ถ้าพูดถึงปัญหาของ ชาติพันธุ์ ทุกคนจะนึกถึงอะไร?
บ่ายสามโมงของวันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน เมฆหนาและสายฝนปกคลุมท้องฟ้าเหนือ ‘เกาะสิเหร่’ ราวกับบอกว่าเรามาถึงแดนใต้แล้วจริงๆ เราเดินเท้าเข้าไปในตรอกแคบของ ชุมชนบ้านแหลมตุ๊กแก ที่อยู่อาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์อูรักลาโว้ยในจังหวัดภูเก็ต

ชุมชนชาวเลบ้านแหลมตุ๊กแก (เกาะสิเหร่) จ.ภูเก็ต – Photo: Jinnapat Okoun
เด็กถิ่นสามคนที่พูดกันคนละภาษาเดินนำเราเข้าไปในชุมชน ผ่านบ้านเรือนร้านค้าริมทาง จนมาถึงศาลารวมพลหน้าชายหาดที่เป็นเหมือนออฟฟิศกลางแจ้งของชาวเล ต่างกันที่วันนี้ไม่มีเรือลำไหนออกไปหาปลาเพราะคลื่นมรสุมอันตรายเกินไป
จากการเดินสำรวจเข้าไปตามตรอกซอกซอย แวะทักทายกับคนพื้นที่เป็นระยะ จนได้รู้ว่าชุมชนเล็กๆ แห่งนี้จุคนไว้ราว 1,600 คน และรายรอบไปด้วยความหลากหลายทั้งทางความเชื่อและช่วงวัย ตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงคนเฒ่าคนแก่อายุเกือบร้อยปี
หลังจากที่เลี้ยวซ้ายที ขวาทีอยู่หลายครั้ง เราได้พบกับ ‘นออ้า’ หญิงชราวัย 70 ปี ชาวอูรักลาโว้ย ที่ได้เรียนหนังสือจน ป. 4 ก่อนจะทำงานหาหอย กระทั่งได้รับนามสกุล ‘ประมงกิจ’ ซึ่งเป็นนามสกุลพระราชทานจากสมเด็จย่า (สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนี) และได้มีบัตรประชาชน แม้ช่องวันเกิดจะระบุไว้แค่ปี พ.ศ. 2499 ซึ่งเป็นปีเกิดของเธอก็ตาม
“คนรุ่นยายไม่มีวัน-เดือนเกิด มีแต่ปี เวลาเจ็บป่วยก็ใช้บัตรนี้ไปหาหมอ กับบัตรทอง สมัยก่อนรุ่นพ่อ รุ่นแม่ต้องพายเรือแล้วก็เดินไปหาสามล้อเข้าตลาดที่ถลางนู่น แต่สมัยนี้ไปหาหมอง่ายแล้ว เพราะมีอนามัยและโรงพยาบาล อบจ.” เธอเล่าและโชว์บัตรประชาชนให้เราดู และเริ่มเล่าถึงชีวิตที่ผ่านมาของเธอให้ฟัง
“จบ ป.4 ไม่รู้จะทำอะไร ก็ออกไปหาหอยตามเกาะ ขอขึ้นเรือไปกับคนแก่ๆ ไปที 2-3 คืน ไม่ได้กลับบ้าน กลับมาแล้วก็มานั่งแกะหอยใส่แก้วจอก เสร็จแล้วก็เอาไปขายได้จอกละ 2 บาท ถ้าหาได้เยอะตอนนั้น 5 จอกก็ 10 บาท”

วิถีชีวิตภายในชุมชนชาวเลบ้านแหลมตุ๊กแก (เกาะสิเหร่) จ.ภูเก็ต – Photo: Jinnapat Okoun
“พออายุได้ 17 ก็เลิกทำแล้วเพราะสามีมาสู่ขอ เด็กหญิงสมัยนั้นถ้ามีแฟนก็เลิกทำงานกันแล้ว” หญิงวัย 70 เล่าพร้อมกับแบมือให้เราดูและย้ำว่า “ตอนนั้นทำงานหนักจนมือด้านไปหมด ยังด้านมาถึงตอนนี้เลย ลองจับสิ”

นออ้า ประมงกิจ – Photo: Jinnapat Okoun
สามีของเธอจากไปแล้วเมื่อ 5 ปีก่อนด้วยโรคมะเร็งตับ ทว่าชีวิตก็ผลิกผันอีกครั้ง เมื่อลูกชายคนโตประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และกลายเป็นผู้พิการที่ช่วยเหลือตัวเองลำบาก นออ้าหยุดทำงานรับจ้าง ผันตัวมาเป็นผู้ดูแลผู้ป่วยเต็มเวลาและยังชีพด้วยเงินรายเดือนจากลูกสาวที่ทำงานอยู่ชลบุรี
แม้บ้านหลังนี้จะมีผู้อยู่อาศัยเพียง 2 คน แม่-ลูก แต่เราสังเกตเห็นโอ่งความสูงเลยหัวพร้อมกับบ่อน้ำที่มีน้ำบรรจุอยู่เต็มอัตราในจุดต่างๆ ของบ้าน จึงเกิดคำถามว่า อยู่กันแค่ 2 คนทำไมถึงสำรองน้ำไว้เยอะขนาดนั้น จนได้รู้ว่าชุมชนแห่งนี้กำลังประสบปัญหาน้ำประปาไม่ไหล บางทีไม่มีน้ำประปาใช้ต่อเนื่องนาน 5 วัน และในวันที่เราเดินทางไปที่ชุมชนนี้ เป็นวันแรกที่น้ำประปาไหลหลังผ่านมาแล้ว 10 วัน
“(น้ำ) เพิ่งออกวันนี้เอง อันที่เห็นตามโอ่งคือรองน้ำฝนไว้ใช้ด้วย เพราะประปาบางทีไม่ออก 10 วัน น้ำฝนที่รองไว้ก็เอามาล้างจาน ซักผ้า ส่วนน้ำกินก็ซื้อเป็นขวดเอา” นออ้าเล่าทิ้งท้าย ก่อนจะสอนภาษาอูรักลาโว้ยให้กับเรา อันที่จริงเธอพยายามสอนให้เราพูดอยู่หลายคำ แต่เราจำมาได้เพียง 1 คำ นั่นคือคำว่า ปีดูลู ซึ่งแปลว่า ไปก่อนนะ (ปี — ไป, ดูลู — ก่อน)
“ปีดูลู” เราพูดกับเธอที่กำลังหัวเราะชอบใจกับลูกศิษย์คนใหม่ ก่อนจะโบกมือลาพร้อมรอยยิ้มและเริ่มออกเดินทางสำรวจพื้นที่ต่อ
หลังจากเดินฝ่าซอยแคบๆ ที่วกวนเหมือนเขาวงกตอยู่นาน 15 นาที เส้นทางก็นำเรามาสู่ชายหาดที่มีเรือหางยาวจอดเรียงราย เราพบกับ ‘บุญส่อง’ ชายวัยกลางคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาถักไซดักปลาอย่างคล่องแคล่ว
บุญส่องเป็นชาวอูรักลาโว้ยอีกคนที่ได้รับพระราชทานนามสกุลประมงกิจ และออกเรือหาปลามาตั้งแต่อายุ 14 จวบจนตอนนี้ก็เกือบสี่สิบปีแล้วที่ชีวิตผูกกับทะเล เราพูดคุยกับเขาถึงเรื่องทั่วไป ตั้งแต่สภาพอากาศไปจนถึงวิถีชาวเล ก่อนที่บทสนทนาจะดำเนินไปสู่เรื่องที่หนักกว่าคลื่นลมในวันนั้น นั่นคือปัญหาที่คนในชุมชนกำลังเผชิญอยู่ทุกวัน

บุญส่อง ประมงกิจ ชาวอูรักลาโว้ย – Photo: Jinnapat Okoun
“สมัยก่อนถนนกับทางมันยังไม่มีจะไปไหนก็ต้องพายเรือไป พายข้ามคลองไป พอไปถึงอีกฝั่งก็เดินเอา ไม่ใช่แค่ไปหาหมอนะ ไปเอาน้ำ(สะอาด)ก็ต้องไปด้วยวิธีนี้ เพราะมันชนบทมากใช้เวลานานหลายชั่วโมง” บุญส่องเล่าพร้อมกับบอกว่า แม้สมัยนี้จะสามารถเข้าถึงน้ำประปาได้แล้ว แต่กลับกลายเป็นน้ำไม่ไหลเสียอย่างนั้น
“พอจะมีรัฐมนตรีมา เขาก็เปิดให้ใช้น้ำที เดี๋ยวพอรัฐมนตรีกลับเขาก็ปิดอีก” เขาพูดกลั้วเสียงหัวเราะ “ก่อนหน้านี้ไม่มีน้ำประปา 10 วัน เราก็ต้องไปซื้อน้ำจากรถน้ำ คันละ 250 บาท ไม่แน่ใจได้กี่ลิตร แต่เดือนๆ นึงซื้อน้ำจากรถไป 1,250 บาท เพราะน้ำประปาไม่ออกผมมีปัญหา”
“ผมส่งหนังสือไปร้องเรียนตลอดแต่ก็เงียบ พอมีหน่วยงานเข้ามาก็มีการบอกว่า ‘อย่าทิ้งชาวเลนะ’ พอผ่านไปสักเดือนก็เหมือนเดิม น้ำไม่ไหลมา 10 วันบ้าง 5 วันบ้าง อันนี้คือปัญหาจริงๆ” บุญส่องบอกทิ้งท้ายแบบเหนื่อยใจ
แม้ว่าชาวอูรักลาโว้ยในชุมชนบ้านแหลมตุ๊กแกจะถูกเรียกว่าเป็น ชาวไทยใหม่ และมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง พร้อมโอกาสทางอาชีพที่หลากหลายกว่าในอดีต แต่ชีวิตประจำวันของพวกเขายังคงเผชิญกับปัญหาพื้นฐาน เช่น น้ำประปาที่ต้องลุ้นกันวันต่อวัน
คำถามจึงเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องของชาวอูรักลาโว้ย หรือเป็นเงาสะท้อนของความยากลำบากที่ชาติพันธุ์ชาวเลอื่นๆ ในไทยกำลังเผชิญอยู่เช่นกัน?

บรรยากาศงานรวมญาติชาติพันธุ์ชาวเล ครั้งที่ 15 ‘ชาวเลมั่นยืน ด้วยกฎหมายชาติพันธุ์’ วันที่ 20-21 พฤศจิกายน 2568 ณ ชุมชนชาวเลบ้านแหลมตุ๊กแก (เกาะสิเหร่) จ.ภูเก็ต – Photo: Jinnapat Okoun
เพื่อหาคำตอบให้กับคำถามนั้น เราจึงเริ่มพูดคุยกับชาติพันธุ์ชาวเลหลายกลุ่มที่เดินทางมาร่วมงาน รวมญาติชาติพันธุ์ชาวเล ซึ่งจัดขึ้นที่ชุมชนบ้านแหลมตุ๊กแกแห่งนี้—และได้พบความจริงที่ว่าชาติพันธุ์ชาวเลกลุ่มอื่นๆ มีชีวิตที่แตกต่างจากชาวอูรักลาโว้ยอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นวิถีความเป็นอยู่ ถิ่นฐานที่ต้องโยกย้าย หรือแม้แต่โอกาสในการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานที่ใครต่างมองเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับพวกเขาแล้วกลับเป็นสิ่งที่ต้องดิ้นรนในทุกๆ วัน
หนึ่งในคนที่เล่าให้เราฟังคือ ‘ก้อย ทะเลลึก’ ชาวมอแกนที่เดินทางมาจากเกาะพยาม จังหวัดระนอง เพื่อร่วมงาน เขาเล่าว่าพี่น้องชาวมอแกนในเกาะพยามกินนอนอยู่บนบนเรือ ไม่มีน้ำประปาและไฟฟ้าใช้ และสิ่งที่พวกเขาต้องการคือ ‘บัตรประชาชน’ ซึ่งปัจจุบันมีชาวมอแกนในเกาะพยามกว่า 200 คน กำลังรอบัตรใบนี้ ที่เป็นสิ่งที่ครอบครองได้ยากเย็นเหลือเกิน
คนต่อมาคือ ‘สุพรรณแก้ว ภัคดี’ ตัวแทนจากกลุ่มไทยพลัดถิ่น เล่าพร้อมน้ำตาว่า บางคนรอสัญชาติมานานจนญาติที่สามารถรับรองความเป็นคนไทยให้เสียชีวิตไปแล้ว แต่คนขอ(บัตรประชาชน)ก็ยังคงรออยู่ หรือในแง่ของการเข้าถึงสิทธิในการรักษาพยาบาล บางคนก็ต้องขายทรัพย์สินจนหมดตัวเพื่อนำเงินมาจ่ายค่ารักษา ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันสะท้อนความเหลื่อมล้ำออกมาอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเรื่องการขอสัญชาติหรือสิทธิขั้นพื้นฐานก็ตาม

สุพรรณแก้ว ภัคดี ตัวแทนจากกลุ่มไทยพลัดถิ่น – Photo: Jinnapat Okoun
ความเหลื่อมล้ำนี้ สะท้อนออกมาในทุกมิติและส่งผลกับคนทุกกลุ่ม แม้กระทั่งเด็กน้อยวัยประถม ‘ชัยยุทธ บุญนุ้ย’ ตัวแทนชาวมานิ ที่เดินทางมาร่วมงานนี้เล่าให้ฟังว่า “ชาวมานิส่งลูกไปโรงเรียน แต่พอลูกกลับมาบ้าน ลูกถามว่าทำไมเขาถึงไม่ได้เงินค่าขนมมาโรงเรียนเหมือนเพื่อนบ้าง”
ชาวมานิกระจายตัวอยู่ใน 4 จังหวัดและมีประชากรรวม 145 คน ซึ่งรูปแบบการอยู่อาศัยของชาวมานิจะแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ มีที่อยู่อาศัยถาวร และทำอาชีพกรีดยาง, มีที่อยู่อาศัยกึ่งถาวร หากินระหว่างป่าและบ้าน และสุดท้าย กลุ่มที่อยู่ตามห่วงโซ่อาหารในป่า ทว่าในช่วงหลังๆ ป่าถูกรุกล้ำมากขึ้น ทำให้พื้นที่ของชาวมานิลดน้อยลง สัตว์ป่าที่เคยมีก็ค่อยๆ หายไป ทำให้ชาวมานิต้องการพื้นที่ทำกิน และเรียกร้องให้รัฐมองเห็นพวกเขาบ้าง
ความเหลื่อมล้ำ สะท้อนออกมาผ่านเรื่องราวชีวิตของชาติพันธุ์กลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ซึ่งนอกจากชีวิตที่ถูกผลักดันให้เป็นเพียงคนชายขอบแล้ว พวกเขายังเผชิญกับความเจ็บปวดทั้งกายและใจจากการถูกเลือกปฏิบัติ ราวกับว่าพวกเขาไม่ใช่มนุษย์
อีกหนึ่งในคนที่สะท้อนเรื่องนี้ให้เราได้ฟัง คือ ‘อรวรรณ หาญทะเล’ หรือ ‘หญิง’ ชาวมอแกลน วัย 39 ปี จากชุมชนบ้านทับตะวัน อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ที่มานั่งเล่าประสบการณ์วัยเด็กของเธอให้ฟังว่า “สมัยก่อนเราถูกล้อเลียนว่าเป็นชาวเล เป็นชาวไทยใหม่ เป็นคนสกปรก เดินไปโรงเรียนก็จะถูกปาน้ำแข็งใส่ ถูกยิงหนังสติ๊กจนหัวแตก”
“พอไปโรงเรียนแล้วถูกเพื่อนล้อ เราเลยรู้สึกว่าเราไม่ใช่คนไทยเหรอ เราเหมือนคนตกต่ำเหรอ แต่ที่จริงเราก็ไม่ได้ตกต่ำหรือเป็นคนต่างด้าวอะไรนะ”
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์สึนามิในปี 2547 ที่ทำให้เธอลุกขึ้นมาเป็นหนึ่งในแกนนำเยาวชนที่ต่อสู้กับกลุ่มนายทุนและรัฐ ตั้งแต่ยุคของการมีสัมปทานป่าไม้ สัมปทานเหมืองแร่ จนมาถึงยุคการท่องเที่ยว ทำให้พื้นที่ทำกิน และถิ่นอยู่อาศัยของชุมชนบ้านทับตะวันถูกไล่ถอยไปเรื่อยๆ จนต้องแยกออกเป็น 2 จุด คือบนไร่ และใกล้ทะเล แต่ทั้งหมดก็คือชาวเลจากชุมชนเดียวกัน
“ตอนพี่หญิงเริ่มโตจำความได้แล้ว มีคนเข้ามาในชุมชนมากมาย บอกว่ามาขอซื้อที่ดินราคาถูก เพราะพวกเราไม่มีเอกสารสิทธิ ในเวลานั้นพวกเราไม่เข้าใจว่าเอกสารสิทธิคืออะไร เรามีแค่เสาเอกในบ้าน ซึ่งนั่นคือสิทธิที่เรามีแล้ว” อรวรรณเล่า

อรวรรณ หาญทะเล (หญิง) ชาวมอแกลน – Photo: Jinnapat Okoun
เธอบอกว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์สึนามิเพียงหนึ่งวัน มีกลุ่มทุนพร้อมทหารตำรวจเข้ามาและห้ามไม่ให้กลับเข้าไปในพื้นที่ โดยอ้างเอกสารสิทธิของนายทุน ทำให้ต้องหนีขึ้นไปอยู่ตามเขา จนเวลาผ่านไปมีกลุ่ม NGO (องค์กรเอกชนไม่แสวงผลกำไร) เข้ามาให้ความช่วยเหลือเรื่องพื้นที่ แต่ในเวลานั้นอรวรรณยอมรับว่าทุกคนหวาดกลัวเกินกว่าจะยอมรับความช่วยเหลือ
“ตอนนั้นพวกเรายังกลัวเพราะพวกเราถูกกระทำมาตลอด ช่วงก่อนที่เกิดสึนามิพวกเราไปรับจ้างทำงานที่เหมืองแร่ พวกเราบางคนก็โดนข่มขืน ถูกยิง ฆ่า ปล้น จี้ พวกเราเลยกลัวคนข้างนอกและไม่ไว้ใจ NGO เลยใช้เวลาเป็นปีที่ค่อยๆ เรียนรู้ไปกับกลุ่ม NGO ว่าเรามีสิทธิ สู้ได้ และที่ตรงนั้นมันเป็นของเรา”
หลังจากที่ต่อสู้กันเรื่องที่ดิน การทำมาหากินของชาวเลในชุมชนบ้านทับตะวันก็เป็นไปได้ยากขึ้น อาชีพจากภูมิปัญญาเริ่มจางหายไปและกลายเป็นการทำงานรับจ้างที่ไม่แน่นอน อรวรรณที่เก็บข้อมูลหมู่บ้านอื่นๆ ของชาวเลมาตั้งแต่ปี 2547 พบว่าพี่น้องของเธอเผชิญปัญหาที่คล้ายกัน คือ มีที่เกิดไม่มีที่ฝัง ไม่มีที่อยู่ และไม่มีพื้นที่ทำกิน
เธอเล่าว่า ยังมีพี่น้องในเกาะสุรินทร์ เกาะเหลา เกาะช้าง เกาะพยาม ที่ยังไม่มีบัตรประชาชนจากความล่าช้าของรัฐ และความไม่จริงจังของเจ้าหน้าที่ เห็นได้ชัดจากการที่พวกเธอทำใบร้องขอทำบัตรประชาชนไปตั้งแต่ปี 2555 จนปัจจุบันปี 2568 แต่ยังไม่มีใครที่ได้บัตรประชาชนเลยสักคน

ทะเลด้านหลังชุมชนบ้านแหลมตุ๊กแก (เกาะสิเหร่) จ.ภูเก็ต – Photo: Jinnapat Okoun
“พี่ทุกข์ใจ เพราะพวกเขาต้องต้องมาจากเกาะ มีค่าเรือ เสี่ยงอันตรายและใช้เวลานานกว่า 5 ชั่วโมง ไหนจะค่ารถเข้าเมืองอีก เพื่อที่จะมาตรวจว่าตัวเองป่วยอะไร ต้องไป-กลับอยู่แบบนั้น 4-5 รอบกว่าจะได้รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง และกว่าจะได้รักษาก็ต้องรออีกว่าหมอจะรับรักษาไหม จนเขาตาย พี่น้องชาวเลที่เป็นมะเร็งไม่เคยได้รับการรักษาเลย” เธอเล่า
“ยิ่งช่วงมรสุม ส่วนใหญ่นอนรอความตายอยู่ที่นู่นเลย”
จากปัญหาเหล่านี้ ทำให้เธอลุกขึ้นมาเป็นหนึ่งในคณะทำงานขับเคลื่อน และผลักดันจนได้มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะยังไม่สำเร็จ แต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นและเป็นก้าวที่สำคัญ
“เราบอกว่านี่มันเป็นความเป็นความตายของเรานะ แต่เขาบอกว่ามันยังไม่ใช่กฎหมาย จะให้ไปบังคับใช้ยังไง เราเลยกลับมาปรึกษากันและเปลี่ยนให้มันเป็นร่างพ.ร.บ. ร่วมมือกับสถาบันต่างๆ ซึ่งกฎหมายนั้น มันมาจากพวกเราจริงๆ จนมันผ่านเข้าสภาฯ ได้” อรวรรณเล่า
เธอบอกว่า ทุกกระบวนการที่ผ่านมาทำให้เธอเสียน้ำตาบ่อยครั้ง ยิ่งช่วงที่มีการพิจารณาร่างฯ คำพูดต่างๆ ที่ออกมาจากสส.ทำให้รู้สึกเหมือนเธอไม่ใช่คน
“เขาบอกว่าเราเป็นชาติพันธุ์ที่ทำลายความมั่นคงของชาติ เป็นต่างด้าว เหมือนคนที่ไม่ใช่คน ตอนนั้นเราก็คิดว่า เราทำขนาดนั้นเลยเหรอ”
ถึงอย่างนั้นก็ยังมีสส.บางส่วนที่ช่วยเหลือ จนเมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา เธอได้รับแจ้งว่า “เรามีกฎหมายแล้ว” ความสำเร็จนี้ทำให้เธอและพี่น้องชาติพันธุ์ดีใจมาก และมีการจัดงานเลี้ยงฉลองกันในชุมชนด้วย
อรวรรณบอกว่า เธอไม่ได้คาดหวังให้รัฐต้องเร่งแก้ข้อพิพาทที่ดินภายในหนึ่งเดือน เพียงแค่ต้องการให้รัฐ ‘รับฟัง’ ชาติพันธุ์ชาวเลและวางแผนไปด้วยกันว่าจะทำให้พวกเธอเข้าถึงสิทธิพื้นฐานต่างๆ นี้ได้อย่างไรบ้าง หรือแม้แค่รับฟัง เก็บข้อมูลเพื่อไม่ให้วิถีชีวิต และชาติพันธุ์ชาวเลหายไปจากสารระบบ ซึ่งไม่ว่าใครขึ้นมารับตำแหน่งก็จะมีข้อมูลในมือและทำงานร่วมกันต่อได้

ทะเลด้านหลังชุมชนบ้านแหลมตุ๊กแก (เกาะสิเหร่) จ.ภูเก็ต – Photo: Jinnapat Okoun
พ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์ กฎหมายเพื่อ ‘คนไทย’
‘อภินันท์ ธรรมเสนา’ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารสังคมและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) พูดคุยกับเราเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งประกาศบังคับใช้ไปเมื่อวันที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมา
อภินันท์เล่าถึงสถานการณ์ของชาติพันธุ์ก่อนที่จะมีพ.ร.บ.ฉบับนี้ และชวนทำความเข้าใจกับกลุ่มชาติพันธุ์ว่า พวกเขาก็เป็น คนไทย คนหนึ่ง ซึ่งมีทั้งกลุ่มที่มีสถานะทางสัญชาติ และกลุ่มที่ไม่มีสถานะทางสัญชาติ ซึ่งจากกลุ่มที่ยังไร้สถานะทางสัญชาติก็จะถูกย่อยออกมาอีกสองกลุ่ม คือ กลุ่มที่ลงทะเบียนไว้แล้ว และกลุ่มที่อยู่นอกระบบซึ่งอาจเกิดจากการตกสำรวจ

ป่าชายเลนหน้าชุมชนบ้านแหลมตุ๊กแก (เกาะสิเหร่) จ.ภูเก็ต – Photo: Jinnapat Okoun
“กลุ่มที่อยู่ระหว่างการพิสูจน์ มีอยู่ราวๆ 400,000 คน และกลุ่มที่อยู่นอกระบบไปเลยอีก 400,000 กว่าคน รวมๆ แล้วประมาณ 900,000 คน แต่เขาก็เป็นคนไทย ดังนั้นทำความเข้าใจก่อนว่ากฎหมายฉบับนี้คือทำมาเพื่อคนไทยนะ ไม่ใช่คนต่างด้าว เพราะถ้าเป็นคนต่างด้าวเราจะคุ้มครองเขาไม่ได้ตามกฎหมาย” อภินันท์อธิบาย
กฎหมายฉบับนี้มีไว้เพื่อคุ้มครองคนไทยที่เป็นชาติพันธุ์ ซึ่งอภินันท์บอกว่า เพียงแค่ความแตกต่างทางวัฒนธรรมนั้นทำให้เราเชื่อว่าพวกเขาไม่ใช่คนไทย และทำให้พวกเขาเผชิญกับการเลือกปฏิบัติ เช่นการจะไปหาหมอ แต่พูดภาษาไทยไม่ได้ เลยโดนซักจนยาวเหยียด ซึ่งต่อให้มีบัตรประชาชนไปก็จะโดนถามว่าสวมบัตรมาหรือเปล่า หรือแม้แต่การเข้าถึงสิทธิต่างๆ ที่เขาพึงมาก็เป็นไปอย่างยากลำบาก
“แต่หลังจากที่มีพ.ร.บ. ที่เปลี่ยนไปแน่ๆ เลยคือเหมือนเป็นการประกาศอย่างเป็นทางการว่าสังคมไทยยอมรับการมีอยู่ของชาติพันธุ์”
อภินันท์ย้ำว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการโอบรับนับรวมชาติพันธุ์ หรือเป็นเพียงการประกาศว่าประเทศไทยมีชาติพันธุ์อยู่ ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ชาติพันธุ์ไม่เคยอยู่ในสมการการคิดนโยบายและถูกผลักให้เป็นเพียงกลุ่มคนจนก็อาจจะมีเสริมเข้ามา ในขณะที่ความเข้าใจ อคติที่มีต่อชาติพันธุ์ก็อาจจะดีขึ้น แม้ว่าในเวลานี้จะยังไม่ได้ก้าวหน้ามากนักก็ตาม

ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลรัษฎา 4 บ้านแหลมตุ๊กแก (เกาะสิเหร่) จ.ภูเก็ต – Photo: Jinnapat Okoun
นอกจากนี้ หลังจากที่มีการประกาศใช้พ.ร.บ. หน่วยงานต่างๆ ของรัฐก็จะตื่นตัวมากขึ้น ทั้งกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) หรือกระทรวงวัฒนธรรมที่เดิมทีมองกระแสหลักอย่างเดียวก็เปลี่ยนมามองวัฒนธรรมที่เป็นชาติพันธุ์ ซึ่งมีความหลากหลายขึ้น ขณะที่กระทรวงมหาดไทยเองก็ให้ความสนใจในเรื่องสัญชาติ และกระทรวงอื่นๆ ก็จะค่อยๆ ปรับตัวไปตามการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้
พ.ร.บ.ฉบับนี้มันสำคัญต่อหลักนิติรัฐ-นิติธรรมอย่างไร
อภินันท์มองว่า ที่ผ่านมากฎหมายไม่ได้สนใจในตัววิถีชีวิต แต่ตอนนี้มันละเอียดมากขึ้นและคงไม่ได้มีการบังคับใช้กฎหมายกับอะไรที่ละเลยวิถีวัฒนธรรม “เช่น ก่อนจะจับชาวบ้านก็ต้องดูว่าวิถีเขาเป็นแบบไหน จะไล่คนออกจากป่าทั้งๆ ที่เขาอยู่ในป่า เราจะหามาตรการทางกฎหมายแบบไหน” นั่นจึงเป็นการหาความยุติธรรมที่ผสมกับวิถีชีวิตเข้าไปด้วย เพราะคนบางคนมีความจำเป็นที่แตกต่างหลากหลาย เพราะถ้ามองตามหลักนิติรัฐ นิติธรรมก็จะเข้าใจได้ว่าทุกคน ทุกอย่างจะต้องเท่าเทียมกัน
“แต่หากทุกอย่างเท่ากันแล้วปลายทางยังเหลื่อมล้ำอยู่ แปลว่ามันไม่ได้แก้ปัญหา โจทย์ใหม่จึงเป็นการเสนอว่าเริ่มต้นอาจจะไม่ได้เท่ากันแต่ปลายทางแล้วทุกคนเสมอภาคกัน”
ท้ายที่สุดแล้ว ความเป็นไทยจะยังคงอยู่ แต่ควรจะเปิดพื้นที่ให้ความหลากหลายในความเป็นไทย เหมือนกับที่อภินันท์ย้ำกับเราว่า ไทยไม่ได้มีเพียงคนไทยอย่างเดียว ทุกคนมีความเป็นพลเมืองไทย
แต่การเป็นชาติพันธุ์ การแต่งกาย ภาษา หรือวัฒนธรรม ไม่ควรจะเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาถูกเลือกปฏิบัติ หรือเป็นเหตุที่ทำให้เขาไม่สามารถเข้าถึงสิทธิต่างๆ ได้