สูงยาว ขาวตี๋ ✅
หมวย เนิร์ด ใส่แว่น ✅
หน้าคม ผมยาว ผิวแทน ✅
มีมารยาทบนโต๊ะอาหาร ✅
วางแผนอนาคตให้ตัวเอง ❌
ลิสต์ในใจมีมากมาย หายไปสักข้อก็ไม่อยากได้แล้ว ใจหนึ่งก็คิดว่าถูกแล้วล่ะที่ไม่ลดมาตรฐานตัวเอง แต่อีกใจก็ได้แต่สงสัย แล้วชาตินี้จะมีแฟนกับเขาบ้างไหมนะ เป็นโสดด้วยความสามารถ เลือกเอง โสดเอง จนใครๆ ต่างก็ร่ำลือกันว่าเรานั้นมาตรฐานสูงลิบ จะปฏิเสธก็ไม่ได้เพราะก็รู้อยู่แก่ใจว่าสูงจริง มีลิสต์ในใจเป็นข้อๆ เรียงเต็มหน้ากระดาษว่าต้องตรงตามนี้เท่านั้น ไม่มีอะลุ่มอล่วย
แค่ไหนถึงเรียกว่าสูง?
ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเอาคนที่หล่อที่สุด สวยที่สุด ดีที่สุด อันดับหนึ่งในโลก ในจักรวาล ในขณะที่ตัวเองนั้นเป็นคนแสนธรรมดา นั่งลงสักนิด พูดคุยกันสักหน่อย ให้เข้าใจว่ามาตรฐานสูงที่เรากำลังพูดถึงอยู่นั้น ไม่ได้หมายถึง สวยสุด เลิศสุด บุรุษสตรีอันดับหนึ่ง แต่เราหมายถึงมาตรฐานในใจของเราเอง อาจจะเป็นเรื่องภาพลักษณ์ภายนอกที่เห็นได้ด้วยตาเนื้อ สูงต่ำดำขาว ไทบ้าน ขาวตี๋ หมวยเนิร์ด สายฝอ รวมถึงนิสัยใจคอแบบนี้แบบไหนแล้วแต่ใจเรา
ทีนี้ สมมติว่าเรามีลิสต์ที่ขาดไม่ได้อยู่ 5 ข้อ ไม่ว่าจะด้วยภาพลักษณ์ บุคลิก นิสัยก็ตาม เลือกมาแล้วเน้นๆ และต้องมีครบ 5 ข้อนี้ในคนเดียวเท่านั้น ขาดไปสักข้อก็ไม่ได้ คล้ายกับเงื่อนไขในใจที่ไม่สามารถอะลุ่มอล่วยได้ ตั้ง 5 ข้อนี้ไว้เป็นขั้นต่ำ มีมากกว่านี้ก็ดี แต่น้อยกว่านี้ไม่ได้ แบบนี้ล่ะที่เรียกว่ามาตรฐานสูงที่เรากำลังพูดถึง
หากต้องลดข้อใดข้อหนึ่งลงเพื่อให้ใครเข้ามาในชีวิต ก็เริ่มคิดแล้วว่า เรากำลังลดมาตรฐานตัวเองอยู่หรือเปล่านะ ข้อที่ขาดหายไปก็ยังเป็นสิ่งที่เราต้องการอยู่ดี ถ้าต้องมีคนรักให้อุ่นใจ แต่ไม่ได้อย่างที่หวังไว้ แบบนี้สู้ไม่มีเสียยังดีกว่า
มาตรฐานสูงเข้าไว้ก็ใช่ว่าจะแย่
หากพูดถึงเรื่องมาตรฐานในใจเฉยๆ การมีสิ่งนี้ไว้อาจช่วยให้เราคัดกรองคนที่เข้ามาได้ง่ายมากขึ้น อาจจะยังไม่ต้องทำความรู้จักลึกซึ้งขั้นคบหาดูใจ อาศัยเดตกันไม่กี่ครั้ง ลองพูดคุยไม่กี่วันก่อนก็ได้ หากมันไม่ตรงตามต้องการก็ช่วยให้รู้แล้วว่าไปต่อไม่ได้ แต่ถ้าใครผ่านมาถึงรอบลึกๆ ได้ นั่นแปลว่าเขาผ่านมาตรฐาน คุณสมบัติตรงกับที่เราต้องการ คล้ายกับเวลาบริษัทรับใครสักคนเข้าทำงานเหมือนกัน
แม้แต่ เอมี่ เลดดิ้งแฮม (Amie Leadingham) ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ ยังสนับสนุนให้ผู้เข้ารับคำปรึกษาของเธอ ลองลิสต์มาตรฐานในใจเอาไว้ ทั้งพฤติกรรมและค่านิยมที่อยากให้สอดคล้องกับเรา ไปจนถึงสิ่งที่รับไม่ได้เด็ดขาด ซึ่งกลยุทธ์นี้ จะช่วยสะท้อนให้เห็นปัญหาจากความสัมพันธ์ในอดีต อะไรที่มันเป็นตัวต้นเรื่อง ก่อปัญหาจนต้องยุติความสัมพันธ์กันไป
พอจับจุดได้แล้วว่าไม่ชอบอะไร อาจลองเปลี่ยนมันไปเป็นฝั่งแง่บวกที่อยู่ตรงข้าม สมมติว่าไม่ชอบคนไม่รักษาความสะอาด สิ่งนี้มันเคยสร้างปัญหาให้เรามากและไม่อยากต้องเจอปัญหานี้อีก เราก็ลองหยิบเรื่องนี้ไปเป็นมาตรฐานว่า ฉันชอบคนสะอาดนะ อะไรทำนองนี้ มันสามารถปรับไปเป็นเรื่องนิสัยอื่นๆ ได้ทั้งนั้น
มาตรฐานที่ว่านี้ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ เป็นเหมือนคุณสมบัติที่คอยคัดกรองคนที่จะเข้ามานั่นเอง ดังนั้น หากเราจะมีหลายข้อหน่อย เพราะเคยมีเรื่องแย่ๆ ผ่านเข้ามา ก็ไม่เป็นไร ไม่มีใครจะอยากเจอปัญหาเดิมซ้ำสองนี่นา
แม้เอมี่จะสนับสนุนให้ทุกคนมีมาตรฐานในใจขนาดไหน แต่สิ่งหนึ่งที่เธอดอกจันเอาไว้ให้ไตร่ตรองกันอีกครั้ง คือเรื่อง ‘กับดักรูปลักษณ์ภายนอก’ โอเค เรามีลักษณะที่ชอบได้ แต่เธอเองก็อยากให้ผู้คนเน้นไปยังสิ่งที่อยู่ข้างในด้วยเช่นกัน อย่างความเข้ากันได้บางอย่างที่เราไม่สามารถประเมินได้จากภายนอก เช่น อารมณ์ขัน ทัศนคติ การเมือง ศาสนา มารยาททางสังคม ความมีวินัย เธอไม่อยากให้เราพลาดสิ่งภายในที่เข้ากับเราได้ เพียงเพราะเปลือกนอกเขาไม่ใช่แบบที่เรามองหานั่นเอง
แต่นั่นก็เป็นเพียงคำแนะนำเท่านั้น จะเลือกใช้หรือไม่ใช้ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของเราได้เช่นกัน
มีมาตรฐานยังไงไม่ให้ผิดหวัง?
คนนี้แหละที่เข้าตา แต่คุยไปคุยมาดันเข้ากันไม่ได้ เลือกแล้ว เลือกอยู่ เลือกต่อ เลือกจนท้อแล้วพี่จ๋า ผิดหวังซ้ำไปซ้ำมาเพราะมาตรฐานตัวเอง มันก็เจ็บเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ไหนบอกว่ามีมาตรฐานไว้แล้วมันจะดี ดีเมื่อไหร่โทรปลุกด้วยนะ
ใจเย็นก่อน ที่บอกให้มีมาตรฐานน่ะ มันเหมือนมีคุณสมบัติตั้งเป็นเงื่อนไขในใจเฉยๆ ที่เราผิดหวังซ้ำๆ แบบนี้ นังตัวต้นเรื่องดูจะไม่ใช่มาตรฐานสูงลิบหรอก มันออกจะเป็นเรื่องของความคาดหวังมากกว่า หากเรามีมาตรฐาน มีลิสต์ในใจเฉยๆ ใครเข้ามาตรงบ้างไม่ตรงบ้าง มันก็เรื่องของเขา ตัวตนเขา เขาเป็นแบบนั้น เป็นหน้าที่เราที่จะคัดกรองเอาที่ชอบที่ใช่ไว้เอง แต่ที่เจ็บซ้ำไปมาแบบนี้ เป็นเพราะความคาดหวัง ที่เอาไปทาบทับกับคนนั้นทีคนนี้ที ว่าเขาเป็นข้อ A แล้วจะต้องเป็นข้อ B ด้วยแน่เลย พอไม่เป็นดังหวังขึ้นมา ก็น้ำตาเช็ดหัวเข่า เสียดายก็เสียดาย แต่ก็ไม่อยากลดมาตรฐาน เลยเกิดเป็นทางแยกในใจอยู่อย่างนี้
เขย่าตัวเตือนสติกันอีกที เราสามารถมีมาตรฐานได้ แต่อย่าปล่อยให้ความคาดหวังสูงเกิน หวังล่วงหน้า หวังไปไกล เพราะเราไปบังคับไม่ได้ว่าใครจะเป็นยังไง เขาไม่เป็นดังหวังขึ้นมามันก็ไม่ใช่ความผิดของเขานี่นา
สำหรับใครที่ยังซื้อไอเดียมาตรฐานสูงอยู่ อยากสูงต่อไป ก็ขอให้มั่นใจเข้าไว้ แต่ถ้าใครรู้ว่า อยากแง้มใจ เปิดประตูโอกาสให้มากขึ้นอีกหน่อย จาก 100 ข้อ เหลือสัก 80 จะเริ่มจากตรงไหนดีนะ
- อย่าตกหลุม Packaging Trap
ไม่ผิดเลยที่เราจะประเมินใครสักคนที่หน้าตา บุคลิก อะไรก็ตามที่เห็นด้วยตาเนื้อได้ คนเรามันมีสไตล์ในใจแบบนี้นี่เนอะ แต่มันก็น่าเสียดายเหมือนกันถ้าเราปอกเปลือกนอกคนที่ไม่ตรงใจออก แล้วพบว่าข้างในของเขาคืออะไรที่เราตามหาเหมือนกัน หรือในทางกลับกันเราลงคะแนน 10 10 10 ให้กับกายหยาบของเขา แต่ตกลงมาคบหาแล้ว นิสัยไปคนละทาง ก็นับว่าเสียดายเวลาและโอกาสเหมือนกันทั้ง 2 กรณี - สิ่งไหนที่เราให้น้ำหนักมากที่สุด
ต่อเนื่องจากข้อที่แล้ว อยากชวนให้เราตอบตัวเองให้ได้ว่า ในบรรดา 108 ข้อในใจของเรา ข้อไหนที่เราให้น้ำหนักมันมากที่สุด ส่งผลกับความสัมพันธ์มากที่สุด ตอบมาได้เลย ไม่มีอะไรถูกผิด เพียงแต่เราต้องเอาสิ่งนั้นไปประเมินต่อ หากเราให้น้ำหนักกับรูปลักษณ์ แต่สบายๆ เรื่องนิสัย เป็นคนแบบไหนก็ได้ เราจะได้เข้าใจตัวเองในจุดนี้ หรือเป็นคนเน้นทัศนคติ มุมมองในชีวิตมากกว่า เราก็จะได้ให้น้ำหนักในการมองหาสิ่งนี้ในตัวใครสักคนได้ถูก - ยืดหยุ่นให้กับความหลากหลาย
โลกนี้มีคนมากมายหลากหลายแบบ ความหลากหลายมันไม่ได้มีแค่สูงต่ำดำขาวภายนอก แต่รวมถึงนิสัยข้างใน อยู่กับเพื่อนแบบหนึ่ง กับแฟนแบบหนึ่ง กับครอบครัวก็อีกแบบหนึ่ง แค่ในตัวคนเดียวก็เป็นได้หลายอย่างแล้ว สำหรับบางเรื่องที่ต่อให้มันไม่ได้ตรงลิสต์ในใจ แต่ถ้ามันไม่ได้ขัดกับเงื่อนไขใดๆ อาจจะมองข้ามมันไป มองว่ามันเป็นอีกความหลากหลายของคนหนึ่งคน อาจช่วยให้เราเปิดกว้างกับผู้คนได้มากขึ้น - ไม่รีบร้อนผูกมัด
ให้เวลาทั้งเราและเขา ได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นเสียหน่อย อย่าเพิ่งตัดขาดกันด้วยข้อขัดใจที่เพิ่งเกิดขึ้นครั้งสองครั้ง มันอาจเป็นเพียงสถานการณ์บางอย่างที่ผ่านเข้ามา เขาอาจจะไม่ได้เป็นคนแบบนี้ไปตลอดก็ได้ รวมถึงเราเองเหมือนกัน ค่อยๆ ทำความรู้สึกเขาให้มากขึ้นอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อนผูกมัดกันเสียจนถอนตัวภายหลังไม่ทัน
ไม่ต้องซีเรียสเลยว่าชีวิตนี้จะเจอคนที่ใช่บ้างหรือยัง จะขึ้นคานไปจนบั้นปลายชีวิตเลยไหม บางครั้งคนที่ใช่นักหนา ติ๊กถูกทุกข้อ มาคบกับจริงจัง เป็นอันต้องปิ๋วไปก็เยอะ หรือคนที่ไม่ถูกใจสักเท่าไหร่ มาลองเปิดโอกาสคบกัน มันก็จะติดขัดข้อนั้นอยู่ซ้ำๆ ก็เป็นไปได้
เมื่อความรักจริงๆ มาถึง มันอาจลงล็อกง่ายเสียจนเราลืมเงื่อนไขในใจไปเลยก็ได้
อ้างอิงจาก