‘ไม่ได้อยากจะเป็นเพื่อนแกว่ะ ใครเพื่อนแกอะ ถามกันบ้างหรือยัง ให้เธอไปตั้งเยอะ ได้แค่เพื่อนเองเหรอ บอกเลยใจฉันคิดไปมากกว่านั้น’ เนื้อเพลงสุดฮิตจากเพลงใครเพื่อนแก ของวง bamm ที่คนโคฟเวอร์กันไปทั่วบ้านทั่วเมือง เพราะเนื้อหาแสนจะตรงใจ
ว่ากันว่าการตกหลุมรักเพื่อนสนิทเหมือนการเดินบนทางเท้าประเทศไทยตอนที่ฝนเพิ่งหยุดตก คือเราไม่อาจรู้ได้เลยว่าการเหยียบอิฐบล็อกแผ่นไหนแล้วจะเจอกับระเบิดน้ำขัง ด้วยความสนิทกัน เราไม่รู้อีกต่อไปว่าการกระทำไหนมัน ‘แค่เพื่อน’ หรือการกระทำไหน ‘เกินเพื่อน’
จากสิ่งที่เคยทำแบบไม่เคยคิดอะไร กลายเป็นต้องคิดเยอะไปหมด ลูบหัวนี่เกินเพื่อนมั้ยนะ ถ่ายรูปคู่กันแบบนี้ใกล้ไปเปล่า แล้วเพื่อนกันเขาเดินควงแขนได้เหรอ หรือหนักเข้าคือถึงจุดที่เก็บความรู้สึกไว้ไม่ไหวแล้ว อยากบอกออกไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่ถึงจะรู้ใจกันทุกเรื่อง เราก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าเรื่องนี้เขาก็รู้สึกเหมือนกับเรารึเปล่า
เพราะเราคุยกันได้ทุกเรื่อง
ถ้าความสัมพันธ์เหมือนการวิ่งแข่ง ความรักที่เกิดขึ้นจากการเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อนก็เหมือนได้จุดสตาร์ทอยู่หน้าคนอื่น เพราะไม่จำเป็นต้องมาทำความรู้จักกัน ใช้เวลาเรียนรู้กันและกันว่าอีกฝ่ายชอบหรือไม่ชอบอะไร และบางคนก็รู้จักกับครอบครัวอีกฝ่ายไปแล้วเรียบร้อย ชนิดที่ว่าเดินเข้าออกบ้านกันได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก
มีการแบ่งทัศนคติของผู้คนที่มีต่อความรักออกเป็น 5 กลุ่มที่แตกต่างกันในแง่ของสิ่งที่พวกเขามองหาในความสัมพันธ์ ซึ่งจะมีกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า ‘Storge Love’ ที่แตกต่างจากความรักในกลุ่มอื่น เพราะความรักในกลุ่มอื่นมักให้คุณค่ากับรูปลักษณ์ภายนอกหรือความตื่นเต้นของความสัมพันธ์ แต่กลุ่มนี้ให้คุณค่ากับความคุ้นเคย ความทรงจำที่ร่วมสร้างด้วยกันมา ความสบายใจ ความสนใจที่คล้ายคลึงกัน และความใกล้ชิด ดังนั้นพวกเขาค้นพบว่าอีกครึ่งใจที่เขาตามหาไม่ใช่ใครเลย แต่เป็นเพื่อนสนิทที่อยู่ข้างกันมาตลอด
การเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อนนั้นจะช่วยสร้างรากฐานความสัมพันธ์ให้แข็งแรงเมื่อคิดจะสานต่อในฐานะคนรัก เราเติบโตมาด้วยกัน เราคุยกันได้ทุกเรื่อง เราหัวเราะให้กับเรื่องเดียวกัน เราร้องไห้บนบ่าของกันและกัน ผ่านทั้งเรื่องดีและแย่มาด้วยกัน ทะเลาะกันก็กลับมาเข้าใจกันได้เสมอ เมื่อพัฒนากลายมาเป็นคนรัก ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นความสัมพันธ์ที่สบายใจ ไม่จำเป็นต้องปรับอะไรเข้าหากันมากนัก เพราะเราต่างรู้จักกันดีที่สุดอยู่แล้ว
เพราะเราเคยเห็นภาพฝันมาก่อนหน้านี้แล้ว
เมื่อแรกรักกับใครสักคนที่เพิ่งจะรู้จักกัน เรามักจะวาดภาพฝันเอาไว้ว่า ‘ถ้าเป็นแฟนกัน จะเป็นยังไงนะ’ เราจะจินตนาการว่าถ้าไปเที่ยวกันจะสนุกแค่ไหน จินตนาการถึงตอนที่จับมือกัน หัวเราะด้วยกัน จินตนาการว่าถ้าไปเจอคนในครอบครัวจะเป็นยังไง นั่นเพราะเรายังไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จนกว่าเราจะได้ทำความรู้จักและใช้เวลาด้วยกันมากกว่านี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบางครั้งมันก็ทำให้เรากังวลใจอยู่บ้างเหมือนกัน ว่าภาพฝันเหล่านี้จะเกิดขึ้นจริงได้ไหม
แต่การที่เราเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน นั่นหมายความว่าเราผ่านแทบทุกภาพฝันที่เราจะวาดมาแล้ว เรารู้แล้วว่าตอนไปเที่ยวเธอจะหลงทางจนร้องไห้ รู้แล้วว่าเสียงหัวเราะของเธอเป็นยังไง เธอจะหัวเราะกับเรื่องอะไร รู้แล้วว่าแม่เธอจะทำเมนูอะไรให้กินเวลาไปหาเธอที่บ้าน
ฟังดูแล้วอาจเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่หวือหวา แต่ความธรรมดาของความสัมพันธ์นี่แหละที่แสนพิเศษ เพราะความสัมพันธ์คือการให้ความปลอดภัยแก่กันและกัน ภาพฝันที่เราเห็นของจริงมาแล้วจะทำให้เรารู้สึกปลอดภัย และถ้าเราได้เป็นคนรักกัน จะอีกกี่ 10 ปีเธอก็จะหัวเราะด้วยเสียงแบบนี้แหละ ถ้าวันไหนที่เธอหัวเราะด้วยเสียงที่ต่างออกไป เราจะรู้ได้ทันทีว่ามีอะไรไม่ปกติ หรือจะอีกกี่สิบปีแม่เธอก็จะทอดไข่เจียวมาพร้อมน้ำพริกตาแดงกระปุกนึงให้เรากินทุกครั้งที่ไปหาเธอที่บ้าน จนมันเป็นอาหารคอมฟอร์ตใจของเราไปในที่สุด
อยากสิ้นสุดทางเพื่อน แต่กลัวจะเลื่อนไปเป็นคนอกหัก
ถึงทางทฤษฎีมันจะสวยงามขนาดไหน แต่ระหว่างทางมันไม่ได้ง่ายนะ อย่างที่เราเคยฟังมาจากเพลง ‘เพื่อนไม่จริง’ ว่าการตัดสินใจที่ยากที่สุดของคนแอบรักเพื่อนสนิท คือการที่จะอยู่ตรงนี้และเป็นเพื่อนกันตลอดไป หรือก้าวข้ามเส้นเพื่อลุ้นว่าเราจะเป็นคนรักกันได้ไหม การเป็นเพื่อนเธออยู่อย่างนี้แล้วสักวันต้องเห็นเธอไปแต่งงานกับคนอื่นมันก็เกินจะรับไหว แต่จะไปลุ้นว่าเธอจะคิดเหมือนกันหรือเปล่าก็มีโอกาสที่สิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้จะพัง จะเลือกทางไหนก็มีโอกาสเจ็บทั้งนั้น
“แต่จะให้เลิกรักเธอมันก็ไม่ได้เปล่าวะ”
ส่วนใหญ่คำแนะนำที่มีให้กันในชมรมแอบรักเพื่อนสนิทมักจะบอกว่าอย่าคิดเกินเลย แต่เอาเข้าจริง อยู่ด้วยกันทุกวัน คุยกันทุกเรื่อง จะมาบอกให้เลิกชอบเขาแล้วตีตัวออกห่างไปเนี่ยนะ ไม่ต่างอะไรจากอกหักเลย กินมะระสักหนึ่งคันรถยังขมน้อยกว่า
แต่ละทางเลือกมีแต่เจ็บกับเจ็บกับเจ็บ บางครั้งคนเราก็เลยตัดสินใจเอาตัวเองออกไปเสี่ยง เป็นไงเป็นกัน อกหักก็เจ็บครั้ง แต่เดี๋ยวมันก็จบ ดีกว่าไปเจ็บอีกเป็น 100 ครั้งถ้าเป็นแค่เพื่อนต่อไป ให้เธอมาปรึกษาว่าจีบคนนี้ดีมั้ย ซื้ออะไรให้เป็นของขวัญวันครบรอบดี แล้วเป็นลมอีกทีตอนเธอมาแจกการ์ดแต่งงาน พอฟื้นขึ้นมาก็เป็นลมซ้ำอีกรอบเพราะเห็นรูปถ่ายคู่กับลูกวัยกำลังน่ารักที่หน้าตาเหมือนเธอตอนเด็กเป๊ะ แค่คิดก็อยากได้ยาดมมายัดรูจมูกเดี๋ยวนี้เลย
ฟังดูแล้วเหมือนจะไม่มีคำตอบว่าควรจะเลือกทางไหน ใช่ เราไม่มีคำตอบสำหรับคนแอบรักเพื่อนสนิทที่กำลังมายืนมุงหาคำตอบอยู่หรอก แต่อย่างน้อยมีงานวิจัยที่วิเคราะห์ข้อมูลจากการเก็บข้อมูลจากงานศึกษากว่า 7 ชิ้นตั้งแต่ปี 2002 จนถึงปี 2020 ชี้ให้เห็นว่าคู่รักกว่า 68% นั้นเริ่มมาจากการเป็นเพื่อนกัน ฟังแล้วใจชื้นขึ้นเยอะ เอายังไงดีพวกเรา
เออถ้าแกว่าเพื่อนก็เพื่อน แต่เราไม่เคยคิดแค่เพื่อนเลยนะ
อ้างอิงจาก
Graphic Designer: Kotchamon Anupoolmanee
Proofreader: Runchana Siripraphasuk