ช่วงวันหยุด ถือเป็นช่วงเวลาอันสมควรที่เราจะได้หยุดพักผ่อนจากการทำงาน ถึงช่วงก่อนหยุดจะรู้สึกอยากหยุดแค่ไหน แต่พอถึงช่วงเวลาที่ได้หยุด ได้ว่าง ไม่ต้องทำงานขึ้นมาจริงๆ ลึกๆ ก็แอบหวิวอยู่เหมือนกัน
ยิ่งถ้าเป็นการ ‘ไม่ได้ทำงาน’ หรือ ‘ภาวะว่างงาน’ ขึ้นมาจริงๆ เรียกอย่างสยองขวัญว่า ‘ตกงาน’ ภาวะที่ว่า ดูจะเป็นภาวะสุดสยองอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะสำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ
เอาง่ายๆ แค่คิดถึงสารพัดค่าใช้จ่ายที่ดาหน้ามา ก็ต้องเอามือก่ายหน้าผาก ไหนจะค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนมือถือ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากิน ค่าอยู่ ถ้าตกงานขึ้นมาแล้วจะเอาอะไรกิน แง ร้องไห้
นอกจาก ‘ความจำเป็นพื้นฐาน’ อย่างเรื่องรายได้แล้ว ภาวะตกงานยังไปเกี่ยวกับเรื่องศักดิ์ศรีหรือความหมายของชีวิตด้วย อารมณ์ประมาณว่าชีวิตของคนเรามันก็ต้องทำงานถึงจะมีความหมาย ดังนั้นหน้าที่การงานเลยเป็นประเด็นหนึ่งที่คนมักจะถามไถ่ – และแอบตัดสินประเมินกันอยู่ในทีว่า เฮ้ย คนคนนี้มันเจ๋งมั้ยนะ
ภาวะว่างงาน เลยเป็นเรื่องที่น่ากลัวสุดๆ สำหรับเรา เป็นภาวะที่เราไม่มีเงิน ไม่มีตัวตน ไม่มีความหมายในชีวิตเท่าไหร่ แต่จริงๆ แล้ว ‘การว่างงาน’ บ้าง ก็อาจจะเป็นประโยชน์กับเราก็ได้ ในบางประเทศจึงมีสวัสดิการการว่างงานให้ นึกภาพว่าพอเราว่างงานปุ๊บ อย่างน้อยชีวิตเราก็ไม่พังพินาศและยังพอมีรายได้เข้ามา ช่วงนั้นเองจะเป็นช่วงที่ให้เราได้พักหายใจ ได้ทบทวน ทำความเข้าใจชีวิต และการที่ไม่ถูกบีบคั้นก็ทำให้เรามีโอกาสในการมองหางานหรือเส้นทางที่เหมาะสมกับเราเอง
งาน = ความหมายของชีวิต?
ชีวิตแสนเครียดของเรา ถ้านับกันจริงๆ ปัญหาที่ทำให้เราเครียดส่วนใหญ่ก็มาจากงานนี่แหละ บางทีก็น่าคิดเนอะว่า ชีวิตและเวลา รวมไปถึงสุขภาพ เราต้องแลกให้กับงานขนาดไหนกันดีนะ
แต่ก็ช่วยไม่ได้ เราต่างอยู่ในโลกของทุนนิยม โลกที่บอกว่าเราต้องเป็นส่วนหนึ่งของการผลิต ต้องทำงาน-งานในที่นี้หมายถึงงานที่ก่อให้เกิดผลผลิตหรือก่อให้เกิดรายได้ ได้มาแล้วก็เอาไปบริโภคต่อ ชีวิตถึงจะมีความหมาย สุดท้ายความกดดันต่างๆ ของคนในระบบทุนนิยมคือการดิ้นรนเพื่อให้ ‘มีตัวตน’ อยู่ในระบบ ไม่ว่าจะเป็นแรงงาน เป็นชนชั้นกลางที่ขับเคลื่อนและควบคุมการผลิตในภาคส่วนต่างๆ
การตอบคำถามว่าเราเป็นใครจึงมักถูกมองเห็นโดยเชื่อมโยงเข้ากับอาชีพ เราคือใคร เราคือหมอ เราคือครู เราคือนักเขียนคำโฆษณา ซึ่งก็เลยไม่แปลกที่เราจะเอา ‘งาน’ มานิยามความหมายและตัวตนของเรา
การใช้งานมานิยามชีวิตก็ไม่ผิดอะไร แต่บางทีการยึดติดการงานมันก็ทำให้เราเครียด รวมไปถึงเกิดความกลัวการว่างงาน ดังนั้นเวลาที่นักคิดทั้งหลายแนะนำว่าทำยังไงชีวิตถึงจะไม่เครียด หนึ่งในหลายๆ ข้อคือบอกว่า งานไม่ได้นิยามตัวตนของเรา
เป็นเรื่องน่าคิด เราทุ่มเทให้กับการทำงาน แต่การทำงานมันเป็นแค่ภาวะชั่วคราว ไม่ได้นิยามตัวตนของเราไปซะทั้งหมด ถ้าเราออกจากงาน บริษัทก็หาคนใหม่มาแทนและดำเนินต่อไปได้ ส่วนตัวเราเองก็ยังมีตัวตนบทบาทอื่นๆ อีก เราอาจเป็นพ่อ เป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นคนที่เก่งเรื่องโน้น ชอบเรื่องนี้ อื่นๆ อีกมากมาย
ถ้าว่างงาน แล้วได้เงิน…ก็ดีเนอะ
เคยมีบทความฝรั่งอันนึงพูดทำนองว่าเราต้องว่างงานกันบ้าง การที่รัฐจัดหาสวัสดิการที่ประกันรายได้หลังจากตกงานให้เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับชีวิตอย่างเราๆ ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการจะว่างงานมากนัก ถ้าเราทุกข์กับงานมากๆ เราก็มีโอกาสที่จะออกจากงาน แล้วกลับไปพักพิจารณาเส้นทางให้ตัวเองใหม่ หรือได้กลับไปอยู่กับตัวเองบ้างก็เป็นเรื่องที่ดีเนอะ
มีการศึกษาที่สนับสนุนการประกันรายได้ตอนตกงานว่า การมีประกันแบบนี้ส่งผลเชิงบวกในแง่ต่างๆ เช่นว่าการที่เรารู้ว่าเราจะมีรายได้ เราก็ไม่ต้องรีบ ทำให้มีโอกาสหางานที่ดีได้มากขึ้น ทั้งในแง่ของคุณภาพของงาน รวมไปถึงการที่งานใหม่จะได้มีรายได้สูงขึ้น
จากการตกงานที่กลัวทุกวัน ก็ชวนคิดเนอะว่า ถ้าเรามีประกันหรือทางสำรองบางอย่าง เช่นการมีรายได้สำรองจากรัฐ ก็ทำให้เราไม่จำเป็นต้องกลัวการตกงานขนาดนั้น ทำให้ภาวะว่างงาน อันหมายถึงช่วงเปลี่ยนผ่านจากการทำงานที่หนึ่งไปสู่การทำงานที่ใหม่ในอนาคตมันไม่ได้น่ากลัว แถมช่วงเวลาว่างงานอาจจะเป็นช่วงเวลาที่จำเป็นต่อชีวิตของเรา เป็นช่วงเวลาให้เราได้หยุดคิดทบทวน
และที่สำคัญคือ งานไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิตเนอะ