ประเทศแบบไหนกันที่ปล่อยให้ประชาชนต้องดมฝุ่นควันประหนึ่งตายผ่อนส่ง?
คำถามที่ได้ยินซ้ำแล้วซ้ำเล่า และยังวนเวียนมาทุกปี เมื่อปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่ผ่านมาไม่เคยถูกแก้ไขที่ต้นทาง แต่เป็นการรอเวลาให้ฤดูกาลที่ฝุ่นจะหนาเวียนผ่านไปเฉยๆ และในปีนี้ ประชาชนก็ต้องเผชิญกับวิกฤตหนักอีกครั้ง โดยกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ตั้งแต่ 1 มกราคม ถึง 19 มีนาคมที่ผ่านมา ฝุ่น PM 2.5 ทำให้มีผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจราว 1.7 ล้านคน
ท่ามกลางฝุ่นควันที่ปกคลุมประเทศ โดยเฉพาะภาคเหนือที่ต้องเจอกับวิกฤตนี้อย่างหนัก เราขอพามาฟังเสียงผู้อยู่อาศัยในภาคเหนือเพื่อสะท้อนให้เห็นว่า สิทธิที่จะได้หายใจในการอากาศสะอาดของประชาชน ถูกลิดรอนไปอย่างไรบ้าง
เค็ง อาศัยอยู่อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
“หายใจไม่สะดวก แสบคอ ไม่กล้าทำกิจกรรมกลางแจ้งเช่นทำสวน ออกกำลังกายก็กังวลว่าอาจมีผลกระทบต่อสุขภาพระยะยาว”
เค็ง ผู้ที่อาศัยอยู่อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เล่าถึงผลกระทบที่ได้จากปัญหา PM2.5 โดยเธอเสริมด้วยว่า ตอนนี้ต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเอง โดยการซื้อเครื่องฟอกอากาศไว้ใช้ในบ้าน ซึ่งแต่ละเครื่องก็มีราคาแพง ไหนจะแผ่นกรองที่ราคาสูงอีก
“สิ่งที่อยากให้รัฐบาลแก้ไข คือการจัดทำเป็นนโยบายและแผนงานรัฐร่วมกันกับชุมชนอย่างจริงจังก่อนช่วงหน้าแล้ง ไม่ใช่เชิญมาทุกส่วนงานแล้วไม่แก้ปัญหา เมื่อเกิดปัญหาก็บอกว่าเป็นวิถีล้านนา แล้วโทษแต่ภาวะโลกร้อน”
มูน อาศัยอยู่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
มูน ผู้อาศัยอยู่อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย กล่าวว่า บ้านของเธอเป็นแบบ open air ทำให้เราทำงานแบบเหมาะสมไม่ได้ ต้องยกแลปท็อปเข้าห้องนอน นั่งบนพื้น ซึ่งไม่ใช่ท่านั่งในการทำงานที่ถูกต้องทำให้ปวดหลังมาก ส่งผลให้ productivity น้อยลง และทำงานช้าลง
“พออยู่ open air ก็หายใจไม่สะดวก แสบจมูกแสบตาไปหมด แม่เราผื่นขึ้นตามตัวเพราะแพ้ฝุ่นอีก จากที่เป็นคนไม่แพ้อะไรเลย แม้แต่ในบ้านก็ยังเห็นควันมัวๆ เบลอๆ นึกสภาพแบบคนทั่วไปที่เค้าต้องทำงานนอกบ้าน แม่ค้าขายของ พี่วินมอเตอร์ไซค์ ต้องอยู่นอกบ้าน 100% จะอยู่ยังไง เสื้อผ้าข้าวของมีกลิ่นควันติดเต็มไปหมด”
“อีกอย่างคือ พ่อแม่เราก็เป็นคนสูงวัยที่ไม่ค่อยฟังลูก เราเตือนตลอดว่าให้อยู่ในห้อง เปิดเครื่องฟอก ก็ไม่ฟัง คิดว่าไม่เป็นไร ขนาดค่าฝุ่นสูง 780 กว่านะ เพราะไม่มีการเตือน หรือการประชาสัมพันธ์แบบจริงจังอะไรเลย แกเลยไม่กลัวกัน”
เธอเล่าอีกว่า ตอนนี้ท้องฟ้าเป็นสีฝุ่น ออกจากบ้านไม่ได้ ออกกำลังกายไม่ได้ ทำกิจกรรมนอกบ้านไม่ได้ แค่หายใจก็ลำบากละ คุณภาพชีวิตแย่มาก ขับรถก็ทัศนียภาพไม่ดี ระยะการมองเห็นน้อยมากเพราะฝุ่นมันหนา มัวไปหมด เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุอย่างมาก
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีค่าใช้จ่ายอีกจำนวนมากที่เธอต้องเสียไป ทั้งค่าหน้ากาก อย่างหน้ากากแบบ N95 ซึ่งก็ราคาสูง ไหนจะต้องซื้อเครื่องฟอกอากาศ ไส้กรองของเครื่องฟอกอีก ซึ่งเธอมองว่าเป็นการเสียเงินที่ใช่เรื่องอย่างมาก
“เราโชคดีที่เป็นคนชนชั้นกลางที่ยังสามารถซื้อเครื่องฟอกได้ ตอนนี้ก็พยายามอยู่แต่ในห้อง เปิดแอร์คู่กับเครื่องฟอก เอาเทปมาปิดช่องว่างของหน้าต่าง ออกไปนอกห้องเฉพาะตอนทำกับข้าวกินข้าวเข้าห้องน้ำ ก็ขนาดทำขนาดนี้แล้วบางคืนยังได้กลิ่นควันเข้ามาในห้องอยู่เลย หนักจริงๆ”
“อยากให้รัฐเห็นแก่ประชาชน ข้อเดียวเลยจริงๆ หนทางแก้ไขปัญหามีเยอะมาก ต้นตอปัญหาก็รู้ๆ กัน มันไม่เกินกำลังหรอก ภาครัฐจริงๆ ฉลาด ไม่ได้โง่ แต่อยู่ที่ว่าจะทำหรือเปล่าแค่นั้น ล่าสุดทางบริหารส่วนจังหวัด/ตำบล เอาน้ำมาฉีดใส่ฝุ่น ซึ่งมันไม่ใช่แค่ไม่ได้ช่วยอะไรนะ แต่มันบอกอะไรหลายอย่างมาก เพราะรู้ว่าการที่ทางรัฐส่วนจังหวัดก็พยายามจะขยับตัว เหมือนได้ทำอะไรบ้างแล้ว พยายามแก้ไขแล้ว (แม้ว่าจะไม่ได้ผล) ก็ตาม แบบผักชีโรยหน้า มันก็ทำให้เห็นชัดจริงๆ ว่าเขาไม่ได้มองเห็นประชาชนเป็นหลัก เขาห่วงแต่ภาพลักษณ์ หรือชื่อเสียงตัวเอง ออกมาทำก็เพราะอยู่เฉยๆ ยังไงก็โดนด่า สู้ออกมาทำอะไรโง่ๆ นิดๆ หน่อยๆ ดีกว่า อย่างน้อยบางคนก็อาจจะเชื่อว่า รัฐบาลพยายามแล้ว”
อย่างไรก็ดี ปัญหาการเผาไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในไทยเท่านั้น ซึ่งมูนมองว่าประเทศเพื่อนบ้านก็เผาหนักมาก แล้วอยู่ชายแดนก็แน่นอนว่ามันก็ต้องมีฝุ่นล้นเข้ามา ต้องอยู่ที่ว่ารัฐบาลจะแก้ไขยังไง ใช้การทูตยังไง สื่อสารยังไง แล้วกับทางภาคประชาชนจะช่วยเหลือเขายังไง ก็หน้าที่รัฐทั้งนั้น ทำไมประชาชนต้องมาคิดแทน?
“ขอให้เลิกได้แล้วนะกับการที่โฟกัสแต่จังหวัดใหญ่ๆ อย่างกทม เชียงใหม่ ลอง กทม.ค่าฝุ่น 700-800 เหมือนที่นี่ดูสิ ดูว่ารัฐจะมีรีแอคชั่นยังไง จะเงียบเหมือนกับที่นี่ไหม”
บาส อาศัยอยู่อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
“ค่าฝุ่นประมาณ 600 แต่เครื่องเราวัดได้สูงสุดแค่ 600 แต่ก็เห็นเพื่อนโพสต์ว่า 800 แล้ว แค่ในบ้านเราก็ 200 แล้ว ซึ่งในบ้านมีเครื่องฟอกอากาศ 2 เครื่อง เดี๋ยวจะไปซื้อเพิ่มอีก แต่ตอนนี้ไม่มีเครื่องฟอกเลยที่เชียงราย ไม่มีเลย หายากมาก”
บาส ผู้อยู่อาศัยใน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เล่าให้ฟังว่า ตอนนี้เธอต้องใช้ชีวิตอยู่ในห้องที่มีเครื่องฟอกอากาศตลอด ถ้ากดโหมดออโต้ค่าฝุ่นจะอยู่ที่ 70-80 แต่ถ้าเวลาปกติที่ฝุ่นไม่หนักขนาดนี้ก็จะมีค่าฝุ่นอยู่ที่ 10-20 ซึ่งเธอเล่าด้วยว่า เครื่องฟอกตัวหนึ่ง ราคา 18,000 บาท อีกตัวราคาประมาณ 6,000 บาท นอกจากนี้ยังมีไส้กรองอีกราคาหลักพัน ถือเป็นราคาของสิ่งที่ต้องจ่ายเพื่อให้ได้อากาศบริสุทธิ์หายใจในบ้าน
ยิ่งกว่านั้น บาสยังกล่าวถึงประกาศจากอำเภอเมืองเชียงรายที่ระบุว่า ให้ออกมารดน้ำหน้าบ้านทุกวันเผื่อฝนจะตกและมาช่วยแก้ปัญหาฝุ่นได้ ซึ่งเธอมองว่าเป็นคำประกาศที่ไม่ได้ช่วยอะไร
ขณะเดียวกัน อากาศที่เป็นอยู่นี้ก็กระทบกับชีวิตประจำวันของเธออย่างรุนแรง เพราะบาสเป็นสมาชิกโรงยิม แต่โรงยิมก็ต้องปิดไป ไม่สามารถออกกำลังกายได้ เพราะการออกกำลังหายคือการหายใจอย่างหนักหน่วง ฝุ่นจึงทำให้แสบคอ แม้แต่ตอนที่เธอเล่าเรื่องให้ฟังก็ยังต้องใส่หน้ากากไปด้วย ยิ่งกว่านั้น เธอยังไม่สามารถออกจากบ้านได้ เนื่องจากแค่เปิดประตูเครื่องฟอกก็ทำงานหนักแล้ว
“อยากให้เห็นว่าตอนนี้ฟ้ามันไม่ใช่สีฟ้า แต่เป็นสีส้มเหลือง ฝุ่นเต็มอากาศไปหมด บ้านก็เหมือนมีควันตลอดเวลา ตากผ้านอกบ้านไม่ได้ ถ้าออกไปนอกบ้านจริงๆ ต้องเปลี่ยนหน้ากากทุก 3 ชั่วโมง อย่างเพื่อนเราเพิ่งออกไปโรงทานมา 3 ชั่วโมง หน้ากากดำ อีกอย่างคือแสบตามาก มีผื่นเพราะเป็นภูมิแพ้ ต้องกินยา”
แต่การเป็นภูมิแพ้ก็ยังส่งผลน้อยกว่าคนเป็นมะเร็ง เพราะอาม่าของเธอเป็นมะเร็ง อาศัยอยู่อำเภอพราน ซึ่งฝุ่นก็หนัก ทำให้อาม่าต้องอยู่ในห้องฟอกอากาศและต้องใส่หน้ากากตลอดเวลาเหมือนกัน หรืออย่างพ่อของเพื่อนเธอก็มีประวัติเป็นมะเร็งที่อื่น แต่เคยมีเชื้อมะเร็งลงปอด ซึ่งพ่อของเพื่อนรักษาตัวจนหายแล้ว แต่จู่ๆ มันกลับมาอีกรอบนึง จนทำให้เกิดคำถามว่า เพราะ pm2.5 หรือเปล่า เลยทำให้มะเร็งกลับมาอีกครั้ง
หรืออย่างแม่ของบาสเองก็กำลังจะทำคีโมเพื่อรักษาโรคมะเร็งเต้านม จึงต้องไปหาซื้อเครื่องฟอกอากาศ ซึ่งเธอเล่าว่าเวลาทำคีโมร่างกายก็จะอ่อนแอ ดังนั้น การเตรียมตัวทำคีโมแปลว่าทุกอย่างในการใช้ชีวิต ต้องสะอาดมากๆ จะต้องไม่มีฝุ่น อาหารต้องกินแบบที่ผ่านกระบวนการความร้อนมาแล้ว ต้องกินอาหารแบบวันต่อวัน มื้อต่อมื้อ ห้ามเหลือทิ้ง อีกอย่างคือ คีโมคือให้ติดต่อกัน 3 สัปดาห์ต่อหนึ่งครั้ง เพราะงั้นจะมีเวลาพักแค่สัปดาห์เดียว แล้วแม่ของเธอต้องทำทั้งหมด 6 รอบ (ยังไม่รวมฉายแสง) เธอจึงกังวลเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
“แม่ก็เป็นภูมิแพ้ ถ้าให้คีโมอีกก็หนักเลย ต้องทำให้อากาศบริสุทธิ์ สภาพแวดล้อมต้องดี ไม่ใช่แบบนี้ แบบที่เดินออกจากห้องแล้วแสบคอ”
“เราเลี้ยงแมว 3 ตัว ก็ต้องอยู่ในห้องฟอกอากาศ เราไม่ได้เลี้ยงปล่อย แต่มันจะมีตัวนึงที่ภูมิคุ้มกันไม่ค่อยดี จนเป็นภูมิแพ้ ตัวนี้จะรู้เลย ถ้าฝุ่นขึ้นหนัก จะขี้มูกไหลและจามตลอดเวลา ต้องป้อนยา เหมือนกับคนแหละ เราสงสารสัตว์ที่อยู่ข้างนอกด้วย แต่ว่าก็ช่วยอะไรไม่ได้”
เอก อาศัยอยู่อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
“ชีวิตดีๆ ให้เริ่มต้นที่ตัวเอง เริ่มต้นยังไงบอกที ‘ตั้งใจทำงานสิ’ ‘ตั้งใจเรียนหนังสือสิ’ แล้วอากาศจะดีขึ้นใช่ไหม ให้ตั้งใจทำงานเป็นคนดีของสังคม แล้วจะไม่มี PM2.5 ใช่ไหม สิ่งเหล่านี้เป็นหน้าที่ของพวกคุณ [รัฐบาล] ทั้งนั้นเลยนะ เราตั้งใจทำงานแล้ว แล้วยังไงต่อ บางอย่างมันแก้ไม่ได้ที่ตัวเองไง”
เอก ผู้ที่อาศัยอยู่อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เล่าว่า ทุกวันนี้ เขาไม่สามารถทำกิจกรรมกลางแจ้งได้เลย ถ้ามีฝุ่นจะอยู่แต่ในบ้าน หรือไม่ก็ไปห้าง ซึ่งเอกตั้งคำถามแกมประชดว่า สิ่งที่เป็นอยู่นี้จะเรียกว่าเป็นปัญหาได้ไหม เพราะฝุ่นก็มีทุกปี
“หรือเราเองที่ไปทำให้มันเป็นปัญหา เราแยกไม่ออกแล้ว เพราะดูเหมือนไม่มีใครทำอะไรเลยไง ก็มีควันไง มันก็มาทุกปี เดี๋ยวก็ไป จะมีใครทำอะไรจริงจังไหมล่ะ ก็ไม่มี จุดร้อนก็ยังร้อนไป คนเผาก็เผาไป คนดมก็ดมไป ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ปีที่แล้วก็มีฉากแบบนี้ นี่มันฉากเดียวกันเลยนี่หว่า หรือมันไม่ใช่ปัญหา มันเป็นเรื่องปกติเหรอ ไม่มีใครทำเหี้ยอะไรเลยทั้งสิ้น”
ที่บ้านของเอกมีเครื่องฟอกอากาศ ไม่อย่างนั้นลูกของเขาจะอยู่ไม่ได้ ซึ่งทุกวันนี้ ลูกของเขาไม่สามารถออกนอกอาคารได้เลย ยิ่งกว่านั้น เอกยังเล่าเสริมว่า เคยซื้อสกู๊ตเตอร์ให้ลูกไถอยู่ 1-2 วัน ให้ไถอยู่ 1-2 รอบ ปรากฎว่าต้องเข้าโรงพยาบาลไป 2 วัน เพราะเป็นหอบหืด ทำให้เจอฝุ่นแล้วหายใจไม่ออก
“สิ่งที่อยากได้ตอนนี้ คือนายกฯ คนใหม่ที่มาจากประชาธิปไตย มันเป็นหน้าที่ของรัฐบาลอยู่แล้ว ถ้าเผาประเทศเราจะทำยังไง ถ้าเป็นต่างประเทศจะทำยังไง คนที่จะออกข้อบังคับได้คือรัฐมนตรี ถ้าเขาไม่ทำก็ไม่มีใครทำอะไร ต่างประเทศก็เหมือนกัน เป็นสิ่งที่รัฐมนตรีต้องทำอะไรสักอย่าง แต่ตอนนี้มันไม่มีคนทำงาน”
แสตมป์ อาศัยอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่
“ตอนนี้ใช้ชีวิตลำบากฉิบหายเลย เหมือนใช้ชีวิตอยู่กับความกลัวทุกวัน ไม่รู้ว่าอากาศที่สูดเข้าไปจะส่งผลกับเราแค่ไหน ออกนอกบ้านเหมือนเอาชีวิตไปเสี่ยง ดูท้องฟ้าแล้วเหมือนวันสิ้นโลก นี่คือสภาพจิตใจจากปัญหาฝุ่น สภาพร่างกายยิ่งหนัก ชัดสุดคืออาการปวดหัวไมเกรน หายใจลำบาก แสบตา และยังไม่รู้ว่ามันจะส่งผลระยะยาวกับร่างกายขนาดไหน มันน่าโกรธนะที่ในประเทศนี้สิทธิที่หายใจอย่างสบายใจ ยังไม่มี”
แสตมป์ ผู้อยู่อาศัยในอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวด้วยความอัดอั้นใจกับสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 โดยเขาเล่าว่า ทุกวันนี้ต้องดูแลตัวเองด้วยการออกไปไหนมาไหนให้น้อยลง ออกนอกบ้านก็ใส่หน้ากาก แต่ก็ทำได้เท่านั้น เพราะอย่างอื่นมีค่าใช้จ่าย เช่น เครื่องฟอกอากาศที่มีราคาแพง
“เราดูแลตัวเองดีที่สุดแล้ว มีแต่รัฐนี่แหละที่ลอยตัวเหนือปัญหา”
เมื่อถามว่าอยากให้รัฐเข้ามาช่วยเหลืออย่างไร แสตมป์ก็กล่าวว่า ต้องการให้ภาครัฐสื่อสารออกมาให้ชัดเจน ผู้ว่าฯ ต้องออกมาพูดเรื่องนี้
“เรื่องพื้นฐานที่สุดแค่นี้ยังทำไม่ได้เลย รัฐไทยมีปัญหากับสื่อสารมาตลอด ปัญหาคืออะไร กำลังแก้ไขยังไง ทำไมไม่บอกให้ชัด แล้วก็หยุดดักดานกับการแก้ปัญหาแบบเดิมๆ เอารถมาฉีดน้ำมันจะช่วยอะไร แล้วถ้าตอนนี้ยังแก้ปัญหาที่ต้นเหตุไม่ได้ อย่างน้อยก็หันมาช่วยประชาชนที่ปลายเหตุก่อน แจกหน้ากาก แจกเครื่องฟอกอากาศยิ่งดี ทำตัวให้เหมือนเป็นรัฐหน่อย ไม่งั้นจะมีไว้ทำไม”