ว่ากันว่า “ความพยายามไม่เคยทำร้ายใคร” แต่ทำไมพยายามไปกี่ครั้ง สุดท้ายก็กลับมาเฟลทุกครั้ง แท้จริงแล้วรางวัลของคนพยายามมีอยู่จริงหรือเปล่า? หรือเรากำลังคาดหวังอะไรล้มๆ แล้งๆ อยู่กันแน่?
เชื่อว่าทุกคนน่าจะเคยตั้งปณิธานอะไรบางอย่างกับตัวเอง เพื่ออัปเกรดให้เรากลายเป็นเราใน ‘เวอร์ชั่นที่ดีขึ้น’ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยไปจนถึงเรื่องจริงจัง อย่างการลดน้ำหนัก เลิกบุหรี่ เก่งกีฬา เทพดนตรี ซึ่งโปรเจ็กต์เหล่านี้มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ ในช่วงรอยต่อระหว่างปีเก่าเข้าสู่ปีใหม่ หรือที่เรียกกันว่า New Year’s Resolution
และตอนนี้เราก็ได้เดินทางมาถึงเดือนที่ 3 ของปีแล้ว เคยย้อนกลับไปเช็คหรือเปล่าว่าปณิธานที่เราตั้งไว้ตอนต้นปี ป่านนี้ไปถึงไหนแล้วบ้าง? บางคนอาจทำสำเร็จไปแล้ว บางคนอาจบอกว่ากำลังทำอยู่ เพราะต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน
แล้วมีใครที่ล้มเลิกไปกลางคัน แล้วกำลังนั่งโบยตีว่าตัวเองเป็นไอ้ขี้แพ้คนหนึ่งอยู่หรือเปล่า?
จริงๆ เราอาจไม่ได้แย่ แค่คาดหวังเกินความเป็นจริงไปหน่อย
อันดับแรกขอปลอบใจก่อนนะว่า “คุณไม่ใช่คนเดียวที่ทำไม่สำเร็จ” เพราะจากผลการศึกษาพบว่า มีผู้คนเพียง 25% เท่านั้นที่ยังคงทำปณิธานที่ตั้งไว้ตอนปีใหม่อยู่ หลังจากผ่านต้นปีไปแล้ว 30 วัน แต่ในท้ายที่สุดก็มีเพียงแค่ 8% เท่านั้นที่ทำปณิธานสำเร็จ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีคนมากมายพยายามหาคำอธิบายเรื่องนี้ ปรากฏว่ามีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์หนึ่ง ที่ส่งผลกับการตั้งความหวังของเรา ทำให้เรามักจะสร้างและทำลายปณิธานที่ตั้งไว้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
โดยนักวิจัยด้านสังคมศาสตร์เรียกอาการนี้ว่า False Hope Syndrome หรือ ‘การตั้งความหวังแบบผิดๆ’ เนื่องจากเราคิดว่าการเปลี่ยนแปลงตัวเอง (self-change) เป็นเรื่องที่ง่าย เราจึงตั้งความหวังไว้สูงเกินความเป็นจริง (unrealistic expectations) และดูจะเป็นไปไม่ได้ โดยปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้ผู้คนตั้งความหวังแบบผิดๆ ก็ได้แก่
- ความเร็ว (คิดว่าตัวเองสามารถบรรลุเป้าหมายได้เร็ว เช่น ต้องลดน้ำหนักให้ได้ภายใน 5 สัปดาห์)
- ความง่าย (คิดว่าตัวเองสามารถบรรลุเป้าหมายได้แบบสบาย เช่น ปรับการกินนิดหน่อยเดี๋ยวก็ได้แล้ว)
- จำนวน (คิดว่าตัวเองจะเปลี่ยนแปลงได้เยอะแค่ไหน เช่น ภายใน 5 สัปดาห์นั้น จะต้องลดให้ได้ 10 กิโลกรัม)
- ผลลัพธ์ (คิดว่าประโยชน์ที่ตามมาจะเป็นยังไง เช่น ผอมแล้วจะมีคนเข้ามาจีบ ถ้าไปทำศัลยกรรมจนสวยหล่อ ก็จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน)
ตามปัจจัยว่ามานี้มักถูกตั้งไว้สูงเกิดความเป็นจริง เกินกำลังความสามารถ หรืออยู่นอกเหนือจากปัจจัยที่เรามี ชนิดที่ว่า go big or go home ถ้าไม่เล่นใหญ่ก็กลับบ้านไปซะ แต่เราก็ไม่สามารถเล่นใหญ่ดังที่หวังได้ ก็เลยเกิดเป็น ‘วัฏจักรของความล้มเหลว’ (cycle of failure) ที่แม้ว่าเราจะพยายามบรรลุเป้าหมายนั้นเท่าไหร่ก็ตาม สุดท้ายก็จะวกกลับมาเจอความล้มเหลวอยู่ดี
ยกตัวอย่างเช่น ช่วงนี้เอ็นจอยกับการกินมากเลย และเมื่อตัดสินใจชั่งน้ำหนักในรอบหลายปี ก็ต้องหน้าซีดปากสั่นกับตัวเลขที่อยู่ตรงหน้า เรียกได้ว่าอร่อยปากลำบากพุง เราจึงต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง เพราะที่น่าเศร้ากว่าตัวเลขที่เพิ่มขึ้น ก็คือกางเกงตัวโปรดที่เริ่มยัดขาเข้าไปไม่ได้แล้ว
และด้วยความใจร้อนเพราะทนเห็นสภาพตัวเองตอนนี้ไม่ไหว รู้สึกอึดอัด คับๆ แน่นๆ อยากจะกลับมาผอมเพรียวเหมือนที่เคยเป็นให้ได้ไวๆ จึงนั่งหาเทคนิคการลดน้ำหนักแบบที่คิดว่าได้ผลแน่ๆ อย่างการอดอาหาร ทำ Intermitten Fasting แบบกิน 2 ชั่วโมง อด 22 ชั่วโมง หักโหมออกกำลังกายเป็นชั่วโมงด้วยเครื่องเล่นแบบแอดวานซ์ในตอน 5 ทุ่ม เพราะเป็นเวลาที่เพิ่งจะปลีกตัวเองจากภาระงานต่างๆ ได้
แต่ด้วยความที่เทคนิคที่ไม่สัมพันธ์กับไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวัน จึงไม่สามารถดึงเราให้ทำกิจกรรมเหล่านี้ได้นานจนเห็นผลลัพธ์ที่หวังได้ และกลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิม กินเยอะ นอนดึก ขี้เกียจออกกำลังกาย สุดท้ายโปรเจ็กต์กลับมาใส่กางเกงตัวโปรดก็ล้มเลิกไปอย่างดื้อๆ
เพราะเราเชื่อว่าเราควบคุมได้ อะไรก็ดูง่ายไปหมด
จริงๆ แล้วมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้มนุษย์รู้สึกมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง แล้วเผลอตั้งความหวังไว้แบบผิดๆ นั่นก็คือเรื่องของ sense of control หรือความรู้สึกของการได้ควบคุมอะไรบางอย่าง เนื่องจากในแต่ละสเต็ปที่เราทำเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง มันส่งเสริมให้เรารู้สึกว่าเรามีอำนาจควบคุม เช่น ควบคุมอาหารการกินของตัวเอง ควบคุมการออกกำลังกาย แน่นอนแหละว่าคนเราชอบความรู้สึกแบบนี้ เพราะเมื่อควบคุมได้ เราก็จะมีความมั่นใจที่จะทำอะไรต่างๆ มากขึ้น
มีผลการทดสอบพบว่า ผู้ที่เข้าร่วมเล่นเกมชิงโชค ชิงรางวัล หรือซื้อล็อตเตอรี่ จะรู้สึกมั่นใจในผลลัพธ์ที่ตัวเองได้มากกว่า ถ้าพวกเขาได้เลือกตั๋วใบนั้นด้วยตัวเอง แทนที่จะให้คนอื่นหยิบให้ และมีผลสำรวจว่า ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มีการรับรู้หรือคิดว่าตัวเองสามารถควบคุมเชื้อร้ายในตัวเองได้ จะรู้สึกเครียดน้อยกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้มีการรับแบบนี้
เช่นเดียวกับกรณีของการลดน้ำหนักหรือคุมอาหาร เบื้องต้นเรามีความเชื่อว่าเราสามารถควบคุมตัวเลขน้ำหนักของตัวเองได้ ผ่านการควบคุมอาหาร ควบคุมการออกกำลังกาย ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกมีความรับผิดชอบมากขึ้น เก่งขึ้น เป็นคนที่เจ๋งขึ้น เพราะถ้าเราตบะแตก หน้ามืดซัดกับข้าวเข้าไปรัวๆ โดยไม่ทันคิด นั่นก็แปลว่าเราขาดอำนาจการควบคุมในตัวเองไป
และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไม ต่อให้ล้มเหลวอีกสักกี่ครั้ง หลายคนก็กลับไปพยายามทำตามเป้าหมายนั้นซ้ำๆ เพราะพวกเขาเชื่อว่าระหว่างทางมีรางวัลบางอย่างตอบแทนกลับมาอยู่ เอาน่า อย่างน้อยเราก็แค่หลุดโฟกัส หลุดการควบคุมไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง เกิดเป็นการมองโลกในแง่บวก และกลับมาทำตามเป้าหมายเดิมซ้ำๆ แม้ว่าจะไม่ใกล้เคียงสำเร็จเลยก็ได้
ซึ่ง เจเน็ต โพลิวี่ (Janet Polivy) นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยโตรอนโต ได้เสนอโมเดลของการสร้างและล้มเลิกปณิธานซ้ำไปซ้ำมานี้ไว้ ดังนี้
- เริ่มจากการเกิดความคาดหวังแบบผิดๆ (false hope syndrome) และตั้งเป้าหมายไว้เกินความเป็นจริง (unrealistic expectations) เช่น ความเร็ว ความง่าย จำนวน หรือผลลัพธ์ที่สูงเกินความสามารถของตัวเอง
- เกิดความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง (commitment to change) เพราะรู้สึกถึงการได้ควบคุมอะไรบางอย่าง
- เกิดความพยายามแค่ช่วงเริ่ม (initial efforts) เพราะความสำเร็จเห็นชัดแค่ในช่วงเริ่ม
- เริ่มต่อต้านที่จะเปลี่ยนแปลง (resistance to change) ทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นหยุดลง
- ละทิ้งความตั้งใจ (abandon attempt) เพราะเป้าหมายล้มเหลว
- หาเหตุผลให้กับความล้มเหลว (attributions for failure) ด้วยการมองโลกในแง่บวก เอาน่า อย่างน้อยระหว่างทางก็ได้รับอะไรกลับมาบ้างแหละ
- กลับมามุ่งมั่นทำตามเป้าหมายอีกครั้ง (recommitment to goals) ด้วยการตั้งเป้าหมายตามข้อแรก
รู้สึกมั่นใจจนกลายเป็นภาพลวงตา
เมื่อเราเกิดอาการคาดหวังแบบผิดๆ คิดว่าตัวเองทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้แน่นอน โดยที่ลืมประเมินพละกำลังและความสามารถของตัวเองก่อน มันก็เลยทำให้เรามี ‘ความมั่นใจที่มากเกินไป’ (overconfidence) ตามมาด้วยเช่นกัน
รอย บาวไมส์เตอร์ (Roy F. Baumeister) นักจิตวิทยาสังคม ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า เมื่อคนเรามุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมาย บางครั้งพวกเขาจะเกิด ‘ภาพลวงตาในเชิงบวก’ ขึ้นมา หรือเรียกว่าเป็นความมั่นใจที่มากเกินไป ทำให้มีแนวโน้มที่จะตั้งเป้าหมายไว้สูงเกินจริง ซึ่งผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือโอกาสล้มเหลวที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน
และนั่นก็คือปัจจัยภายในตัวเองที่ส่งผลต่อการคาดหวังแบบผิดๆ ส่วนปัจจัยภายนอกก็คือสิ่งที่เราป้อนเข้ามาในหัว เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้บรรลุเป้าหมาย และส่งผลต่อการรับรู้ของเราในเวลาต่อมา ยกตัวอย่างหนังสือจำพวก self-help ที่มาจากมุมมองของคนคนเดียว โดยเขาพยายามจะป้อนวิธีเปลี่ยนแปลงตัวเองบางอย่างให้กับผู้อ่าน โดยลิสต์มาเป็นข้อๆ ให้แบบสำเร็จรูป วาดกราฟเอย ตีตารางเอย เป็นเทคนิคในฉบับของเขาเอง ซึ่งหนังสือแบบนี้มักจะทำให้ผู้คนเกิด ‘จินตนาการ’ ว่าพวกเขาสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากมาย อย่างง่ายดายและรวดเร็วด้วย
ซึ่งความที่เราทะเยอทะยานมากเกินไปนี้ จะส่งผลให้เราเกิด ‘กับดัก’ ทางความคิดโดยไม่รู้ตัว เช่น คิดว่าถ้าลดน้ำหนักแล้วก็จะเจอรักแท้ ระดับความสุขเพิ่มขึ้น มีโอกาสเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง แต่ยังไม่มีใครการันตีได้เลยว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นจริงกับทุกคน แล้วพอเรายึดติดกับปลายทางของใครไม่รู้ ซึ่งขัดแย้งกับความสามารถหรือปัจจัยที่เรามี มันจึงทำให้เราไม่สามารถหลงอยู่กลางทาง และทำเป้าหมายนั้นไม่สำเร็จ
จากที่มั่นใจมากเกินไป และวนอยู่กับวัฏจักรของเจเน็ต โพลิวี่ซ้ำๆ วันหนึ่งมันก็กลายเป็นขั้วตรงข้าม หรือรู้สึกขาดความพึงพอใจในตัวเอง (lace of self-esteem) รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า (low self-worth) หรือนิยามตัวเองว่าเป็นไอ้ขี้แพ้ไปเลยก็มี
เดินหน้าต่อบนความหวังที่เป็นไปได้
สำหรับใครที่มีเป้าหมายบางอย่างในชีวิต และเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำความมุ่งมั่นที่มีในตอนแรกหล่นหายทีละเล็กละน้อย จนตอนนี้แทบจะไม่เหลือกะจิตกะใจจะทำ คิดจะล้มเลิก หรือพับโปรเจ็กต์นั้นทิ้งไป เราอยากจะยกมือเป็นปรางห้ามญาติแล้วบอกว่า “ช้าก่อน” เพราะข้างบนเราได้อธิบายไปอย่างยืดยาวแล้ว เลยอยากชวนทุกคนมาทบทวนไปพร้อมๆ กันดูว่า เราประเมินความสามารถของตัวเองต่อสิ่งที่ตั้งเป้าไว้ ‘อย่างเมกเซนส์’ แล้วหรือเปล่า? เช่น ช่วงนี้สภาพร่างกายและจิตใจเป็นยังไง? คุณยังต้องทำงานหนักอยู่มั้ย? แล้วกลับบ้านมาเหนื่อยๆ คุณจะต้องออกกำลังกายหนักถึง 1 ชั่วโมงเต็มเลยเหรอ? มีวิธีอื่นหรือเปล่าที่พอจะยืดหยุ่นและใจดีกับตัวเองมากกว่านี้?
หรือที่ผ่านมาเคยปรุงน้ำตาลในก๋วยเตี๋ยว 3 ช้อนชา จนลิ้นชินกับความหวานนั้นมานานหลายปี จู่ๆ วันหนึ่งเกิดกลัวจะมีปัญหาทางสุขภาพตามมา เลยลองทำ sugar detox ดู ด้วยการหักดิบไม่ใส่น้ำตาลเลยสักช้อนเดียว แถมบอกป้าๆ ไม่ต้องปรุงน้ำตาลมาให้ด้วยนะ แต่วันอีก 5 วันต่อมาดันโหยจนหน้ามืดตามัว เผลอใส่น้ำตาลไปเลย 5 ช้อนชาเต็มๆ แถมควักขนมถ้วนบนโต๊ะไปอีก 2 ฝา ชดเชยความหวานในชีวิตที่หายไป มารู้ตัวอีกที ตัวเองก็กลับมาติดหวานเหมือนเดิมอีกแล้ว
ดูเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ค่อยยั่งยืนเลยจริงมั้ย? และมันจะเป็นๆ หายๆ แบบนี้ไปอีกเรื่อยๆ เพราะร่างกายยังปรับตัวไม่ทันน่ะสิ “ก็แหม อยู่ด้วยกันทุกวัน เวลาเธอมีอะไรเปลี่ยนไป ทำไมเราจะไม่รู้” ร่างกายบอก แล้วเจเน็ต โพลิวี่ ก็ช่วยย้ำอีกว่า มันยากนะ ที่จะปัดน้ำตาลออกไปให้หมด ในเมื่อวินาทีที่กัดคัพเค้กเข้าไปในปาก ร่างกายได้ปล่อยสารเอ็นดอร์ฟินที่ชวนให้มีความสุขออกมา แล้วมันมีแนวโน้มที่เราจะโหยน้ำตาลมากกว่าเดิม แทนที่จะไปเอาออกจากอาหาร (ฮือ)
เช่นเดียวกันกับการเลิกบุหรี่ การเลิกคบคนนิสัยแย่ๆ แต่ยังขาดกันไม่ได้ หรือการพัฒนาทักษะอะไรบางอย่าง เมื่อเราไม่รู้ตัวว่ากำลังคาดหวังไว้สูงเกินความสามารถของตัวเอง ก็ทำให้ระหว่างทางเรารู้สึกแย่ และมีแนวโน้มสูงที่จะยอมแพ้ไปก่อน ฉะนั้น การกลับมาอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง สำรวจสิ่งที่ตัวเองพอทำได้ในระยะยาว และค่อยๆ อัพเกรดทักษะขึ้นไปเรื่อยๆ อาจช่วยให้เรารู้สึกว่าปณิธานหรือเป้าหมายนั้นๆ ดูเป็นไปได้มากขึ้น
ยกตัวอย่างในปี ค.ศ.2016 มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก ได้ตั้งปณิธานปีใหม่ของตัวเอง และประกาศลงเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ปีนี้เขาจะวิ่งให้ได้ 365 ไมล์ จากนั้นก็ได้เชิญชวนแฟนๆ ให้เข้ามาร่วมทำเควสของเขาด้วย โดยระยะทางที่เขาตั้งไว้ เมื่อเทียบเท่ากับการวิ่งมาราธอนแล้ว แปลว่าปีนั้นเขาจะต้องวิ่งมาราธอนมากถึง 10 กว่าครั้งเลยล่ะ
ถ้าเราดูเผินๆ ระยะทาง 365 ไมล์นั้นเป็นเป้าหมายที่โหดมาก และสุดท้ายมาร์กอาจจะได้ไปอยู่กับกลุ่มคนอีก 92% ที่ทำปณิธานปีใหม่ไม่สำเร็จแน่ๆ แต่พอมานั่งคิดดูอีกทีแล้วหั่น 365 ไมล์ ให้กระจายภายใน 1 ปี หรือ 365 วัน นั่นแสดงว่าเขาวิ่งเพียงแค่วันละ 1 ไมล์เองนี่หว่า? หรือใช้เวลาเพียงแค่ 10-12 นาทีต่อวันเท่านั้นเอง โห จิ๊บๆ พอเทียบแบบนี้แล้ว ปณิธานของมาร์กก็ไม่ได้โหดหรือว้าวอะไรขนาดนั้นเลย
ความพ่ายแพ้ ความล้มเหลว หรือความผิดหวัง เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากจะเผชิญ แต่เมื่อบางครั้งมันยากที่จะหลีกเลี่ยง เราสามารถป้องกันตัวเองไม่ให้รู้สึกแย่มากเกินไป โดยการกลับมารักษาเป้าหมายเล็กๆ หรือเป้าหมายระยะสั้นที่พอจะจัดการได้ให้คงอยู่ และรู้จักดื่มด่ำกับความสำเร็จเหล่านั้นบ้าง แม้มันจะไม่ได้เป็นเป้าหมายที่ใหญ่อะไรนัก แบบนี้ก็พอจะทดแทนกันได้นะ
การมีความฝันที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่เรื่องผิด ที่ระหว่างทางไปสู่ความฝันนั้นควรจะอยู่บนพื้นฐานความเป็นไปได้ของเราเสียก่อน หวังว่าการได้รู้จักอาการ False Hope Syndrome จะทำให้ ‘ไฟ’ ในการทำอะไรสักอย่างของคุณจุดติดขึ้นมาบ้าง เพราะได้เห็นแล้วว่าการที่คุณทำสิ่งนั้นไม่สำเร็จ ไม่ได้แปลว่าคุณห่วยแตก ไร้ความสามารถ หรือมีความอดทนต่ำอะไรแบบนั้นหรอก เพียงแต่คุณกำลังติดกับดักของ ‘ภาพลวงตา’ ที่ทำให้เป้าหมายอยู่สูงเกินไปก็เท่านั้นเอง
อ้างอิงข้อมูลจาก