างคือต้องมีวินัยกับตัวเองมากๆ และรักษาพลังใจตัวเองให้ดีๆ
จนใกล้ๆ จบ…เพื่อนหลายคนที่มีเป้าหมายชัดเจนเขาจะไฟแรงมาก เตรียมจะพุ่งตัวออกไปสู่โลกการทำงานแล้ว แต่โน้ตยังเคว้งว่าไปทางไหนดี…มีแต่เรื่องเรียนหมอที่เราแน่ใจมาตลอด
The MATTER : การเรียนสายศิลป์กับนิเทศศาสตร์มาก่อนมันให้อะไรเราบ้าง
โน้ต : ใช้คำว่ามหาศาลยังไม่พอเลยค่ะ การเรียนสายศิลป์กับนิเทศศาสตร์เป็นการเปิดโลกเปิดวิธีคิดมุมมองใหม่ๆ ตั้งแต่เด็กๆ โน้ตค่อนข้างมองโลกแบบวิทยาศาสตร์จ๋าเอาเรื่องเพราะสนใจทางนั้นมากกว่า แต่พอมาทางสายศิลป์แถมมาเรียนนิเทศต่อเราได้ฝึกที่จะมองโลกในเชิงความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ละเมียดกับชีวิตมากขึ้น สุนทรีย์มากขึ้น ยิ่งคณะนิเทศศาสตร์นี่นอกจากให้ความรู้ด้านการสื่อสารต่างๆ แล้ว วัฒนธรรมคณะก็ช่วยเสริมในสิ่งที่โน้ตขาดไปอย่างการกล้าคิด กล้าลอง ใครจะว่าบ้าอะไรก็ตามแต่เราเต็มที่หมด จะไม่มีใครมาเบรคกันว่านี่มันแปลกมากอย่าทำเลยหรือทำไม่ได้หรอกอย่าไปเสียเวลา ซึ่งนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้กล้ากลับมาสอบหมอตามที่ตั้งใจด้วย
The MATTER : ถ้าเป็นคนอื่น เรียนจบป.ตรีแล้ว พลาดสอบครั้งแรกไปแล้ว ก็คงจะยอมแพ้ อะไรที่ทำให้ยังสู้ต่อ
โน้ต : โน้ตเชื่อว่าความสำเร็จจะเป็นของคนที่พยายามมากพอ และเชื่อว่าตัวเองมีศักยภาพที่จะทำได้ด้วย แต่ต้องไม่ใช่พยายามสะเปะสะปะ เดี๋ยวจะท้อแท้ว่าทำไมลงแรงไปมากแต่ผลที่ได้มากลับน้อยเหลือเกิน แล้วก็ไม่ใช่หลอกตัวเองว่าสุดท้ายเดี๋ยวก็ทำสำเร็จทั้งที่วันนี้เรายังไม่ได้เรื่องอยู่เลยด้วย อย่างหลังนี่โน้ตเคยเป็นมาแล้ว ติดกับดักความมั่นใจของตัวเอง แต่วันที่ได้สัมผัสความล้มเหลวแล้วได้ยอมรับกับตัวเองว่า เออ วันนี้เราห่วยมาก ต้องแก้ใหม่แล้วล่ะ มันเป็นโมเมนต์ที่ดีมากคือยอมรับตัวเองได้โดยที่ไม่เสียเซลฟ์หรือเสียความมั่นใจไปเลย แต่เรามั่นใจแบบมีสติมากขึ้น
วัฒนธรรมคณะนิเทศศาสตร์ช่วยเสริมในสิ่งที่โน้ตขาดไปอย่างการกล้าคิด กล้าลอง…ซึ่งนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้กล้ากลับมาสอบหมอตามที่ตั้งใจด้วย
The MATTER : ระหว่างทางที่เตรียมตัวและสอบ ช่วงเวลาไหนที่ผ่านมายากที่สุด
โน้ต : ตอนที่เห็นเพื่อนๆ ทำงานมีเงินเป็นของตัวเองค่ะ ยิ่งปีแรกที่เรียนจบนี่เห็นเพื่อนเงินเดือนออก ไปกินข้าว ไปเที่ยวต่างประเทศทีโน้ตกลับมานั่งน้ำตาตกถามตัวเองว่านี่ทำอะไรอยู่ อายุยี่สิบกว่าแล้วยังมานั่งเรียนพิเศษกับเด็กๆ อีก ให้เงินที่บ้านก็ไม่ได้ ทั้งเฟลทั้งรู้สึกผิด แต่พอได้ไปทำงานมีเงินกับเขาบ้างถึงได้รู้ว่าภาพที่เคยจินตนาการไว้ไม่ใช่สิ่งที่โน้ตต้องการขนาดนั้น และจุดที่เติมเต็มชีวิตจากการทำงานของเพื่อนเราก็คงไม่ใช่แค่ได้เอาเงินไปเที่ยวสนุกๆ กินอะไรอร่อยๆ เหมือนกัน ชีวิตมันต้องมีมากกว่านี้ เราอยากจะทำในสิ่งที่เราเชื่อและเห็นคุณค่าของมันมากกว่าแค่ได้เงิน ซึ่งทางครอบครัวก็อยากให้โน้ตได้เป็นในสิ่งที่อยากเป็นเหมือนกันแล้วก็พร้อมสนับสนุน โน้ตเลยผ่านจุดที่ยากที่สุดนั้นมาได้
The MATTER : มองภาพตัวเองในฐานะคุณหมอในอนาคตไว้ยังไงบ้าง
โน้ต : จริงๆ ตอนนี้ใจคิดแต่อยากจะตั้งใจเรียนหมอให้ดีที่สุดก่อน แต่ในอนาคตก็อยากเป็นคุณหมอที่ได้ใช้ความรู้ทางด้านนิเทศศาสตร์ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ค่ะ โน้ตคิดว่าความรู้ในการสื่อสารหลายๆ อย่างพอมาใช้ส่งเสริมความรู้ทางการแพทย์จะทำประโยชน์ให้กับสังคมได้อีกเยอะเลย อาจจะช่วยเสริมเรื่องการเผยแพร่ความรู้ การรณรงค์ต่างๆ แต่ตรงนี้ก็ต้องรอดูตอนเข้าไปเรียนก่อนค่ะ
The MATTER : ยังมีอีกหลายคนเลยที่มีปัญหาว่าไม่รู้ว่าตัวเองอยากเรียนหรืออยากเป็นอะไร หรือแม้แต่เรียนไปแล้วแต่รู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเอง เรื่องนี้มันคงไม่มีสูตรสำเร็จในการหาคำตอบ แต่พอจะมีคำแนะนำอะไรที่พอจะให้กับคนที่กำลังมีปัญหานี้อยู่บ้าง
โน้ต : อ่านเยอะๆ ฟังเยอะๆ ลองทำเยอะๆ และจริงใจกับตัวเองแต่ไม่ต้องไปกดดันตัวเองค่ะ เดี๋ยวนี้เหมือนเรามีกรอบกันว่าคนเราจะประสบความสำเร็จได้ควรจะค้นพบตัวเองแต่เนิ่นๆ เผลอๆ คิดว่าควรจะเจอตัวเองก่อนเลือกสายการเรียนตอนอายุ 15 ด้วยซ้ำ โน้ตว่ามันเป็นความคาดหวังที่แปลกมาก แต่ในความเป็นจริงมันอาจจะไม่ใช่ หรือเราอาจจะไม่มีวันเจอสิ่งที่ใช่สุดๆ เลยก็ได้ แต่อย่างน้อยเราทำในสิ่งที่เรามีโอกาสอย่างเต็มที่เสมอเราจะไม่ต้องเสียใจทีหลัง เพราะความรับผิดชอบ ความพยายามทุ่มเทให้กับงานหรือการเรียนจนมันออกมาดี มันก็เป็นรางวัลในตัวเองอยู่แล้วค่ะ