จากข่าวดังที่เป็นกระแสในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงคดีต่างๆ ในอดีตที่โด่งดังในเกาหลี ไม่ว่าจะเป็นคดี Burning Sun คดี Deepfake ตัดต่อภาพอนาจารผู้หญิงแพร่ระบาดทั่วเกาหลีใต้ ได้ทำให้เกิดคำถามคาใจสำหรับใครหลายๆ คน ว่า เพราะเหตุใดประเด็น ‘ความไม่เท่าเทียมทางเพศ’ ในเกาหลีใต้นั้นเข้มข้นมากขนาดนี้?
โดยอ้างอิงจากดัชนีช่องว่างระหว่างเพศ ใน World Economic Forum ปี 2024 เกาหลีใต้อยู่อันดับ 94 จาก 146 ประเทศทั่วโลก ที่แม้จะถือว่าขยับขึ้นจากปีก่อนๆ หน้าเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของค่าแรงผู้หญิง แต่ก็ยังถือเป็นลำดับที่บ่งบอกถึงความยังไม่เท่าเทียมเท่าไรนักอยู่ดี
คำถามสำคัญที่น่าสนใจไม่แพ้กันกับสาเหตุ ต้นตอ ของระบอบปิตาธิปไตย หรือชายเป็นใหญ่ในเกาหลีใต้ จึงเป็นคำถามที่ว่า แล้วคนเกาหลีรู้สึกอย่างไรก็บสถานการณ์เช่นนี้ หรือจะเป็นไปได้ไหม ที่เกาหลีใต้จะมีความเท่าเทียมทางเพศที่แท้จริง
The MATTER พูดคุยถึงเรื่องนี้กับ อ.วีรญา กังวานเจิดสุข คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อทำความเข้าใจกับประเด็นดังกล่าวให้มากยิ่งขึ้นกัน
หากเราเคยค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องปิตาธิปไตยในเกาหลีใต้ จะพบว่าหลายแหล่งมักจะบอกว่าเป็นความผิด ‘ขงจื๊อ’ ที่มีส่วนปลูกฝังแนวคิดเหล่านี้ให้ชาวเกาหลี แต่ อ.วีรญาระบุว่า อาจจะมีปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วยเช่นกัน
โดยเราจะต้องย้อนไปดูตั้งแต่การก่อร่างสร้างตัวขึ้นของประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งในอดีตเป็นประเทศเกษตรกรรม การจะทำเกษตรกรรมนั้น ปัจจัยหลักที่จะทำให้ไปได้ดีก็คือความเป็นไปของ ‘ธรรมชาติ’ ว่าจะเอื้ออำนวยมากแค่ไหน แต่อีกปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ‘แรงงาน’ (ในภาคการผลิตไปโดยปริยาย อีกทั้งบริบทในสนามรบ ผู้ชายได้รับบทบาทเป็นทหาร และหญิงรับบทบาทเป็นแม่ หรือแม่บ้าน
เวลาล่วงเลยไป ผู้ชายก็เป็นเพศที่ได้รับสิทธิในการเข้าถึงสถานศึกษา มีโอกาสได้ศึกษาปรัชญาขงจื๊อ เพราะผู้ชายในชนชั้นยังบันอ่านอักษรจีนได้ ‘ขงจื๊อ’ โอกาสในการศึกษาปรัชญาขงจื๊อก็เป็นของผู้ชาย
ดังนั้น ด้วยกรอบสังคม วิถีประชา ที่ทำต่อๆ กันมา จึงเป็นกลายกำหนดกลายๆ ว่าผู้ชายมีหน้าที่ออกนอกบ้าน อันเป็นหน้าที่มีสิทธิ์กว่าผู้หญิง ซึ่งรับหน้าที่ในบ้าน ดูแลบ้าน ดูแลสามี ความสำคัญและอำนาจจึงเทมาอยู่ที่ผู้ชายโดยปริยาย
แนวคิดหยินหยาง ก็เข้ามามีบทบาท อันเป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่เกาหลีใต้ได้รับอิทธิพลมาจากจีน อันเป็นแนวคิดปรัชญาโบราณ ที่อธิบายถึงธรรมชาติของจักรวาลและความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ในโลก โดยเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีสองด้านที่ตรงกันข้ามแต่เสริมซึ่งกันและกัน และไม่มีสิ่งใดที่ดำรงอยู่ได้อย่างสมบูรณ์หากปราศจากอีกสิ่งหนึ่ง
สำหรับประเด็นเรื่องเพศ สามารถอธิบายผ่านแนวคิดหยินหยาง ส่งเสริมการแบ่งแยกบทบาททางเพศอย่างชัดเจน โดยหยิน เป็นพลังงานตัวแทนของความเป็นหญิง ความอ่อนโยน ความสงบ และความมืด ในขณะที่หยาง เป็นพลังงานตัวแทนของความเป็นชาย ความแข็งแกร่ง ความกระตือรือร้น และความสว่าง ทำให้บริบทชายกับหญิงมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ
อ.วีรญาเล่าประสบการณ์ที่ไปอยู่เกาหลีใต้ในช่วงเดือน Pride Month หรือเดือนเฉลิมฉลองความหลากหลายทางเพศ ว่า ภาพที่เกิดขึ้นนั้นดู ‘ซับซ้อน’ โดยในฝั่งถนนหนึ่งก็มีผู้มีความหลากหลายทางเพศออกมาเฉลิมฉลอง เต้นรำกันอย่างสนุกสนาน ในขณะที่อีกฝั่งถนนเป็นกลุ่ม คริสเตียนนิกาย Protestant เปิดลำโพงที่พูดวนไปเรื่อยๆ ว่า “คนชอบเพศเดียวกันจะต้องตกนรก”
ดังนั้น แนวคิดเรื่องการต่อต้านเพศหลากหลายในเกาหลีใต้ ส่วนหนึ่งจึงได้รับอิทธิพลจากศาสนาคริสต์อนุรักษ์นิยมที่ระบุโทษของการผิดเพศ หรืออีกด้านก็คือลิทธิขงจื๊อ ที่มีคำสอนกำหนดเรื่องการเป็นหญิงที่ดี การเป็นชาย การเป็นพ่อ แต่ไม่ได้มีการพูดถึงความหลากหลายทางเพศ
“ควรจะบอกว่ามันเป็นความเคยชินทางวัฒนธรรม ที่ทำให้เขาไม่รู้สึกสงสัยมากกว่า” อ.วีรญากล่าว และยกตัวอย่างถึงสื่อต่างๆ ของเกาหลีใต้ ที่จะไม่มีการพูดถึงเรื่องความหลากหลาย ในขณะที่ประเทศไทยรายงานเรื่องเหล่านี้อยู่เป็นประจำตามหน้าข่าว
เพราะด้วยการพัฒนาอย่างรวดเร็วของประเทศ ในระดับที่คนคนเดียวสามารถเกิดมาใน 1 ช่วงชีวิต และเห็นภาพประเทศพัฒนาจากการไม่มีอะไรเลย สู่การเป็นประเทศทรงอิทธิพลในวงการบันเทิงและก้าวหน้าอย่างมากในด้านเศรษฐกิจ สิ่งที่คนเกาหลีใต้สนใจ จึงไม่ใช่ประเด็นเรื่อง ‘อยากเป็นอะไร มีอัตลักษณ์แบบไหน’ แต่เป็นความคิดว่า เติบโตไป ‘อยากทำงานที่ไหน อยากเข้าบริษัทอะไร’
กล่าวง่ายๆ ก็คือ คนเกาหลีใต้ถูกหล่อหลอมมาด้วยความคิดความเชื่อที่ไม่ได้คิดว่าจะต้องสงสัย ในขณะที่เราคนนอกมองเข้าไปจะสงสัยว่าทำไมเป็นแบบนั้น ทำไมคนเกาหลีใต้ต้องทำตัวเหมือนกัน เป็นวัฒนธรรมที่จะรู้สึกปลอดภัยถ้าทำอะไรเหมือนๆ กันกับคนอื่น ไม่โดดเด่น ไม่แตกต่าง
“ถ้าถามคนเกาหลีว่าทำไมบ้านเขาถึงมีแต่ผู้หญิงกับผู้ชาย เขาคงจะถามกลับว่า แล้วมันต้องมีอย่างอื่นด้วยหรอ”
แต่ถ้าถามว่า เกาหลีใต้จะมีโอกาสในการพัฒนาไปสู่ภาพที่สังคมมีความเท่าเทียมทางเพศมากกว่านี้ได้หรือไม่ อ.วีรญาเห็นว่าเป็นไปได้
โดยประสบการณ์ส่วนตัวของ อ.วีรญา เองที่ได้ศึกษาในมหาวิทยาลัยหญิงล้วน ทำให้เธอเชื่อว่าผู้หญิงจะมีโอกาสได้มีบทบาทมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน ในปัจจุบันก็มีบุคลากรหญิงในระดับบริหาร เช่น เป็นอธิการบดี และสังคมหญิงล้วนก็มีการพูดคุยแบบ ‘เพื่อนหญิงพลังหญิง’ เสริมแรงในการพัฒนาตัวเองให้กันและกัน
และอีกส่วนสำคัญ คือนโยบายหลักในระดับประเทศ ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตผู้หญิงได้ ดังที่เห็นว่าในปัจจุบันนี้ผู้หญิงก็มีบทบาทนอกบ้านมากยิ่งขึ้นแล้ว จากในอดีตที่ต้องเป็นแม่บ้านเท่านั้น และนโยบายหลักก็อาจช่วยเสริมแนวคิดของประชาชนให้เข้าใจถึงความเท่าเทียมระหว่างเพศได้มากขึ้นอีกด้วย
แต่ในประเด็นเรื่องความหลากหลายทางเพศ ก็เป็นสิ่งที่น่าตั้งคำถามต่อไป ว่าด้วยสภาพสังคมที่เป็นอยู่ จะสามารถขยับไปได้มากแค่ไหน และเกาหลีใต้จะมีโอกาสเป็นพื้นที่ที่โอบรับความหลากหลายอย่างแท้จริงหรือเปล่า