บางทีคำถามที่ยากที่สุดในการสัมภาษณ์งานอาจจะไม่ใช่ “ทำไมเราถึงต้องจ้างคุณ” แต่เป็น “แนะนำตัวเองหน่อย” ก็ได้ เพราะได้ยินทีไรก็ตื่นเต้นทุกที ไม่รู้ว่าจะตอบแบบไหนดี ในเรซูเม่ก็มีข้อมูลบอกไว้ครบ ถ้าเราพูดตามนั้นจะดูซ้ำซ้อนมั้ย หรือจะบอกแค่ชื่อกับอายุก็ดูห้วนไปหรือเปล่านะ ปัญหาโลกแตกของจริง
John Lees ที่ปรึกษาด้านอาชีพและผู้เขียนหนังสือ The Interview Expert ได้ให้คำแนะนำเอาไว้ว่า “ให้มองการสัมภาษณ์งานนี้เหมือนการออดิชั่นไปเล่นหนังสักเรื่อง จินตนาการว่าผู้สัมภาษณ์ของเรามีหนังฉายอยู่ในหัว หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องของเรา ที่ได้เข้ามาทำงานที่บริษัทนี้ กำลังพรีเซนต์งานให้หัวหน้าฟัง กำลังพูดคุยกับลูกค้าของบริษัท”
Steven Davis ที่ปรึกษาด้านอาชีพอีกคนหนึ่งก็ได้ให้คำแนะนำเอาไว้ว่า “นี่เป็นโอกาสเดียวที่จะสร้าง First Impression ที่ดี” ในความคิดเห็นของเขา การที่บริษัทจะตัดสินใจว่าจะรับเราเข้าทำงานหรือไม่นั้นเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่นาทีแรกของการสัมภาษณ์ ตั้งแต่การทักทาย การสบตา ประโยคแรกที่เราพูด และการแนะนำตัวของเรา
ที่จริงคำถามว่า “แนะนำตัวเองหน่อย” ไม่มีสูตรสำเร็จในการตอบ มันเป็นเหมือนคำถามที่เราจะตอบอะไรก็ได้ และผู้สัมภาษณ์บางรายอาจประเมินเราตั้งแต่คำถามนี้ ทำให้เราต้องเตรียมคำตอบที่ผู้สัมภาษณ์น่าจะอยากฟังไป แต่ปัญหาคือ แล้วเขาอยากฟังอะไรจากเรากันนะ
1.ข้ามข้อมูลเบื้องต้นที่อยู่ในเรซูเม่ก็ได้
ข้อมูลเรื่องชื่อหรือประสบการณ์การทำงานนั้นอยู่ในเรซูเม่อยู่แล้ว ไม่ต้องเสียเวลาอ่านมันซ้ำอีกครั้งให้ผู้สัมภาษณ์ฟังก็ได้ การที่เราได้รับเลือกมานั่งสัมภาษณ์อยู่ตรงนี้เป็นเพราะข้อมูลในเรซูเม่นั่นแหละ ดังนั้นนี่เป็นโอกาสที่เราจะได้แนะนำตัวเองในเรื่องอื่นบ้าง แต่ถ้ารู้สึกไม่มั่นใจ จะพูดซ้ำก็ได้ ไม่มีอะไรผิดหรือถูกในการแนะนำตัวหรอก
ถึงอย่างนั้น การแนะนำตัวนี้ก็ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เราสามารถพูดถึงชีวิตส่วนตัวได้ อย่างเรื่องไลฟ์สไตล์ ครอบครัว งานอดิเรก ความชอบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพูดไม่ได้เลยตอบการสัมภาษณ์ เพียงแค่เก็บเอาไว้ทีหลังในช่วงที่การสัมภาษณ์เริ่มผ่อนคลายลง หรือผู้สัมภาษณ์ถามถึงงานอดิเรกของเราจะดีกว่า เพราะบางครั้งเราอาจบังเอิญมีงานอดิเรกเหมือนกับผู้สัมภาษณ์ และคุยกันต่อติดได้แบบยาวๆ หลังจากที่คุยรายละเอียดสำคัญจบไปแล้ว
2.ลองหาคำใบ้จากรายละเอียดงาน
ถ้าข้ามข้อมูลเบื้องต้นและชีวิตส่วนตัวไปก่อน แล้วจะมีอะไรให้แนะนำตัวอีก คำตอบคือ Job Description และ Qualification ในหน้าประกาศรับตำแหน่งใหม่ที่เรากำลังจะไปสัมภาษณ์นี่แหละเป็นแหล่งคำใบ้ชั้นดีของการคราฟต์ประโยคแนะนำตัวที่เข้ากับบริษัทที่เรากำลังจะไปสัมภาษณ์มากที่สุด
ลองอ่านข้อความพวกนั้นจนกว่าเราจะเข้าใจว่าเขาต้องการคนแบบไหนมาร่วมงาน นำข้อมูลเหล่านั้นมาร้อยเรียงกันและเช็คกับตัวเองว่าเราเป็นคนในใจของเขาหรือเปล่า เขาต้องการคนที่สามารถสื่อสารได้อย่างฉะฉานใช่หรือไม่ ต้องการคนที่เขียนคำว่า ‘คะ’ และคำว่า ‘ค่ะ’ อย่างถูกวิธีใช่หรือเปล่า หรือเขาบอกว่า ‘ถ้าสามารถขับรถได้จะพิจารณาเป็นพิเศษ’ เอาไว้ไหม จดคำใบ้เหล่านี้เอาไว้เลย เดี๋ยวเราจะมาร้อยเรียงเรื่องกัน
Tammy Johns ซีอีโอของบริษัทวางแผนและจัดหาทรัพยากรบุคคลให้คำแนะนำว่า อีกหนึ่งอย่างที่จะทำให้โปรไฟล์ของเราดูดีมากขึ้นคือการเล่าว่าทักษะในปัจจุบันของเรานั้นสามารถนำมาใช้ในตำแหน่งงานที่เรากำลังสัมภาษณ์อยู่ได้อย่างไร แม้ว่าบางทักษะอาจจะไม่ได้สามารถใช้ได้โดยตรง แต่ถ้ามันมีความคาบเกี่ยวกันกับตำแหน่งงานที่เรากำลังสัมภาษณ์อยู่ ลองเล่าเรื่องนี้ให้ผู้สัมภาษณ์ฟังด้วยก็ได้
3.ขุดค้นความทรงจำ
เมื่อได้คำใบ้มาแล้ว มาลองขุดค้นความทรงจำกัน ว่าเรามีทักษะอะไรบ้าง มีเรื่องราวประสบการณ์สุดโปรฯ ที่พอจะเข้ากับตำแหน่งงานที่กำลังสัมภาษณ์อยู่และอยากเล่าให้เขาฟังไหม หยิบเรื่องราวเล่านั้นมาใช้คำในการเล่าให้เข้ากับตำแหน่งงาน ถ้ามันยาวเกินไปก็ลองรวบตึงให้ฟังง่ายขึ้น ไม่ต้องลงรายละเอียดในทุกอย่างขนาดนั้น
ทุกสิ่งที่เราเล่าไป จะเป็นวัตถุดิบในการสร้างคำถามต่อไปของผู้สัมภาษณ์ ดังนั้นเรื่องที่เราเล่าจะต้องไม่เกินจริง ถ้ามีคำถามเพิ่มเติมเราต้องสามารถตอบได้ด้วยนะ ซึ่งนี่แหละเป็นโอกาสที่เราจะแสดงความเป็นมืออาชีพในการตอบคำถาม เพราะในทุกการทำงานต้องมีการตอบคำถามเกิดขึ้น และถ้าเราตอบได้ดี ผู้สัมภาษณ์ก็จะเริ่มสนใจในตัวเรามากขึ้น
4.ประกอบเข้าด้วยกันให้เป็นเรื่องราว
เมื่อได้คำใบ้และเรื่องราวในอดีตของเราที่เหมาะกับการจะแนะนำตัวแล้ว ก็ได้เวลาจับมาร้อยเรียงเป็นเรื่องราว โดยที่ปรึกษาด้านอาชีพ Lily Zhang แนะนำขั้นตอนการร้อยเรียงที่ง่ายและใช้ได้ผลจริงไว้ดังนี้
เริ่มที่ปัจจุบัน: เรากำลังทำอะไรอยู่ ตำแหน่งงานปัจจุบันของเราคืออะไร ทักษะของเรามีอะไรบ้าง สิ่งที่เราภาคภูมิใจที่สุดในตำแหน่งงานปัจจุบัน
ต่อด้วยอดีต: อะไรที่ทำให้เรามาถึงจุดนี้ หรือประสบการณ์ในอดีตที่ทำให้เราควรได้รับตำแหน่งงานที่กำลังสัมภาษณ์อยู่
ปิดด้วยอนาคต: เป้าหมายของเราที่มีเมื่อได้รับตำแหน่งงานนี้ เราจะทำอะไรให้กับบริษัทได้บ้าง
ถ้าร้อยเรียงตามนี้แล้วยังรู้สึกว่าไม่ใช่ ก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามที่ใจเราชอบ อย่าลืมว่าการแนะนำตัวไม่มีสูตรสำเร็จ ร้อยเรียงยังไงก็ได้ให้ข้อมูลที่เราต้องการเล่าให้เขาฟังครบถ้วน และตัวเองเราเองพอใจ
5.ฝึกซ้อมจนกว่าจะคล่อง
อย่าลืมซ้อมจนกว่าเราจะพูดได้คล่องและดูเป็นมืออาชีพ Steven Davis ให้คำแนะนำว่าควรซักซ้อมให้บ่อย ลองอัดเสียงตัวเอง หรืออัดวิดีโอไว้เลยก็ได้ อัดเสร็จแล้วก็รอสักหนึ่งชั่วโมงถึงค่อยกลับมาดูใหม่ เพราะการเว้นช่วงเวลานี้จะทำให้เรามีระยะห่างและมุมมองที่อาจเปลี่ยน ทำอย่างนี้ซ้ำจนกว่าจะรู้สึกว่าตัวเราในวิดีโอดูฉะฉานและมีความน่าเชื่อถือมากพอ
ทีนี้หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วแนะนำตัวกี่นาทีถึงจะเพียงพอ ที่จริงแล้วไม่เคยมีใครให้คำตอบได้ว่าเวลาที่เหมาะสมในการแนะนำตัวตอนสัมภาษณ์งานอยู่ที่กี่นาที ผู้เชี่ยวชาญบางคนก็แนะนำใช้เวลาแค่ 30 วินาทีก็พอ หรือบางคนก็แนะนำว่าใช้เวลาให้มากกว่า 2 นาที แต่มันไม่มีกฎตายตัว เพราะทุกคนมีเรื่องราวที่แตกต่างกัน ขอเพียงแค่เล่าให้ครบจบเท่าที่อยากเล่าได้ก็พอ
ขอให้ได้งานที่ฝันไว้กันทุกคนเลยนะ
อ้างอิงข้อมูลจาก
https://hbr.org/2011/11/the-interview-question-you-sho-3
Illustration by Kodchakorn Thammachart