สงสัยไหมว่า แผ่นดินไหวตั้งไกล แต่ทำไมตึกสูงโยกแรง?
จากเหตุการณ์ตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มจากแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา นอกเหนือจากความช่วยเหลือที่ยังดำเนินอยู่แล้ว มีการออกมาตั้งคำถามถึงเรื่องการก่อสร้าง วัสดุ อุปกรณ์ที่ใช้ รวมถึงการใช้งบประมาณของภาครัฐในการก่อสร้าง
แต่สิ่งที่น่าตั้งคำถามต่อมา และอาจเป็นอีกส่วนที่มองข้ามไปไม่ได้เลย คือ ‘พื้นดิน’ ที่เป็นรากฐานของสิ่งปลูกสร้างทุกอย่าง ว่ากันว่า ดินในกรุงเทพฯ เป็นดินเหนียวที่อ่อนนุ่มที่มีความยืดหยุ่นสูง จนเกิดเป็นข้อสงสัยต่อมาว่า ดินในกรุงเทพฯ เหมาะกับงานวางรากฐานจริงๆ หรือไม่?
เพื่อให้เข้าใจเรื่องดินในกรุงเทพฯ มากขึ้น The MATTER จึงพูดคุยกับ สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ นักวิชาการด้านวิศวกรและนักธรณีวิทยาอาชีพ จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เกี่ยวกับประเด็นดินกรุงเทพฯ และความเหมาะสมในการก่อสร้าง รวมความเสี่ยงของสิ่งปลูกสร้างบนดินเมื่อเกิดภัยพิบัติ

Photographer: Asadawut Boonlitsak
“ดินกรุงเทพฯ เป็นดินอ่อน ที่เราอาจจะเคยเรียนกันตอนเด็กๆ ว่ามันเป็น ‘ดินตะกอนปากแม่น้ำ’ (Bangkok Clay) ก็เหมือนในแม่น้ำมันมีตะกอนแล้วก็ทับถมกันเป็นชั้นๆ ดังนั้น ดินพวกนี้เลยมีความอ่อน, นุ่ม” อาจารย์สุทธิศักดิ์เริ่มเล่า
“แต่ว่าตะกอนที่ว่ามันมีมาตั้งประมาณ 10,000 ปีที่แล้ว ก็คือพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลมันเป็นทะเลหมด แต่เมื่อเวลาผ่านไปมันก็ค่อยๆ ตื้นขึ้น ประกอบกับน้ำทะเลลดลง ความเข้มข้นน้อยลงจนแผ่นดินมันงอกขึ้นมา และหลังจากที่แผ่นดินมันงอก เราก็เข้าไปอยู่อาศัยได้” อาจารย์สุทธิศักดิ์กล่าวพร้อมยกตัวอย่าง ‘ป่าชายเลน’ เป็นตัวอย่างของพื้นดินที่น้ำกำลังเริ่มลดและเกิดเป็นแผ่นดินใหม่ๆ
อาจารย์สุทธิศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับดินอ่อน ความหนาจะมีลักษณะเท่ากับความลึกของทะเลในสมัยก่อน ซึ่งสมัยก่อนทะเลโบราณที่เป็นพื้นที่กรุงเทพฯ อยุทธยา มีความลึกอยู่ประมาณ 10-20 เมตร ดังนั้น ดินอ่อนที่เราอยู่อาศัยทุกวันนี้ มันก็มีความลึกอยู่ประมาณ 12-13 เมตร หรือบางที่ก็ลึกกว่านี้
“แต่วิธีที่จะเข้าใจได้ง่ายๆ มองให้มันใกล้ตัวเรามากขึ้น ให้มองเวลาเราจะก่อสร้างอาคารในพื้นที่กรุงเทพฯ ทุกอาคารเราจะต้องตอกเสาเข็ม ซึ่งการตอกเสาเข็มจะส่งถ่ายแรงของบ้านเราให้มันทะลุชั้นดินอ่อนลงไป และให้ปลายเสาเข็มไปอยู่ที่ดินแข็งด้านล่าง รวมๆ ก็ประมาณ 20 กว่าเมตรได้”
“เพราะฉะนั้น เรื่องดินอ่อน มันอยู่ใกล้ตัวเรามาก อยู่ตั้งแต่บ้านของเราเลย”

Photographer: Asadawut Boonlitsak
แล้วแบบนี้ ‘ดินอ่อน’ มีส่วนทำให้เรารู้สึกว่าตึกมันสั่นมากกว่าปกติหรือไม่?
“เกี่ยวเลยแหละ เพราะตัวแผ่นดินไหวแม้จะอยู่ไกลๆ แต่ที่เรายังรู้สึกก็เพราะว่าตัวดินอ่อนที่เป็นประเด็นเลย”
อาจารย์สุทธิศักดิ์ตอบ และอธิบายต่อว่า ปกติแล้วแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นไกลๆ กว่ามันจะมาถึงเราได้พลังงานเหล่านั้นก็จะยิ่งลดลงเรื่อยๆ ซึ่งในกรณีนี้ระยะห่างถึงกรุงเทพฯ คือ 1,000 กิโลเมตร มันก็จะไม่ค่อยรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนมาก
“แต่ที่มันยังรู้สึก เพราะ ‘ดินอ่อน’ นี่แหละ ที่ทำให้เรารับรู้การสั่นสะเทือนได้ แต่แรงไม่ได้เยอะ สำหรับคลื่น จะแบ่งออกเป็น 2 อย่างคือความสูงของคลื่นกับจังหวะของคลื่น ดังนั้น เมื่อมันอยู่ไกล ความสูงของคลื่นมันเลยไม่เยอะ แต่บังเอิญจังหวะที่คลื่นมันมากระทบดินอ่อน สอดคล้องกับอาคารสูง จังหวะของคลื่นเลยไปสอดคล้องกับจังหวะการสั่นของดินอ่อนพอดี” อาจารย์สุทธิศักดิ์เล่า
นอกจากนี้ อาจารย์สุทธิศักดิ์ ยังได้ยกตัวอย่างการไกวชิงช้าเพื่อให้เข้าใจมากขึ้นด้วยว่า “ตอนเราไกวเปลหรือชิงช้า ถ้าเราใช้แรงผลักในตำแหน่งที่ชิงช้ามันแกว่งมาถึงจุดที่มันกำลังจะย้อนกลับพอดี มันก็ทำให้การโยกของชิงช้ามันโยกไปเรื่อยๆ ได้ ก็เหมือนกับจังหวะการโยกของอาคารสูง ที่มันไปสอดคล้องกับการสั่นของดินพอดี”

Dirt and dust / stock
‘ดิน’ เป็นเรื่องน่ากังวลในการก่อสร้างหรือไม่?
“ในการก่อสร้าง สามารถทำได้ตามปกติในงานวิศวกรรม หากเราได้ทราบลักษณะพื้นที่ เราจะนำปัจจัยเหล่านั้นมาคิดคำนวณ และออกแบบโครงสร้างให้เหมาะสม”
อาจารย์สุทธิศักดิ์ตอบพร้อมยกตัวอย่างการสร้างบ้านในต่างจังหวัดที่ในบางพื้นที่ที่ดินแข็ง เราก็อาจจะไม่จำเป็นจะต้องตอกเสาเข็ม ขณะที่บางพื้นที่ก็สามารถใช้เสาเข็มแบบวางลงไปเฉยๆ ได้เลย
อาจารย์สุทธิศักดิ์ ยกตัวอย่างพื้นที่ที่ไม่ลงเสาเข็มอย่าง ‘ถนน’ ทั้งถนนหน้าบ้านเราเอง หรือถนนหลวง ซึ่งเราอาจจะสังเหตุเห็นว่าบนถนนหลวงนั้นจะมีการซ่อมแซมอยู่บ่อยๆ นั่นเป็นเพราะการก่อสร้างที่สร้างทับลงบนดินอ่อนโดยตรง ซึ่งปัญหาที่ตามมาคือ ทรุดตัว และทำให้น้ำท่วมขังในบางพื้นที่ “พอมันเป็นถนนราชการ หรือถนนหลวง มันก็มีการทรุดตัวเช่นกัน เพียงแต่ว่ามันปล่อยให้ทรุดแบบนั้นไม่ได้เพราะมันเป็นถนนสาธารณะ มีคนสัญจรตลอด ก็เลยจะมีการยกปรับระดับอยู่เสมอ”

Photographer: Asadawut Boonlitsak
แล้วถ้าเป็นตึก-อาคารล่ะ ไม่น่ากังวลเหรอ?
“บ้านเรามีกฎหมายควบคุมอาคารที่เกี่ยวข้องกับแผ่นดินไหวมาตั้งแต่ปี 2550 และได้มีการปรับปรุงกฎหมายอีกครั้งในปี 2564 เพราะฉะนั้น อาคารสูงที่เราเห็นส่วนใหญ่ก็สร้างกันหลังปี 2550 เยอะพอสมควร เขาออกแบบสำหรับต้านแผ่นดินไหวอยู่แล้ว” อาจารย์สุทธิศักดิ์
“ถ้ามองเป็นเรื่องสอบนะ เหมือนนักเรียนทำข้อสอบส่วนใหญ่ก็สอบผ่านกันหมดนะ แต่มีอยู่ตึกเดียวนี่แหละที่พังระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งอันนี้ผมกำลังจะเร่งเข้าไปตรวจสอบ”
อาจารย์สุทธิศักดิ์ในฐานะหนึ่งในทีมงานตรวจสอบตึก สตง.ที่ถล่มลงมากล่าว นอกจากนี้ยังระบุถึงเรื่องเสาของอาคารแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ถล่มลงมาด้วยว่า สำหรับเคสนี้ ต้องไปดูรายละเอียดของเสาที่โย้ผิดรูป แต่ส่วนใหญ่แล้วมันไม่พัง
“แต่ที่เกิดความตระหนกกังวลกันเพราะมันมีรอยแตก, รอยร้าว ส่วนใหญ่รอยแตกร้าวดังกล่าวเกิดขึ้นที่โครงสร้างรอง ซึ่งก็จะเป็นพวกโครงสร้างที่ไม่ได้รับแรง เป็นพวกผนังอิฐก่อ ซึ่งผนังแบบนี้จะไม่ได้รับแรงโดยตรง แต่เอาไว้ใช้กั้นห้องเฉยๆ” นักวิชาการผู้นี้กล่าว
Photographer: Asadawut Boonlitsak
Graphic Designer: Phitsacha Thanawanichnam
Editor: Thanyawat Ippoodom