การแต่งงานเรียกได้ว่าเป็น ‘ความฝัน’ ของใครหลายคน และเป็น ‘ประเพณี’ ที่สังคมให้ความสำคัญมาอย่างยาวนาน งานแต่งจึงเปรียบเสมือนอีเวนต์ที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต และเป็นเป้าหมายสูงสุดของคู่รักหลายคู่เลยก็ว่าได้ เพราะเป็นงานที่พวกเขาจะได้ให้คำมั่นสัญญากันในนั้น ต่อหน้าพยานรักจำนวนมากที่มางาน
แต่ทุกวันนี้ ผู้คนยังมองว่าการแต่งงานเป็นเป้าหมายสำคัญอยู่หรือเปล่านะ? ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป มายาคติหรือมุมมองเกี่ยวกับการแต่งงานของคนรุ่นใหม่ เปลี่ยนไปจากคนรุ่นก่อนบ้างหรือเปล่า? เพราะจากผลการสำรวจในช่วงหลังๆ สังเกตได้ว่าคนรุ่น Millennial, Gen Y และ Gen Z มีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับงานแต่งงานน้อยลง หรือมองว่างานแต่งไม่ใช่เป้าหมายของชีวิตขนาดนั้น จะมีหรือไม่มีก็ได้ เมื่อเทียบกับความฝันอื่นๆ ในชีวิต
รวมถึงการให้ความสำคัญกับการจัดงานแต่ง ที่เราจะเห็นว่างานแต่งหลายๆ งานไม่เน้นความหวือหวา หรูหรา ยิ่งใหญ่ หรือเชิญแขกเหรื่อมาเต็มงานเหมือนสมัยก่อนแล้ว จนเกิดเป็นเทรนด์ที่เรียกว่า Micro Wedding หรืองานแต่งที่ใช้งบไม่มาก จัดในพื้นที่เล็กๆ สงบๆ เชิญแค่คนที่รู้จักหรือสนิทใจจริงๆ มาร่วมงาน แต่ก็สร้างความอบอุ่นได้ไม่น้อยเลย หรือ Las Vegas Wedding ที่กำลังบูมมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงโรคระบาด COVID-19 เนื่องจากเป็นการจัดพิธีภายในโบสถ์เล็กๆ ที่เมืองลาสเวกัส เพียงแค่ให้คำมั่นสัญญากัน สวมแหวนกัน ถ่ายรูปคู่กัน แล้วก็ได้ใบอนุญาตแต่งงานภายในไม่กี่นาที แค่นี้ก็นับว่าเป็นงานแต่งที่เพียงพอแล้วสำหรับใครหลายคน
นอกจากนี้ The MATTER ได้ลองไปสำรวจความเห็นบางส่วนจากคนอายุ 18-28 ปี หรืออยู่ในระหว่าง Gen Y และ Gen Z โดยจากความเห็นก็สรุปได้ว่า พวกเขายังคงมองว่างานแต่งมีความสำคัญอยู่ แต่ไม่มีก็ได้เหมือนกัน หรือถ้าจะต้องมีงานแต่งจริงๆ ก็อยากให้เป็นงานแต่งที่เรียบง่ายที่สุด มีแค่คนสนิทเท่านั้นที่มางาน เพราะอยากนำเงินไปใช้ในการดำเนินชีวิตมากกว่า ซึ่งก็ทำให้เห็นมุมมองเกี่ยวกับการแต่งงานที่เปลี่ยนไปของคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี
พลอย, 18 ปี, นักศึกษา
“ไม่ได้มีความคิดว่าโตไปต้องแต่งงาน มีลูก ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น แต่หากมีคนรักและเราพร้อมในหน้าที่การงาน การเงิน และวุฒิภาวะ ก็คงจะแต่ง หากอีกฝ่ายต้องการ
“แต่ถ้าได้แต่งงาน ก็คงเป็นงานเล็กๆ ที่มีแต่คนกันเอง แค่เพื่อนสนิทและญาติๆ ก็พอ ไม่อยากเสียค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็น เป็นไปได้ชุดแต่งงานอยากให้เป็นชุดมือสอง ชุดเช่ายิ่งดี สินสอดไม่ต้องเยอะ เก็บไว้ใช้ตอนใช้ชีวิตด้วยกันดีกว่า”
มายเมโลดี้, 19 ปี, นักศึกษา
“ไม่แต่งก็ได้ ไม่มีปัญหา เพราะบางทีมันอาจจะไม่จำเป็นสำหรับคนยุคใหม่เสมอไป ขอแค่พ่อแม่และญาติพี่น้องรับรู้ก็พอ เลยไม่จำเป็นต้องจัด รู้สึกว่าถ้าเราทุ่มเงินไปกับการแต่งงานมากเกินไป แล้วระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ต้องมาเหนื่อยกับการหาเงินอีกมาก ในมุมมองคิดว่าเอาเงินตรงนั้นมาใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตดีกว่า แต่กรณีนี้จะทำได้ก็ต้องฟังเสียงของญาติทั้งสองฝ่ายด้วยว่าโอเคมั้ย
“แต่ถ้ามีโอกาสได้แต่งงานจริงๆ คงจะแต่งแนวสีขาวทอง เน้นหรูหรา และเรียบง่ายไปพร้อมๆ กัน ไม่เอาสีอื่นมาปนเยอะจนงานดูรกตา ชวนแค่คนสนิทและญาติทั้งสองฝ่ายก็พอ ไม่ต้องคนเยอะ ไม่ต้องใหญ่โต”
แหนม, 21 ปี, นักศึกษา
“ตอนนี้ยังนึกภาพแต่งงานไม่ออก เห็นภาพตัวเองอยู่คนเดียวชัดกว่า ตื่นเช้ามาจิบชา กาแฟ สายๆ หน่อยก็อ่านนิยาย สลับกับดูหนัง ดูละคร ตอนเย็นร้องคาราโอเกะ จิบไวน์ แล้วก็นอน ภาพพวกนี้ชัดกว่าภาพงานแต่งแล้ว
“เราไม่เคยมีแฟนหรือคนคุย ที่ผ่านมาให้เวลากับสิ่งที่ตัวเองชอบเยอะมากๆ เลยนึกภาพไม่ออกว่าถ้ามีอีกคนเข้ามาในชีวิต เราจะแบ่งส่วนไหนในชีวิตให้กับเขา แต่ถ้าได้แต่งจริงๆ ตอนกลางวันก็จัดงานแบบที่พ่อแม่สบายใจ ตามใจเขา แต่ภาพในหัวก็คือต้องมี after party ที่ตะวันแดง มีแต่เพื่อนและคนสนิท แจกริสแบนด์เข้างาน เอาแบบให้เมาหัวราน้ำไปเลย”
โอปอล์, 24 ปี, พนักงานบริษัทเอกชน
“ถ้าถามตอนนี้ยังไม่อยากแต่ง ด้วยสถานการณ์บ้านเมืองและหลายๆ อย่าง แต่ในอนาคตถ้ามันดีขึ้น ก็คิดว่าจะแต่งนะ ไม่รู้ว่าเรียกเป้าหมายได้มั้ย เราไม่ได้โฟกัสกับมันขนาดนั้น ว่าจะต้องแต่งตอนอายุเท่านี้ งานต้องแบบนี้ แค่คิดว่าถ้าอยู่ด้วยกันไปตลอด ก็คงแต่งแหละ ให้เป็นพิธีน่ารักๆ สไตล์เรา เพราะแฟนก็ไม่ได้อยากให้หวือหวาอะไร
“เราเห็นพี่แฟนตอนนี้ก็อายุ 30 ปีแล้ว เพิ่งจะหมั้นไปไม่นาน ก็ดูไม่ได้แก่เกินจะแต่งนะ แล้วก็ยังใช้ชีวิตสนุกอยู่เลยด้วย เราเลยไม่คิดมากเรื่องนี้”
เพนท์, 26 ปี, พนักงานบริษัทเอกชน
“เราอยากแต่งนะ มันก็ครั้งหนึ่งในชีวิตเนอะ อยากแต่งหน้าแต่งตัวสวยๆ วันนั้นเราต้องสวยที่สุดอยู่แล้วล่ะ (หัวเราะ) แต่ไม่ได้รีบนะ แต่งเมื่อหลายๆ อย่างพร้อมนั่นแหละ ที่บ้านก็ต้องการให้แต่งงานอยู่แล้ว เขาอยากให้ทำตามประเพณีให้ถูกต้อง แม้จะยอมอยู่ก่อนแต่งไปแล้วก็เถอะ ทางผู้ใหญ่ก็คงอยากเห็นงานแต่งลูกตัวเองสักครั้งในชีวิตเหมือนกัน แล้วก็เป็นความต้องการของเราด้วย
“แต่งานของเรา เราก็ต้องเลือกเอง ไม่เอาแบบจัดให้รู้ทั้งหมู่บ้านนะ รบกวนชาวบ้านเขา ตอนแรกแฟนก็ถามว่าไม่แต่งได้มั้ย แค่ให้สินสอดแล้วก็จดทะเบียนสมรส เขาบอกว่าเปลือง (หัวเราะ) แต่พอสักพัก เขาก็บอกว่าคงต้องแต่งอยู่แล้วแหละ แค่ต้องพร้อมกัน เพราะมันใช้เงินเยอะมากเลย”
ตั๊ก, 26 ปี, คอนเทนต์ครีเอเตอร์
“เราเฉยๆ และไม่ค่อยศรัทธากับการแต่งงานอยู่แล้ว แต่ถ้าให้แต่งก็คงมีแต่คนในครอบครัวและคนที่สนิทมากๆ บวกลบแขกของฝ่ายชายฝ่ายหญิง ไม่อยากให้เกิน 40-50 คน อยากให้เป็นงานที่ไม่ต้องใส่ชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาว ใส่แค่เดรสก็พอ จัดงานง่ายๆ ในบ้าน แค่แลกแหวน กินข้าวกัน มีแค่คนรู้จักก็พอแล้ว
“ไม่ต้องมีสินสอดอะไรด้วย สำหรับเราเรื่องพวกนี้ไร้สาระมาก การแต่งงานอาจจะเป็นคำมั่นสัญญาหรือสัญญาใจที่ทำให้คนอื่นๆ นอกจากแฟนกับเราได้รับรู้ บางคนก็เลยอยากให้มี แต่ถ้าถามว่าสำหรับเรา การแต่งงานมีค่ามีความหมายขนาดนั้นมั้ย ในแง่การที่ทำให้เป็นกิจลักษณะหรือเป็นอีกขั้นเพื่อเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าเรากำลังเข้าสู่ชีวิตอีกช่วงหนึ่ง ก็อยากให้เป็นที่รับรู้แค่กับคนในครอบครัว แต่ถ้าถามว่าไม่มีได้มั้ย เราเฉยๆ มาก แค่แลกแหวน นั่งกินข้าวกัน แบบนั้นเรียกว่าแต่งงานได้หรือเปล่า เราว่าแค่นั้นก็พอแล้วนะ”
นิว, 28 ปี, ผู้กำกับ/ครีเอทีฟ
“งานแต่งยังเป็นเป้าหมายอยู่นะ แต่ไม่ได้อยากจัดใหญ่โตแบบแนวคิดคนสมัยก่อน อยากเป็นงานเล็กๆ มินิมอลให้ดูมีอะไรที่น่าจดจำในชีวิต ทั้งของเราและคนอื่นที่มางาน คงอารมณ์เหมือนงานรวมรุ่น ได้พูดคุยและพบเจอเพื่อนๆ มากกว่า อีกอย่างก็คือรอพร้อมเรื่องเงินด้วย”