สองเท้าก้าวเข้าห้องสัมภาษณ์ เสื้อผ้าหน้าผมจัดว่าเนี้ยบแบบมืออาชีพ แต่พอเริ่มสัมภาษณ์เท่านั้นแหละ ความมั่นใจกลับหดหาย ราวกับลืมหยิบติดมือมาจากบ้านด้วย พูดจาอ้ำๆ อึ้งๆ จนกรรมการทำหน้างง พอทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย รู้เลยว่า งานนี้มีครั้งถัดไปแน่นอน
เคยรู้สึกกันไหมว่า การสัมภาษณ์งานเป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่ท้าทายมากในช่วงการหางาน แม้จะมีประสบการณ์ตรงตามที่บริษัทต้องการ แต่หลายครั้งก็มักมาสะดุดกับขั้นตอนการสัมภาษณ์ตลอดเลย บางทีก็รู้สึกประหม่า จนความมั่นใจถดถอย หรือเมื่อเติมความมั่นใจมาเกินร้อยจนล้น ก็ถูกมองว่าเป็นคนหลงตัวเองอีก
แท้จริงแล้วการมีความมั่นใจเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตอนสัมภาษณ์งาน เพราะหลายครั้งที่เราสัมภาษณ์งาน ทั้งที่เราแทบไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับงานส่วนนั้นมาก่อน การแสดงความมั่นใจก็ถือเป็นอีกวิธีที่จะช่วยพิชิตใจกรรมการได้ แต่บางครั้งหากเรามีความมั่นใจมากจนเกินไป อาจทำให้อีกฝ่ายมองว่าเราหลงตัวเองได้ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ควรระมัดระวังขณะสัมภาษณ์งานเช่นกัน
เทคนิคการสัมภาษณ์ก็มีหลายวิธีที่ถูกแนะนำ เราเองได้รวบรวมวิธีการสัมภาษณ์งานจาก โทมัส คาโมโร่-เปรมูซิก (Dr. Tomas Chamorro-Premuzic) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาธุรกิจที่ University College London และ อาดาร์ช ไร (Adarsh Rai) ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาองค์กรและความเป็นผู้นำ ซึ่งได้นำเสนอเทคนิคการสัมภาษณ์งานที่น่าสนใจ มาให้ทุกคนได้ลองนำไปปรับใช้ หรือนำไปเสริมกับวิธีอื่นๆ ที่ตัวเองมี เพื่อให้การสัมภาษณ์งานรอบหน้าเราจะได้พกความมั่นใจไปเต็มร้อย แบบไม่ต้องกลัวจะดูไม่ดี
หาข้อมูลบริษัทให้รอบด้าน
ก่อนมาสัมภาษณ์งาน สิ่งที่ควรทำเป็นอย่างยิ่งคือการค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับตัวบริษัทให้รอบด้าน ไม่ใช่แค่ให้เรารู้จักตำแหน่งงานได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังอาจช่วยให้เราได้รู้จักวัฒนธรรมองค์กร วิสัยทัศน์ ตลอดจนมุมมองของบริษัท เพื่อช่วยให้เราสามารถออกแบบคำตอบให้สอดคล้องกับตัวตนและความต้องการของบริษัทได้ ตัวเราเองก็จะได้ไม่ตอบคำถามที่ดูเกินจริง
สมมติว่า เราเพิ่งถูกเรียกไปสัมภาษณ์งานในตำแหน่งด้านการตลาด หากเราไม่ได้หาข้อมูลบริษัทให้ถี่ถ้วน เราก็อาจไม่รู้ว่าบริษัทเน้นผลลัพธ์ในด้านไหนหรือให้ความสำคัญกับอะไรอยู่ เราก็อาจตอบไปแบบกว้างๆ เช่น “เคยทำแคมเปญการตลาดของบริษัทนี้มาก่อน สามารถสร้างยอดขายในแต่ละครั้งได้เยอะกว่าเดิมหลายเท่าตัว” ซึ่งแท้จริงแล้วบริษัทใหม่อาจให้ความสำคัญกับการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว และอยากรู้ว่าเราดำเนินการในส่วนนี้อย่างไร มากกว่าจะรู้ว่าเราสร้างยอดขายได้มากขนาดไหนก็ได้
แสดงผลงานที่เคยทำให้ชัดเจน
ไหนๆ จะขายผลงานของตนเองทั้งที ถ้าจะให้พูดแค่ว่า เราทำได้ดีและเก่งมากขนาดไหนก็อาจยังไม่พอ แถมบางครั้งถ้าอวยยศตัวเองจนเกินไป ก็อาจถูกอีกฝ่ายมองว่าเราเป็นคนหลงตัวเองด้วย สิ่งที่ควรทำคือการงัดหลักฐานมายืนยันถึงความสามารถเราให้เห็นกันชัดๆ ไปเลย
ตัวอย่างเช่น หากเราไปสมัครงานในตำแหน่งหัวหน้า ถ้าเราพูดว่า “เราสามารถนำทีมได้ดีมาก ยอดขายเพิ่มขึ้น กลุ่มลูกค้าเยอะขึ้น” ก็ฟังดูหลงตัวเองไปไม่น้อย ซึ่งคงจะดีกว่าถ้าเราระบุไปเลยว่า “เราสามารถเพิ่มยอดขายให้กับทีมได้ถึง 40% เลยนะ โดยวัดจากยอดขายสินค้านี้ในช่วยไตรมาสแรก และไตรมาสที่ 2 และระหว่างที่เราเป็นหัวหน้าทีมเรายังสามารถลดอัตราการลาออกได้ด้วย”
ยอมรับเมื่อเราไม่รู้คำตอบ
แม้จะศึกษาข้อมูลมาอย่างถี่ถ้วน แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ หากเราต้องเจอกับคำถามที่เราไม่ได้เตรียมมา การจะตอบแถๆ ให้ดูมีความรู้ อาจไม่ใช่ทางออกที่ควรทำเท่าไหร่นัก เพราะถ้ามันดันผิดขึ้นมา เราอาจดูเป็นคนมั่นใจจนเกินไปได้เลย สิ่งที่ควรทำคือ การยอมรับอย่างมั่นใจว่า เราเองก็ไม่ทราบเรื่องนี้เหมือนกัน พร้อบตบท้ายว่าเราจะไปศึกษาเรื่องนี้เพิ่มเติมแน่นอน เพื่อให้เราดูเป็นคนกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้อยู่ตลอด
อย่างในกรณีที่ผู้สัมภาษณ์เริ่มยิงคำถามเฉพาะเจาะจงใส่เรา เช่น “ถ้าจะให้ทำในเรื่องของ SEO ด้วย คุณจะใช้โปรแกรมในมาเป็นเครื่องมือ” หากเราไม่มีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน ก็อาจตอบเขาไปตามตรงว่า “เราไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการทำ SEO มาก่อน ทราบเพียงแค่หลักการเบื้องต้น แต่หลังจากนี้หากเกี่ยวข้องกับเนื้องานที่จะต้องทำ ก็จะไปศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้มากขึ้น” นี่จะทำให้เราดูเป็นคนจริงใจ และใฝ่รู้ด้วย
รู้จักขอบคุณและชื่นชมผู้อื่น
งานหลายชิ้นใช่ว่าเราจะทำมันสำเร็จได้ด้วยตัวเองคนเดียวเสียเมื่อไหร่ อาจต้องมีหัวหน้าทีมคอยช่วย หรือเพื่อนร่วมทีมคอยสนับสนุน เพราะฉะนั้น หากต้องพูดถึงความสำเร็จที่เราเคยทำมา ก็อาจจะแวะมาขอบคุณพวกเขา เพราะการพูดชมคนอื่นก็ช่วยให้เราดูเป็นคนถ่อมตนและไม่หลงตัวเองจนเกินไปด้วย
หากบริษัทใหม่ถามเราว่า เราทำให้งานชิ้นนี้ประสบความสำเร็จได้อย่างไร แทนที่จะตอบว่า “เราเริ่มทำอย่างนู้น ดำเนินการด้วยวิธีนี้ ผลลัพธ์จึงเลยออกมาเป็นแบบนี้” อาจเสริมคำตอบเพิ่มเติมเข้าไปอีกว่า“และนอกจากทักษะด้านนี้แล้ว ต้องยอมรับเลยว่าการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมทีมก็มีส่วนช่วยให้งานสำเร็จออกมาได้”
ถามคำถามและรับฟังอย่างตั้งใจ
การสัมภาษณ์ที่ดี ควรมีการโต้ตอบกันทั้ง 2 ฝ่าย ดังนั้น เมื่ออีกฝ่ายเปิดโอกาสให้เราซักถาม ก็ควรจะถามคำถามและรับฟังคำตอบอย่างตั้งใจด้วย เพราะมันแสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้นของตัวเราและความใส่ใจผู้อื่น
โดยทั่วไปแล้ว ในช่วงท้ายของการสัมภาษณ์ ฝั่งผู้สัมภาษณ์ก็มักจะเปิดโอกาสให้ผู้สมัครได้ถามคำถามที่อยากรู้ หากไม่อยากให้ตัวเองดูเป็นคนมั่นใจแต่ไม่รับฟังคนอื่นจนเกินไป อาจลองตั้งคำถามเกี่ยวกับตำแหน่งงานหรือองค์กร พร้อมแสดงท่าทีที่ดูสนใจและตั้งใจฟังคำตอบ นี่ไม่เพียงแค่เราจะได้รู้ข้อมูลเชิงลึกมากขึ้น แต่เราจะได้ดูเป็นคนมีความสนใจอยากจะเรียนรู้สิ่งต่างๆ อยู่ตลอดด้วย
รู้จักพูดให้ตัวตนของเราฉายแสง
แน่นอนว่า เราก็คงภาคภูมิใจในความสำเร็จในหน้าที่การทำงานของเรา แต่จะดีกว่าไหมถ้าปล่อยให้ความสำเร็จเป็นตัวพูดแทนเราเอง บางครั้งยิ่งเราย้ำถึงความสำเร็จเราซ้ำๆ ตลอดการสัมภาษณ์ เราก็อาจถูกมองเป็นคนหลงตัวเองได้
หลายครั้งเราอาจรู้อยู่แก่ใจแหละว่า คนที่ช่วยพลิกวิกฤตให้กับบริษัทเก่า ให้ยอดขายกลับมาพุ่งกว่าเดิมได้คือตัวเราเอง ทว่าหากพูดไป อีกฝ่ายจะมองว่าเราเป็นคนหลงตัวเองได้ เราอาจเปลี่ยนวิธีการสื่อสารให้ดูไม่เข้าข้างตัวเองมากขึ้น เช่น “สิ่งที่ท้าทายและภาคภูมิใจที่สุด คือการได้ร่วมกับทีมวางแผนงานจนสามารถกลับมาทำกำไรให้กับบริษัทได้มากกว่า 60%” และอาจตบท้ายด้วยการเสริมว่า เราทำหน้าที่อะไรบ้างในเหตุการณ์ครั้งนั้น เท่านี้เราก็จะกลายเป็นคนมีความสามารถ แต่ไม่ดูหลงตัวเองจนเกินไปแล้ว
สัมภาษณ์คราวหน้า พกความมั่นใจไปให้เต็มร้อย เดินหน้าลุยต่อได้เลย!
อ้างอิงจาก