“สองปีมานี้เราร้องไห้เยอะที่สุด เยอะกว่าที่เคยร้องมาทั้งชีวิตเลย”
ฝ้าย—สุมิตรา ดวงแก้ว หนึ่งในสมาชิก BNK48 รุ่นที่สอง เปรยให้เราฟังก่อนการสัมภาษณ์จะเริ่มต้นขึ้น
วันนี้เรามีนัดคุยกับฝ้ายในโอกาสที่เธอได้รับบทแสดงในซีรีส์เรื่อง ‘The Underclassห้องนี้…ไม่มีห่วย’ เธอรับบทเป็น ‘แตม’ ประธานนักเรียน’ ที่ทะเยอทะยานและมีความตั้งใจที่จะเป็นอันดับหนึ่งให้ได้เสมอๆ พร้อมกับการใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนที่มีการแบ่งแยกห้องเป็นเด็กเรียนเก่ง และเด็กเรียนแย่
ด้วยคอนเซ็ปต์ของโรงเรียนที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การจัดกลุ่มเด็กที่ได้รับอันดับสูงไปจนถึงอันดับข้างล่างๆ นี่จึงทำให้เราสนใจว่า แล้วฝ้ายจะรู้สึกกับบทบาทนี้อย่างไร เมื่อเรื่องราวในโรงเรียนหลายส่วน ก็มีความคล้ายกับระบบใน BNK48 ที่มีการจัดอันดับและการแข่งขันกันอยู่เสมอๆ
คำตอบของฝ้ายอาจจะอยู่คำพูดในย่อหน้าแรก เมื่อเธอต้องรับมือกับคำถามมากมายที่เข้ามา และทำให้เธอรู้สึกหลงทางและต้องใช้เวลาเรียนรู้กับประสบการณ์ที่เข้ามาอยู่พักใหญ่ จนมาถึงวันที่ฝ้ายได้เป็นตัวของตัวเองมากยิ่งขึ้น
อะไรทำให้เธอเข้มแข็งขึ้น กล้าที่จะแสดงออกที่เป็นตัวเองมากขึ้น? จากคนที่หลงทางในวันนั้น ทำไมถึงได้กลายเป็นฝ้ายที่เข้มแข็ง และกล้าที่จะแสดงความเป็นตัวเองในวันนี้?
คำถามมากมายถูกเขียนอยู่ในสมุดจดของเรา และคนที่พร้อมจะให้คำตอบก็มารออยู่ตรงหน้าแล้ว
ก่อนอื่นเลยอยากให้ฝ้ายเล่าเรื่องบทบาทของ ‘แตม’ ในซีรีส์ให้ฟังหน่อย
แตมเป็นหลานรอง ผอ.ของโรงเรียน แล้วก็ได้รับสิทธิพิเศษเหนือกว่าคนอื่น เป็นอันดับหนึ่งของโรงเรียนตลอดแล้วก็ได้อยู่ห้อง A และคิดเสมอว่าฉันต้องได้ที่หนึ่งอยู่ตลอด ใครมาแย่งตำแหน่งนี้ไปจากฉันไม่ได้ แตมยังเป็นคนที่เหยียดคนอื่นมากทีเดียว คือไม่เข้าไปยุ่งกับคนที่อยู่คนละชนชั้น
แตมเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานมาก ทะเยอทะยานในแบบที่ไม่สนใจคนอื่น ไม่รู้ว่าตัวเองทำร้ายใครบ้าง สนใจแต่ตัวเองอย่างเดียว
แตมกับฝ้ายมีความเหมือนหรือต่างกันยังไงบ้าง
ความเหมือนคือมีความทะเยอทะยานเหมือนกัน แต่เราทะเยอทะยานคนละแบบ แตมจะเป็นคนทะเยอทะยานว่าฉันต้องไปที่หนึ่ง ส่วนเราไม่อยากแข่งขันกับใคร ไม่ได้อยากเป็นที่หนึ่ง แต่เราก็มีความทะเยอทะยานที่อยากจะไล่ตามความฝันของตัวเอง เพราะเราฝันว่าอยากจะเป็นศิลปินที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้
ถ้าจำไม่ผิด ฝ้ายเองก็พูดถึงเป้าหมายนี้มาตั้งแต่วันแรกๆ ที่เข้ามาใน BNK48 แล้ว
ใช่ ตั้งแต่แรก จนถึงวันนี้ก็เหมือนเดิม
แล้วความต่างที่สุดระหว่างเรากับเขา
ชีวิตของแตมกับเราต่างกันมาก แตมอยู่ในชีวิตที่ทุกอย่างพร้อมไปหมด ทั้งเรื่องฐานะและการมีสิทธิพิเศษ แต่ตัวเราไม่ใช่เลย
ไม่รู้สึกฝืนตัวเองหรอ
ตอนแรกก็ฝืนนะ แต่เราก็ต้องแสดงบทบาทนี้ให้ดีที่สุด ตอนเวิร์คช็อปก่อนเล่นซีรีส์ ทีมงานก็จะให้เราสร้างภูมิฐานของตัวละครขึ้นมา เช่น ตัวละครนี้ชอบกินอะไร ชอบสีอะไร อยู่บ้านชอบทำอะไร ที่บ้านเป็นยังไง ได้รับการเลี้ยงดูมายังไง สิ่งเหล่านี้เป็นไปเพื่อให้เราได้ศึกษาและเข้าใจว่าแตมมีกระบวนการคิดยังไง
เรารู้สึกว่า มีกำแพงในใจเหมือนกัน เพราะแตมเป็นคนตรงกันข้ามกับเราเลย แต่เมื่อได้มาเวิร์คช็อปแล้ว เราก็เข้าใจแตมมากขึ้น ถึงแม้ว่าในชีวิตจริงเราจะไม่อยากยุ่งกับคนแบบนี้เลยก็ตาม พอเราได้มาแสดงเป็นตัวเขา เราได้ศึกษาตัวเขาก็ได้รู้ว่า เราเข้าใจเขาได้นะ
เข้าใจว่าอะไร
เขามีสิ่งที่ต้องแบกรับเยอะมาก และไม่สามารถจัดการกับมันได้ จนทำให้เขาไปทำร้ายคนอื่นโดยที่ไม่รู้ตัว เขาชินกับการอยู่ข้างบนคนเดียวมานาน จนไม่รู้ว่าการมีเพื่อนที่ดีมันเป็นยังไง ทำให้แตมมีกำแพงในจิตใจเยอะมาก
ในฐานะที่รับบทเป็นประธานนักเรียน ถ้าออกกฎได้จะออกกฎอะไรบ้าง
ถ้าเป็นแตม แตมคงเลือกกฎที่สร้างความเหลื่อมล้ำให้มากกว่าเดิม คงสร้างห้องน้ำแยกระหว่างเด็กห้อง A กับห้อง F สร้างทางเดินแยก ทางเดินของห้อง A ต้องมีแอร์ ของห้อง F ต้องอยู่ข้างนอกไป
แล้วถ้าเป็นฝ้ายล่ะ
ไม่ทำ! ทำทำไม (หัวเราะ) คือเราจะทุบระบบเกรดทิ้งด้วยซ้ำ ถ้าเป็นเรื่องโรงเรียนก็คงไม่อยากให้แบ่งเป็นห้อง A ห้อง B เราอยากให้คละกันหมดเลย เพราะว่าความหลากหลายมันเป็นเรื่องที่เราต้องเจออยู่แล้ว ถ้าเรามัวแต่แบ่งพวก ถ้าออกไปสู่ข้างนอกจริงๆ เราอาจจะอยู่ไม่ได้ เพราะเราต้องเจอกับคนหลากหลายมากมายที่มีความถนัดต่างกัน มีความชอบต่างกัน
ฝ้ายอินกับส่วนไหนในบทนี้มากที่สุด
คงเป็นเรื่องที่แตมต้องพยายามทำภาพลักษณ์ตัวเองให้เข้มแข็งตลอดเวลา และไม่แสดงด้านที่อ่อนแอให้คนอื่นเห็น ซึ่งตัวเราเองก็เคยเป็นแบบนั้นเหมือนกัน เช่น ทำให้ตัวเองดูเข้มแข็ง แต่จริงๆ แล้วตัวเราเองไม่ได้เข้มแข็งขนาดนั้น
มันยากแค่ไหนกับการฝืนตัวเองให้เข้มแข็งไปตลอด ฝ้ายรับมือกับสิ่งนี้ยังไงบ้าง
ตอนแรกๆ ก็พยายามจะยิ้มสดใส เป็นคนที่มีพลังงานด้านบวก แต่พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ชีวิตเราก็มีความเศร้า มีความโกรธ มีความทุกข์ใจ เราก็แค่ปล่อยตัวเองให้ไปตามอารมณ์ที่เราเป็น ไม่พยายามไปฝืนมันเหมือนสมัยก่อน ตอนนี้เราเลยสบายใจที่เป็นตัวเรามากขึ้น
การฝืนแบบนี้มันทำร้ายเรายังไง
มันเหนื่อยนะ บางวันก็กลับบ้านมาร้องไห้คนเดียวในห้อง อยู่ดีๆ น้ำตาก็ไหล ทั้งที่เราก็คิดว่าตอนนี้ก็มีความสุขแล้วนะ แต่ข้างในจริงๆ แล้วมันก็ไม่เป็นอย่างนั้น เราไม่ได้ตระหนักถึงมัน เรามองข้ามไป เราสนใจแต่สิ่งอื่นมากไป จนลืมสนใจความรู้สึกตัวเอง
พอหาเหตุผลได้ไหมว่าเป็นเพราะอะไร
เราแคร์คนอื่นมากเกินไป ตอนแรกๆ ที่เข้ามาในวง เราโฟกัสว่าต้องทำเพื่อคนอื่นมาก จนไม่ได้หันมามองตัวเอง แล้วก็ทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัว ตอนแรกๆ เรารักคนอื่นมากกว่ารักตัวเอง มันก็เลยกลายเป็นแบบนั้นไป
เริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่แล้วเมื่อไหร่
เอาจริงๆ หลงทางเป็นปีเลยนะ อยู่ในวงนี้ก็จะมีคนบอกว่า ต้องเป็นแบบนี้สิ ทำไมไม่เป็นแบบนี้ล่ะ ต้องทำอย่างนี้นะถึงจะได้ดูเป็นไอดอล ไอดอลไม่ทำแบบนี้กันหรอก เลยทำให้เราสับสนในตัวเองนานอยู่เหมือนกัน ความรู้สึกแบบนี้ก็ค่อยๆ สะสมมาเรื่อยๆ
เคยเจอเรื่องราวแบบการแข่งขันในโรงเรียนแบบซีรีส์บ้างไหม
ในโรงเรียนไม่ค่อยแข่งขันกับคนอื่นสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะแข่งขันกับตัวเองเพื่อให้เข้ามหาวิทยาลัยที่อยากเข้าให้ได้ ซึ่งก็ทำให้เรารู้สึกดีที่ที่เราทำเป้าหมายนั้นได้ มันสบายใจกว่านะ เพราะการเปรียบเทียบกับคนอื่นไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น มีแต่ทำให้เรากดตัวเองจนต่ำลง
แล้วชีวิตช่วงมหาวิทยาลัยเป็นไงบ้าง
ส่วนใหญ่ทำกิจกรรมเยอะมาก บางทีก็หายหน้าหายไปจากในห้องไปสักพัก เพราะมีทั้งงานกิจกรรม งานข้างนอก แล้วก็ทำงานด้วย เราเป็นคนบาลานซ์ระหว่างเรื่องเรียนและกิจกรรมมาโดยตลอด แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องไปแข่งขันกับคนอื่นด้วย
คิดว่าข้อดีของการไม่เอาตัวเองไปแข่งกับใครคืออะไร
ถ้าเรามัวแต่ไปโฟกัสอยู่กับแต่คนอื่น ตัวเราเองนี่แหละที่จะเหนื่อยเอง บางทีการที่รีบวิ่งเกินไป เราก็จะเสียมุมมองระหว่างทางไป บางทีเรามัวแต่วิ่งไปข้างหน้าเพื่อตามคนอื่นให้ทัน จนทำให้เราลืมมองระหว่างทางไป
ฝ้ายได้เรียนรู้อะไรจากการเล่นซีรีส์เรื่องนี้มากที่สุด
(นิ่งคิดอยู่นาน) เราได้รู้ว่า ทุกคนมีสิ่งที่ตัวเองต้องสู้ แล้วการที่เขาเป็นแบบนั้น เราก็ไม่ควรรีบไปตัดสินเขาว่าทำไมเขาถึงแย่ เขาอาจจะมีเบื้องหลังที่เราไม่เคยรู้ก็ได้ เราเลยได้เข้าใจว่า คนแต่ละคนต่างกัน ทุกคนมี nature ที่ต่างกัน เลยทำให้เรายอมรับแต่ละคนได้มากขึ้น คือเรามองผู้คนลึกขึ้น
มันทำให้มองวง BNK48 เปลี่ยนไปไหม
เรามองเรื่องการจัดอันดับที่มีอยู่ในวงของเราว่าสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าอันดับไหน เราทุกคนก็คือเพื่อนกันทั้งหมด และทุกคนก็มีความทะเยอทะยานเหมือนกันหมด ดังนั้น เราไม่ควรไปตัดสินว่าความทะเยอทะยานของเขามันไม่ดี
ในฐานะที่เป็นนักเรียนคนนึง ถ้าอยู่ในโรงเรียนแบบในซีรีส์ ฝ้ายจะอยู่ในจุดไหน
เราคิดว่าเราคล้ายกับมีน (บทของมิวสิค BNK48) คือเป็นหัวโจกในการยืนหยัดเพื่อความยุติธรรม เป็นคนลุกขึ้นสู้ เราเป็นคนที่มีอะไรที่อยากจะพูด คือเราอยากให้สังคมไทยเป็นสังคมที่คนกล้าแสดงความคิดเห็นมากกว่านี้ ควรมีการปลูกฝัง เรื่องการแสดงความคิดเห็นให้เป็นเรื่องปกติ ควรจะมีคลาสที่ให้เด็กมานั่งถกเถียงกัน ทำให้เด็กกล้าพูดมากขึ้น แทนที่จะนั่งจดสิ่งที่ครูพูดอย่างเดียว แล้วก็เชื่อทุกคำที่ครูพูดแบบเป็น passive learning เราอยากให้มีการแลกเปลี่ยนกัน ให้เด็กได้ออกเสียงบ้าง
อะไรคือข้อดีของการทำให้สังคมเรากล้าแสดงความคิดเห็น หรือการแลกเปลี่ยนมุมมองกันมากขึ้น
มันฝึกการคิดวิเคราะห์ ฝึกการคิดเชิงวิพากษ์ได้เยอะ การที่นั่งฟังเฉยๆ มันเหมือนแค่เราได้รับข้อมูลมา แต่ไม่ได้คิดต่อยอดออกไป มันก็จะมีแค่ก้อนข้อมูลที่เรารับมาใส่แต่ไม่ได้ถูกนำไปคิดไปเพิ่ม
ฝ้ายเป็นคนดื้อไหม
เราดื้อมากเลยตั้งแต่เด็กๆ เลย ดื้อขนาดที่ย่าไม่อยากเลี้ยง (หัวเราะ) คือเป็นคนที่ดื้อที่สุดในบ้านแล้ว เป็นคนหัวรั้น
พอพูดถึงเรื่องการแสดงออก เราจำได้ว่าฝ้ายเคยพูดในรายการ BNK48 Senpai ของรุ่นสองว่า เมื่อก่อนเป็นคนที่ไม่ค่อยกล้าแสดงออกเท่าไหร่ ล่าเรื่องนี้ให้ฟังหน่อยได้ไหม
สมัยเด็กๆ หนูแสดงออกไม่ค่อยได้ ถ้าเกิดใครเด่นขึ้นมาจะถูกนินทา จะถูกจ่อหัวแล้วว่าอยากเด่นสินะ แล้วถูกหมั่นไส้ เราก็เลยไม่กล้าร้องเพลง ไม่กล้าเต้นให้ใครดู ตอนนั้นมีแค่ที่บ้านที่รู้ว่า เราร้องเพลง เราเต้นนะ ทำให้เรารู้สึกว่า เราต้องการอิสระประมาณนึง ทำให้คิดว่าธรรมศาสตร์คงให้เรื่องนี้กับเราได้ ทำให้เรามุ่งเป้าหมายมาที่ธรรมศาสตร์มากๆ
พอมาได้ใช้ชีวิตคนเดียวที่กรุงเทพ แล้วเป็นยังไงบ้าง
ก็ดีนะ เราเป็นคนชอบอยู่คนเดียว พออยู่คนเดียวทำให้เราได้ทำอะไรมากขึ้น ได้ทดลองทำอะไรมากมาย เรามีสิ่งที่อยากทำเยอะ เลยทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยเยอะเลย
แล้วสิ่งต่อไปที่ฝ้ายอยากทำต่อไป BNK48 คืออะไร
อยากทำให้วงได้การยอมรับในวงกว้างมากขึ้น อยากให้คนข้างนอกเห็นว่า BNK48 มีอะไรมากกว่าที่ทุกคนมี mindset แบบนึงกับเรา เหมือนมีคนตั้งแง่ว่า BNK48 ต้องเป็นแบบนี้ๆ นะ แต่จริงๆ แล้ว BNK48 มีหลายแง่มุมให้ค้นหา และเราเองก็อยากเป็นแง่มุมนึงที่คนได้รู้จัก
เมื่อเร็วๆ นี้เพิ่งผ่านวันเกิดอายุ 24 ปีไป เราเลยอยากรู้ว่า 24 ปีที่ผ่านมานี้ของฝ้ายเป็นการเดินทางที่ยาวนานไหม
ยาวนะ เหมือนอายุ 30 แล้วนะตอนนี้ จิตใจของเราตอนนี้น่าจะ 30 ไปแล้ว (หัวเราะ)
อะไรที่ทำให้รู้สึกแบบนั้น
คือ 2 ปีใน BNK48 ทำให้เรารู้สึกว่า ฉันผ่านมรสุมอะไรมามากมายเลย มันคงเป็นเรื่อง mindset ที่เปลี่ยนไป เราได้รู้ว่าต้องใช้ชีวิตยังไงให้มีความสุขมากขึ้น ปล่อยวางให้มากขึ้น รู้ว่าควรโฟกัสกับอะไร รู้ว่าควรจะทำอะไร ของแบบนี้มานั่งฟังใครพูดให้เรา เราไม่เข้าใจหรอก มันต้องเจอด้วยตัวเอง
ฝ้ายมีภาพลักษณ์ที่เป็นตัวของตัวเองพอสมควร เวลาเจอคำถามว่า ทำไมฝ้ายไม่เป็นแบบนั้น ไม่เป็นแบบนี้ ฝ้ายรับมือยังไง
ก็ไม่ค่อยได้สนใจแล้ว เพราะนี่คือชีวิตของเรา เราเป็นคนที่มีเป้าหมายแล้ว เราก็จะมุ่งมั่นกับมันให้สุดไปเลย ไม่ค่อยสนใจเรื่องอื่นๆ เท่าไหร่
ลองรีวิวชีวิต 2 ปีใน BNK48 ให้ฟังหน่อย
ใช้ชีวิต 2 ปีเหมือน 10 ปีค่ะ (หัวเราะ) มันทำให้เราถึกขึ้นเยอะมากๆ กับการใช้ชีวิต ทั้งการรับมือกับผู้คนและการรับมือกับจิตใจตัวเองด้วย คือเราไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของบางคนได้ เขาสามารถพูดอะไรใส่เราก็ได้ เราไม่สามารถไปบอกให้เขาหยุดพูดได้ เราต้องจัดการกับจิตใจตัวเอง ให้เราโอเคและเดินต่อไป
ซึ่งเป็นเรื่องที่ยาก
ยากมาก (เน้นเสียงจริงจัง)
ฟังแล้วเหมือนกับว่าชีวิตที่ผ่านมาของฝ้ายก็เจออะไรมาเยอะเหมือนกัน
เรื่องเลวร้ายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต มันทำให้เราเข้มแข็งขึ้น มันทำให้เราเป็นฝ้ายในแบบทุกวันนี้ได้ เป็นฝ้ายที่แข็งแรงขึ้นเยอะมาก
ถ้าเทียบกับวันเปิดตัวรุ่น 2 ที่ขึ้นเวทีครั้งแรก กับวันนี้ คิดว่าตัวเองเปลี่ยนไปเยอะมากไหม
เปลี่ยนไปเยอะมาก ตอนนี้เรารู้สึกสบายใจที่จะเป็นตัวเองมากขึ้น สามารถแสดงออกในสิ่งที่อยากจะพูด อยากจะปล่อยมันออกมามากขึ้น แต่ตอนนั้น เราต้องพยายามทำอะไรก็ได้ให้แฟนคลับชอบ ตอนที่เข้าวงมาใหม่ๆ เราก็หลงทาง เป็นไอดอลต้องน่ารัก
แต่ตอนนี้คือ let it go ฉันจะเป็นฉันอย่างนี้
Photo by Watcharapol Saisongkhroh & Fahsai Sirichanthanun