สำหรับคนส่วนใหญ่ ชายร่างท้วม สวมแว่น แน่นหนวดเครา และพูดจาโผงผางผู้นี้ เป็นที่รู้จักในนาม ‘เชฟหมีแห่งครัวกากๆ’ จากคลิปที่รื้อตู้เย็นนำวัตถุดิบต่างๆ มาปรุงอาหารได้อย่างน่ารับประทาน (ถ้าเข้ากับรายการ ต้องบอกว่า น่าแดกฉิบหาย)
สำหรับลูกศิษย์ ‘คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง’ เป็นอาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้สนใจและเชี่ยวชาญด้านปรัชญาอินเดียและศาสนาฮินดู (ไม่ใช่แค่เชิงวิชาการเท่านั้น แต่เขาพาตัวเองไปเรียนรู้ศาสนาฮินดูอย่างคนวงในเลย)
สำหรับคนติดตามข่าวสารประเด็นศาสนาและความเชื่อ คงเคยผ่านตาเขามาบ้าง อาจเป็นการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ วิทยากรในงานเสวนา หรือนักเขียนประจำคอลัมน์ ‘ผี พราหมณ์ พุทธ’ ของมติชนสุดสัปดาห์
นอกจากบทบาทเหล่านั้น กว่าหนึ่งปีก่อน ‘พิธีวิวาหสังสการ’ (การแต่งงานแบบฮินดู) ของเขา ที่จัดขึ้น ณ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตในอีกบทบาท นั่นคือการเป็น ‘สามี’ ของผู้หญิงคนหนึ่ง
“ผมคิดว่าเป็นพิธีกรรมที่มีความหมาย มีความลึกซึ้งในแต่ละขั้นตอน
เราเลยปรึกษากัน อย่างน้อยที่สุดในการทำพิธีเราจะได้เข้าใจความหมาย
รับคำสอน เป็นพลังของชีวิตคู่ต่อไป”
เขาเคยให้สัมภาษณ์กับช่อง TPBS ถึงการแต่งงานครั้งนั้น
ณ วันครบรอบหนึ่งปีของการแต่งงาน (6 กุมภาพันธ์ 2560) เขาเดินทางมาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อบรรยายในหัวข้อ ‘กลกามความรักในทัศนะศาสนาและปรัชญาอินเดีย’ ให้กับนักศึกษาและผู้สนใจ เราเข้าไปนั่งฟังด้วย พบว่าเป็นการบรรยายที่คมชัดและละเอียดลอออย่างยิ่ง สะท้อนความรอบรู้ต่อเรื่องศาสนาและความรักได้เป็นอย่างดี
ใช่ บทสนทนานี้ตั้งต้นจากการสนใจ ‘ความรัก’ ของชายผู้นี้ในฐานะที่เขาศึกษาเรื่องศาสนามาอย่างจริงจัง
เสร็จสิ้นภารกิจบรรยาย เรานั่งสนทนากันต่ออย่างออกรส ทุกๆ ความสงสัยได้รับคำตอบที่เปิดเปลือยตัวตน แม้เขาจะเชื่อ จดจำ และแจกแจงหลักการทางศาสนาและวัฒนธรรมแบบอินเดียได้อย่างแม่นยำ (แน่ล่ะ เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยนี่นา) ซึ่งหลายส่วนอธิบายถึงการใช้ชีวิตไว้อย่างลุ่มลึก แต่เมื่อต้องมาเผชิญกับชีวิตคู่รักของจริง หลักธรรมไม่อาจปัดเป่าความโกลาหลได้ในทันที เขากลายเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่ต้องนับหนึ่งความเข้าใจใหม่อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง
คาดหวัง ผิดหวัง ขัดแย้ง ล้มเหลว เรียนรู้ และเข้าใจ เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาในชีวิตคู่รัก
“ณ วันที่แต่งงานครบ 1 ปี คุณว่า ‘ความรัก’ คืออะไร” เป็นคำถามสุดท้ายของวันนั้น
“ช่วงแรกผมมีนิยามต่อ ‘ความรัก’ เต็มไปหมด
แต่สุดท้ายแล้ว ผมไม่อาจนิยามความรักได้เลย”
เป็นการนิยามความรักโดยไม่นิยาม และเปิดพื้นที่ว่างไว้
สำหรับเรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นจริง
ช่วยเล่าที่มาหน่อย คุณมานับถือศาสนาพราหมณ์ได้ยังไง
จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจเลย ผมเรียนปริญญาตรีสื่อสารมวลชนที่ มช. (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิต หนึ่ง ผมได้รู้จักอาจารย์ประมวล (ประมวล เพ็งจันทร์) ซึ่งมีอิทธิพลต่อชีวิตมาก อาจารย์ให้ความคิดเกี่ยวกับอินเดียจนผมศรัทธาต่อความเป็นอินเดีย สอง ผมอยากเรียนดนตรีอินเดีย ที่เชียงใหม่มีวัดฮินดู พราหมณ์ที่นั่นมีความสามารถทางดนตรีพอดี ผมเลยตัดสินใจไปเรียน ปรากฏว่าเขาไม่ได้สอนแค่ดนตรี แต่จะแทรกเรื่องความเชื่อมาด้วย ผมไปช่วยงานอยู่ในศาสนพิธี เลยอินกับความเป็นอินเดียมาก พอจบป.ตรี ผมเลยเบนไปต่อป.โท ทางปรัชญาศาสนาที่จุฬาฯ เพื่อสานต่อเรื่องเกี่ยวกับอินเดีย
ก่อนมากรุงเทพฯ บัณฑิตท่านนั้นแนะนำวัดฮินดู ทำให้ผมได้เจอกับครูที่วัด ช่วงเรียนป.โท ผมเรียนภาษาฮินดีและสันสกฤตไปด้วย อ่านหนังสือเอง แล้วไปรีเช็กความรู้กับครู เป็นประจำประมาณ 2 ปี จนมั่นใจในตัวท่าน ตอนนั้นความอยากรู้อยากเห็นเรื่องฮินดูเยอะมาก ผมบอกครูว่า ไม่อยากรู้แค่วิชาการแล้ว แต่อยากรู้ทางประเพณี เวลาต่อมาครูเลยทำพิธีรับเป็นศิษย์เมื่อ 17 กันยายน 2548 ซึ่งโดยนัยยะคือการเปลี่ยนไปเป็นฮินดู ทำให้ผมมีสถานะบางอย่างในชุมชนฮินดู
เมื่อก่อนคุณมีมุมมองเรื่องความรักและชีวิตคู่ยังไง
ผมเป็นคนโรแมนติก อ่านหนังสือของท่านติช นัท ฮันห์ ตั้งแต่เด็กๆ เชื่อในความรักแบบอุดมคติ รักคือการให้อย่างไม่มีเงื่อนไข ชีวิตแอบชอบคนอื่นตลอด โคตรโอเนกาทีฟเลย (หัวเราะ) การมีแฟนไม่ใช่สิ่งที่ต้องมี ถึงเวลาค่อยว่ากัน แต่พอเจอกับศาสนาฮินดู คำสอนบอกว่าเราควรมีคู่รัก มีการแต่งงาน พราหมณ์บางคนเสนอว่า เดี๋ยวช่วยหาเมียให้ (หัวเราะ) ผมเริ่มมองว่าการมีคู่ครองเป็นเรื่องจำเป็น อิทธิพลของศาสนาทำให้ผมไม่เชื่อว่า การอยู่เป็นโสดคือเรื่องที่ดี
ทำไมพราหมณ์ถึงบอกว่าควรมีคู่ครอง
เป้าหมายในเรื่อง ‘กามะ’ จะไม่สมบูรณ์ถ้าไม่มีคู่ครอง ทางเดียวคือต้องมีคู่ครอง ถ้าคุณจะอยู่ในวิถี ‘ความสุขทางโลก’ ต้องได้อย่างบริบูรณ์ และต้องได้ความสุขทางธรรมอย่างบริบูรณ์ด้วย ต้องทั้งโลกียะและโลกุตระ โลกียะจะได้ก็ต่อเมื่อใช้ชีวิตเยี่ยงคฤหัสถ์ คือมีคู่ครอง พอถึงเวลาต้องสละค่อยสละ ไม่ใช่ว่า ‘สละเว้ย บวชแม่งเลย’ เขาถือว่าไม่ได้เรียนรู้อย่างสมบูรณ์ ขณะที่ ‘เอ้า ยาวไป’ แล้วเสพโลกไปจนแก่ตาย ชีวิตก็ไม่สมบูรณ์ ฟอร์มของชีวิตแบบฮินดูคือต้องมีคู่ครอง
ผมเริ่มมองว่าการมีคู่ครองเป็นเรื่องจำเป็น
อิทธิพลของศาสนาทำให้ผมไม่เชื่อว่า การอยู่เป็นโสดคือเรื่องที่ดี
พอรู้แบบนั้น หาแฟนเลยไหม
ผมหานะ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่น เรียนจบป.โท เป็นอาจารย์ที่ศิลปากรแล้ว ผมถึงมีแฟน ไม่ใช่ภรรยาคนปัจจุบันนะ เราเจอกันในอินเทอร์เน็ต เขาเป็นคนเชียงราย ทำงานกรุงเทพฯ คุยกัน จีบกัน แล้วก็คบกัน เป็นช่วงเวลาที่แฮปปี้ การมีผู้หญิงสักคนอยู่ในชีวิต คอยมีความรักต่อกัน เป็นรสชาติที่อิ่ม เป็นชีวิตในโหมดที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ก่อนแอบชอบมาตลอด รักสมหวังเป็นแบบนี้ คบกันประมาณ 1 ปี แล้ววันนึงก็เลิกกัน
มีแฟนคนแรกเป็นยังไงบ้าง
ตอนนั้นคิดเรื่องแต่งงานบ้าง เพราะผมอายุสามสิบกว่าแล้ว แต่เขาอายุน้อยกว่าเป็นสิบปี ยังรู้สึกสนุกกับชีวิต สิ่งที่ได้ตอนนั้น คือ ความรักในจินตนาการเป็นแบบนึง ความรักจริงๆ เป็นอีกแบบ ทั้งสองคนต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้าหากันในชีวิตจริง แต่โชคร้ายหน่อยที่ความรักครั้งนั้นไม่ยืนยาวจนผมเรียนรู้ได้มากกว่านั้น
แล้วรู้จักกับภรรยาคนปัจจุบันได้ยังไง
ผมสอนอยู่ศิลปากร ภาควิชาผมไม่มีช่องว่างระหว่างอาจารย์กับนักเรียน ทุกคนสนิทกัน แฮงค์เอาท์กัน กินข้าวกินปลา ไปนู่นไปนี่ เขาเป็นลูกศิษย์ที่เอก ตอนเรียนก็ explore ศาสนาเหมือนกัน เขาเป็นพุทธ ตอนมัธยมเคยเปลี่ยนเป็นคาทอลิก แต่เรียนปรัชญาตอนมหาวิทยาลัย เขาเริ่มไม่อินกับคาทอลิก ก็พยายาม explore อีก พอมีกิจกรรมทางศาสนา ผมมักชวนเขาไปดูนั่นดูนี่
จีบ ?
ไม่ได้จีบ ผมแค่รู้สึกว่าคุยได้ สนใจคล้ายกัน วันนึงเพื่อนสนิทที่สุดของผมจีบเขา แล้วเป็นแฟนกัน แต่ผมไม่ได้อะไร วันนึงก็เลิกกัน ผมก็ไม่ได้อะไร ตอนนั้นผมจีบคนนั้นคนนี้ไปทั่วเลย ช่วงมีรายการครัวกากๆ ผมเริ่มมีชื่อเสียง เขาไม่พอใจมาก (เน้นเสียง) มองว่าผมเปลี่ยนไป เหินห่าง ไม่คุย แสดงออกชัดเจน ยิ่งพอเขาเลิกกับเพื่อนผม เรายิ่งห่างกันเลย ตอนนั้นก็ซัฟเฟอร์นะ เพื่อนที่เคยแฮงค์เอาท์ วันนึงมาโกรธ แต่ผมเป็นคนดื้อ ไม่ชอบให้ใครหายไปในความสัมพันธ์ มึงไม่คุย แต่กูจะคุย อยู่แบบนี้เป็นปี ความเป็นเพื่อนก็ค่อยๆ กลับมา
ช่วงนั้นเขามาทำงานที่กรุงเทพฯ แล้วไม่สบาย เพื่อนไม่ว่าง ไม่มีใครเลย เขาเลยโทรหาผม ถามว่ามาช่วยดูหน่อยได้ไหม ผมคิดอะไรไม่รู้ ช่วงบ่ายมีสอนที่นครปฐม แต่เช้ามารีบไปโรงพยาบาลแถวลาดพร้าว ดูแลอยู่ครึ่งวัน แล้วรีบกลับนครปฐม ผ่านไปสองสามวัน เขาส่งข้อความมาถามในไลน์ว่า “จะมาแต่งงานกันเมื่อไร” ตอนนั้นเป็นเพื่อนกันอยู่ “เฮ้ย พูดเล่นเหรอ” เขาบอกว่า “พูดจริง” บ้าหรือเปล่า ยังไม่ได้เป็นแฟน แต่จู่ๆ มาถามผู้ชายเรื่องแต่งงาน ผมไม่ตอบไลน์ไปวันสองวันเลย
หลังจากวันนั้นก็นัดคุยกัน เขาบอกว่า “ถามจริงจัง แต่ไม่ถึงขั้นต้องบอกวันเวลามาเลย อยากทดสอบว่าที่มาสัมพันธ์ด้วย รู้สึกยังไง ช่วยชัดเจนหน่อยได้ไหม” ผมเลยบอกว่า “โอเค งั้นเป็นแฟนกัน” เขาก็กวนตีน แฟนผมเป็นคนกวนตีนนะ (หัวเราะ) เขาบอกว่า “เป็นทำไม แฟนคือการทดลอง เรียนรู้ก่อนแต่งงาน แต่รู้จักกันมาห้าปีแล้ว จะทำความรู้จักทำไมอีก” ผมก็ “บ้าหรือเปล่า นั่นมันรู้จักแบบอาจารย์ลูกศิษย์ รู้จักแบบเพื่อน” คุยไปคุยมา สุดท้ายตัดสินใจว่าทดลองเป็นแฟนกัน ซึ่งเป็นการทดลองที่ประหลาดมาก คือเราทดลองอยู่ด้วยกันเลย เรียนรู้ว่าจะอยู่กันได้ไหม เป็นแฟนกันประมาณสองปี ก็คุยเรื่องแต่งงาน แล้วก็แต่งงานกัน
แต่งงานมาครบหนึ่งปี ผมได้ข้อสรุปว่าไม่ต้องมีจินตนภาพดีกว่า
ปล่อยให้เป็นธรรมชาติ อะไรจะเกิดก็เกิด แล้วเรียนรู้มันไป
ตอนนั้นจินตนาการชีวิตคู่ไว้ยังไง
เป็นเรื่องที่ไม่ตรงกันเลย ผมอยากมีชีวิตโรแมนติก จะเป็นแฟนใคร ผมต้องจีบผู้หญิงก่อน เราควรได้บริหารความโรแมนติก ให้ดอกไม้ สร้างเซอร์ไพรส์ แต่แฟนผมเป็นคนตรงข้าม ไม่ชอบเซอร์ไพรส์ ทุกครั้งที่ให้ของที่ไม่ใช่ของใช้ เช่น ดอกไม้ เขาจะบ่นว่าเป็นขยะ มันทำลายจินตนาการเรามาก ไม่เปิดโอกาสให้จีบกันหน่อยเหรอ (หัวเราะ) แต่เขาพูดตลอดว่า คุณต้องทำให้มันธรรมดา เขาเป็นผู้หญิงปากแข็ง ไม่ค่อยโรแมนติก คำพูดแบบที่แฟนคุยกัน เช่น คิดถึงนะตัวเอง ถ้าไม่รู้สึกร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาไม่พูดเลย แต่ผมชอบพูด ชอบฟัง ระยะแรกเรื่องนี้เป็นปัญหามากๆ
เราคุยกันว่าจะปรับตัวไหม แฟนผมยืนยันว่า “ไม่ปรับ” เป็นไง ความฮาร์ดคอร์ของเขา (หัวเราะ) แต่ไม่คิดเรื่องเลิกกันด้วยนะ ช่วงแรกๆ ผมเป็นฝ่ายปรับตัวทุกอย่าง เหน็ดเหนื่อยมาก สุดท้ายพบว่า เพราะเรามีภาพของความรักไง แฟนที่ดีเป็นยังไง ความสัมพันธ์ที่ดีเป็นยังไง เราเลยพยายามให้ตัวเองเป็นแบบนั้น แต่ที่แย่คือ เราพยายามให้อีกฝ่ายเป็นด้วย
ภาพที่จินตนาการไว้เลยมาตีกรอบชีวิต
ใช่ครับ แต่ก่อนผมคิดว่าเป็นเรื่องดีนะ เราควรมีจินตภาพความรักที่สวยงาม แล้วลึกๆ เราไม่รู้ตัวหรอกว่ากำลังบังคับอีกฝ่ายผ่านจินตภาพความรักที่เราเชื่อ แต่พอมีความรักกับคนจริงๆ การมีจินตภาพใช้ได้แต่กับตัวเองนะครับ เราไม่สามารถมีจินตภาพต่ออีกฝ่ายได้เลย เขาเป็นอีกคน เป็นอีกชีวิต เราต้องไม่ลืมว่า สุดท้ายชีวิตเป็นของใครของมัน แต่งงานมาครบหนึ่งปี ผมได้ข้อสรุปว่า ไม่ต้องมีจินตนภาพดีกว่า ปล่อยให้เป็นธรรมชาติ อะไรจะเกิดก็เกิด แล้วเรียนรู้มันไป
ผมพบว่าการมีภรรยาทำให้เข้าใจคำสอนทางศาสนาทั้งพุทธและฮินดูมากขึ้น
ทั้งสองคนสนใจเรื่องศาสนาและความเชื่อ มันมาเกี่ยวพันกับชีวิตคู่ยังไงบ้าง
สิ่งหนึ่งที่เขาบอก คือตอนนี้เป็นคนไม่มีศาสนา ไม่ได้แปลว่าไม่เคารพ แต่ไม่ได้สังกัดตัวเองกับศาสนาใด ช่วงแรกเป็นปัญหา ผมจะภรรยาธรรม แต่เขาไม่มีศาสนา พูดไม่ได้แล้ว (หัวเราะ) อิมเมจที่เคยคิดไว้ ตื่นเช้ามา ภรรยาเตรียมถาดบูชาให้ ก็ไม่ได้อีก ตอนจะแต่งงาน ต้องขอเขาเลย ผมฝันอยากจัดพิธีแบบอินเดีย ซึ่งเขายอม พิธีไม่ได้ศาสนาจ๋าหรอก มีความโรแมนติกเยอะ เรามี commitment ในพิธี มีประจักษ์พยานที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีชุมชนร่วมกัน ชีวิตคู่แอพพลายเรื่องศาสนาจากมุมฮินดูยากมาก แต่ผมกลับพบว่าการมีภรรยาทำให้เข้าใจคำสอนทางศาสนาทั้งพุทธและฮินดูมากขึ้น มากขึ้นแบบจริงจังเลย มันไม่ใช่การแอพพลาย แต่กลับกันการมีภรรยาทำให้เข้าใจธรรมะมากยิ่งขึ้น
ช่วยยกตัวอย่างหน่อย
พออยู่ด้วยกัน เรากอดกัน สัมผัสกันตลอด ผมไม่เคยสัมผัสเนื้อตัวมนุษย์เยอะแบบนี้มาก่อน ความเป็นมนุษย์ ความเป็นผู้หญิง มันลึกซึ้งมาก มันส่องสะท้อนตัวเรา ในใจมีความน่าเกลียดอะไรจะเห็นชัดมาก เราโกรธ เราเกลียด เราคิดเข้าข้างตัวเอง เรามีตัวเองเป็นศูนย์กลางความสัมพันธ์ ปกติเราจะหลอกตัวเองว่าทุกอย่างโอเค แต่ใช้ชีวิตกับคนที่อยู่กับเราตลอดเวลา เราจะเห็นตัวเราชัด เรามีความน่าเกลียดแบบไหน เห็นแก่ตัวแบบไหน เราตัดสินคนอื่นยังไง เรื่องนี้ผมไม่เคยได้จากคำสอนใครเลย นอกจากการใกล้ชิดภรรยา การใกล้ชิดมนุษย์สำคัญมากๆ มากที่สุด
ขณะเดียวกัน เรามีข้อตกลงว่าเราจะเป็นคู่ธรรมกัน การแต่งงานไม่ใช่เพื่อความสุขทางโลกของสองคน แต่เพื่อเรียนรู้ เราจึงเป็นคู่สามีภรรยาที่ไม่เหมือนคนอื่น เช่น เราอนุญาตให้อีกฝ่าย explore ชีวิตเหมือนเดิม โดยไม่คาดคั้นเป็นเจ้าของ ถ้าวันนึงคุณมีเมียเพิ่ม คนอื่นจะเรียกว่าไม่ซื่อสัตย์ เรื่องของเขา แต่นี่คือสิ่งที่ภรรยาให้ผม ซึ่งประเสริฐมากในชีวิตคู่ เราอาจไม่ได้พึงพอใจความสัมพันธ์ที่สุด แต่เราเปิดพื้นที่ว่างให้ทดลองใช้ชีวิต กิเลสทั้งหลายนั่นแหละ ผิดพลาดก็เรียนรู้ กลับมา ฉันจะอยู่ข้างคุณ
เราให้อีกฝ่าย explore ชีวิตเหมือนเดิม โดยไม่คาดคั้นเป็นเจ้าของ
ถ้าวันนึงคุณมีเมียเพิ่ม คนอื่นจะเรียกว่าไม่ซื่อสัตย์เรื่องของเขา
แต่นี่คือสิ่งที่ภรรยาให้ผม ซึ่งประเสริฐมากในชีวิตคู่
ข้อตกลงแบบนี้ให้อะไร
ความรักที่ภรรยามีกับผม ไม่มีนิยามเลยว่ะ ไม่ใช่ความรักในอุดมคติของใคร ต้องซื่อสัตย์ต่อกัน รักเดียวนิรันดร ไม่เป็นเลย มันเป็นความรักที่เพียรพยายาม อดทน และเจ็บปวด เพื่อให้อิสรภาพกับอีกฝ่าย เป็นความรักที่หายากมาก ผมเลยเข้าใจทำสอนเรื่อง ‘ฑากินี’ (แปลว่า ผู้ท่องไปในท้องฟ้า สำหรับพุทธวัชรยาน พระฑากินีคือพลังพุทธะที่แสดงออกในลักษณะผู้หญิง และเป็นสัญลักษณ์แทนการเข้าถึงธรรมชาติของตัวตนที่ปราศจากการปรุงแต่งและเสแสร้ง อ้างอิงจาก อ.กฤษดาวรรณ หงศ์ลดารมภ์) การที่ผู้ชายคนนึงเดินไปในเส้นทางการปฏิบัติ และมีผู้หญิงคนนึงมาในชีวิต ส่องสะท้อนตัวเองอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นเพื่อน เป็นครู ปล่อยให้เดินอย่างมีอิสระ แต่ขณะเดียวกันก็ร่วมทางกันไป มันสำคัญกว่าอย่างอื่นทั้งหมด
คนอื่นๆ ก็ใช้ชีวิตคู่ไปธรรมดา โมเมนต์แบบไหนที่ชีวิตคู่ของคุณ กลายเป็นกระบวนการเข้าใจธรรมะ
เวลาเราเห็นคำสอนในคัมภีร์ ฑากินีต้องเป็นเทพ เป็นนู่นนี่นั่น พอเรามาใช้ชีวิตจริงๆ สิ่งเหล่านั้นกลายเป็นประสบการณ์ตรง ถ้าเราเห็นคำสอนเป็นประสบการณ์ตรง เราจะเข้าใจ ฑากินีที่ถูกพูดถึงในคัมภีร์เลยไม่ใช่เทพธิดาที่อยู่ข้างนอก มันคือคนจริงๆ ที่เจออยู่ ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เรารุดหน้า มันคือของจริง ลักษณะอย่างหนึ่งของฑากินี คือเธอรำอยู่บนฟ้า ไม่มีใครควบคุมเธอได้ และเธอขี้เล่น ผมอ่านคำบรรยายแล้วไม่เคยเข้าใจ ความขี้เล่น ความอิสระเต้นไปบนฟ้า เกี่ยวอะไรกับธรรมะวะ พออยู่กับภรรยาจริง เราเดาอารมณ์ผู้หญิงไม่ได้นะครับ (หัวเราะ) ขณะที่ดีอยู่อาจพัง หรือขณะที่พังอยู่อาจดีก็ได้ การไม่ได้ตั้งตัว ไม่ได้เตรียมการ อยู่ๆ คุณตกไปอยู่ในสถานการณ์อะไรก็ไม่รู้ เขาเป็นธรรมชาติแบบนั้น ฑากินี! เป็นภาวะที่เราควบคุมไม่ได้ การมีความสัมพันธ์กับคนอื่น เมื่อใดควบคุมไม่ได้ นั่นคือคุณเข้าสู่เส้นทาง เป็นธรรมะเลยครับ
ผมไม่หวังว่าการแต่งงานจะทำให้ชีวิตสงบ
โยนตัวเองเข้ามาในความทุกข์แล้วล่ะ
โคตร HERE & NOW เลย
ถูกต้อง เมื่อควบคุมไม่ได้ สิ่งที่คุณรู้คือ ‘เหี้ย กูควบคุมไม่ได้’ ทางเดียวคือต้องปล่อย แล้วลุยไป เวลาทะเลาะกัน หลักนั้นหลักนี้โผล่มาเต็มไปหมด ถ้าอยากเอาหลักเหล่านั้นมาบอกตัวเอง บอกไปเลย แต่ในความสัมพันธ์กับคนอื่น มันใช้ไม่ได้สักอย่าง ใช้แล้วฉิบหายกว่าเดิม ทะเลาะกันแล้วให้เขาปฏิบัติธรรม บ้าหรือเปล่า สุดท้ายผมไม่คิดแม่งแล้ว พอรู้ว่าควบคุมอะไรไม่ได้ ลุยเลย!
ยากไหม
ยาก ยากมาก ผมพูดเหมือนเห็นธรรมแล้ว แต่ในชีวิตจริง ยากมาก (เงียบคิด) มันมีคุณค่าครับ น้ำตาท่วมท้นตั้งเท่าไรกว่าจะเข้าใจ ถามว่าทุกวันนี้อยู่ในความสะดวกราบรื่นไหม ไม่ครับ แต่งงานมาหนึ่งปี มีอะไรรออยู่ข้างหน้าเต็มไปหมด สิ่งที่ไม่คาดฝัน ความวุ่นวาย ผมไม่หวังว่าการแต่งงานจะทำให้ชีวิตสงบ โยนตัวเองเข้ามาในความทุกข์แล้วล่ะ (หัวเราะ) แต่เป็นสิ่งที่ดีมากเลยนะ การมีภรรยาเหมือนดึงเรากลับสู่สังสารวัฏ คุณเลิกเพ้อฝันเรื่องธรรมะ คุณต้องทำงานให้หนักเพื่อมีเงิน ต้องอยู่ในโลกแบบโลกๆ แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นธรรมะในตัวเอง
การหาเงินเป็นธรรมะยังไง
เป็นครับ เราพยายามจะแยกโลกเป็นสองโลก แต่ก่อนผมพยายามจะศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น พยายามมีข้อธรรมแล้วปฏิบัติ แต่ผมลืมไปว่าชีวิตต้องกิน ต้องอยู่ เรามีภรรยาที่มีความต้องการเหมือนมนุษย์ทั่วไป หน้าที่ของผมคือหาเงินให้มากขึ้น เพื่อภรรยาจะได้สบาย นี่เป็นธรรมะอย่างยิ่งเลย มันทำให้เลิกเพ้อฝันถึงธรรมะที่เคยมี เราต้องจัดการทุกอย่างที่เป็นอยู่ให้มันไปได้ แล้วมันคือโลก ผมพบว่าสังสารวัฏมันดีว่ะ
การมีภรรยาเหมือนดึงเรากลับสู่สังสารวัฏ
คุณเลิกเพ้อฝันเรื่องธรรมะ คุณต้องทำงานให้หนักเพื่อมีเงิน
ต้องอยู่ในโลกแบบโลกๆ แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นธรรมะในตัวเอง
ทำไมตอนนั้นคุณถึงแต่งงานแบบฮินดู มันสำคัญยังไง
ผมเป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ที่เป็นพราหมณ์ การทำพิธีมาเติมเต็มความรู้สึกดีของท่านที่มีต่อผม เราเป็นศิษย์-ครูกัน พิธีนี้ให้คุณค่าในชีวิตส่วนตัว เช่น เราต้องสาบานกัน 7 ข้อ มีโมเมนต์ได้สัมผัสกันในพิธี มันเติมเต็มความเป็นสามีภรรยา ตอนทดลองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เราก็เหมือนเป็นผัวเมียอยู่แล้ว แต่เราจะก้าวไปสู่ความเป็นผัวเมียได้ อาจต้องอาศัยพลังหรือพิธีกรรมบางอย่างที่เปลี่ยนสำนึกของผม ถ้าอยู่ๆ ไม่ทำอะไรเลย เป็นผัวเมียทันที มันยากสำหรับผม การมีพิธีกรรมทำให้ผมตระหนักรู้ว่า ณ วันนี้ได้เปลี่ยนไปเป็นสามี ไปเป็นคู่ธรรมกับภรรยาแล้ว
คู่ธรรมคืออะไร
เป็นสามีภรรยาแบบโลกๆ ไม่ได้มีเป้าหมายแค่โลกๆ แต่เราใช้ชีวิตคู่เพื่อการเรียนรู้ของทั้งสองคน การมีชีวิตคู่เลยไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับการปฏิบัติ แต่เป็นส่วนหนึ่งของหนทาง
การมีพิธีกรรมทำให้ผมตระหนักรู้ว่า ณ วันนี้
ได้เปลี่ยนไปเป็นสามี ไปเป็นคู่ธรรมกับภรรยาแล้ว
การใช้ชีวิตคู่สามารถเข้าใจธรรมะได้ด้วยเหรอ
เข้าใจได้ดีมากครับ ดีที่สุด ผมเข้าใจเลยว่าทำไมครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ในทิเบตหลายคนถูกแนะนำให้มีภรรยา วันนึงพอมันมี เข้าใจ หรือแม้กระทั่งทฤษฎีว่า คุณต้องกลับมาสู่สังสารวัฏ ถืออุดมการณ์พระโพธิสัตว์ เป็นแค่คำปากสวยหรู ถ้าวันนึงคุณไม่ได้อยู่ในสังสารวัฏจริงๆ ก็แค่พูดไปสวยๆ คำของ เชอเกียม ตรุงปะ บอกว่าคุณต้องพาสเจอร์ไรส์ ต้องไม่บริสุทธิ์ขนาดนั้น การอยู่ในโลกโดยมีชีวิตทุกข์ๆ ทนๆ มีเมีย หาเงิน คือชีวิตที่ประเสริฐ
ราคะดูเป็นสิ่งดำมืด ทำไมต้องนำมาเกี่ยวพันกับชีวิตอีก อยากมาสายธรรมะ เป็นนักบวชเลยไม่ดีกว่าเหรอ
นั่นเป็นทางนึง ซึ่งดีสำหรับคนที่อยากไปตรง ผมไม่ได้ปฏิเสธนะ มันเป็นทางที่ดี ขณะเดียวกันยังมีคนที่รักโลกนี้ อยากอยู่ในโลก อยากมีทางแบบอื่นๆ เช่นทางแบบผม เผชิญหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้น เรียนรู้ตัวเองไป ก็เป็นทางของคนที่อยากทดลอง คำถามก็คือ ถ้าธรรมะแนวของมึงมันผิดล่ะ วิจักขณ์ พานิช พูดไว้ประโยคนึง เป็นธรรมะที่ผมประทับใจมาก เขาบอกว่า “ทดลองใช้ชีวิตไป ถ้าพลาดอย่างมากก็ชาตินึง มีเวลาอีกมากมายให้ทดลอง” ผมว่านี่เป็นธรรมะที่ประเสริฐมาก ปลดปล่อยจากกฎเกณฑ์ จากความกังวล จากความกลัวผิด มันดีมาก
สิ่งที่คงเส้นคงวามาตลอด คือไม่ได้ฟู่ฟ่ากับเรื่องความรักมาแต่แรก
แต่เราเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยกันอย่างสงบมากขึ้น
การแต่งงานหนึ่งปีที่ผ่านมา อาจารย์เปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง ?
ผมกับภรรยาไม่ได้เริ่มต้นด้วยความรักความประทับใจ แฟนผมพูดว่า ไม่ได้คิดว่ารักหรือเปล่า ไม่ได้คิดว่ารู้สึกยังไง แต่เลือกผมเพราะความเหมาะสม สิ่งที่คงเส้นคงวามาตลอด คือไม่ได้ฟู่ฟ่ากับเรื่องความรักมาแต่แรก แต่เราเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยกันอย่างสงบมากขึ้น แง่ดีคือ หนึ่ง ชีวิตเริ่มปรับตัวให้พร้อมอยู่ด้วยกันมากขึ้น สอง ผมตระหนักว่าตัวเองมีทุกข์ ก่อนจะใช้ชีวิตร่วมกับภรรยา ผมไม่เคยตระหนักเลยว่าตัวเองมีความทุกข์ อยู่กันมาหนึ่งปี ผมเรียนรู้เลยว่าความทุกข์เป็นยังไง เวลาเขาไม่สบาย เวลาเราทะเลาะกัน เวลาไม่รู้จะตอบคำถามบางอย่างยังไง เวลาผมไม่เป็นอย่างที่เขาฝัน ผมไม่มีคำตอบให้กับคำถามเขา ผมไม่สามารถตอบสนองความต้องการเขา ผมเลยรู้ว่าตัวเองมีความทุกข์ ซึ่งมันเป็นของจริง จริงเหี้ยๆ การตระหนักว่าตัวเองมีความทุกข์คือเส้นทางการเรียนรู้ ถ้าไม่ตระหนักว่าตัวเองมีความทุกข์ มันไปต่อไม่ได้ ผมยอมรับเลยว่ามีทุกข์ เคยไปต่อไม่ถูก เอายังไงกับชีวิตดีวะ ทะเลาะกันจนถึงขั้นพูดว่า “ชีวิตมันแย่นัก เราเลิกกันไหม เธอไปหาคนที่มันดีกว่าไหม” พูดแบบนี้ แต่ก็ไม่เลิกกัน
คุณผ่านช่วงเวลาแบบนั้นมาได้ยังไง
เราสองคนไม่ได้เริ่มต้นด้วยความรัก แต่เราอยากมีชีวิตคู่เพื่อช่วยกันในเส้นทางของแต่ละคน ให้อิสรภาพในการเรียนรู้ เอาเข้าจริง เราเป็นเพื่อนกัน สิ่งที่ผมได้จากหนึ่งปี คือยิ่งเห็นว่าเราเป็นเพื่อนกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วการเป็นเพื่อนมันไม่เลิก มันเป็นกันไปเรื่อยๆ
ครั้งนึงคุณเคยพูดหยอกความสัมพันธ์ของตัวเองว่า “เจ้าแม่เป็นสิ่งที่ละเมิดไม่ได้” อยากให้ขยายความหน่อย
จริงๆ เป็นคำที่มีความหมายนะ ในศาสนาแบบผู้หญิง เช่น ฮินดู พลังงานแบบเจ้าแม่ไม่เหมือนพลังงานแบบผู้ชาย มันเป็นธรรมชาติ เราควบคุมไม่ได้นะ ยกตัวอย่าง ‘น้ำท่วม’ น้ำเป็นเจ้าแม่ เป้าหมายเดียวคือไหลไปสู่ทะเล คุณไปทำที่กั้นใหญ่โต น้ำก็ไหลไปพังสิ่งเหล่านั้น ธรรมชาติแบบนี้ถูกอธิบายในชีวิตผู้หญิงด้วย พลังงานของผู้หญิงเป็นพลังงานที่เราควบคุมไม่ได้ เรามีหน้าที่เคารพ พูดเหมือนคนกลัวเมียเลย (หัวเราะ) แต่ไม่ได้กลัวหรอก ผู้ชายถูกฝึกให้เชื่อว่ามีเหตุผลแล้วจะดี พอเมียไม่เป็นตามแบบแผน เราจะหงุดหงิด ทำไมเธอไม่ทำแบบนี้ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า เราเชื่อว่าระบบเหตุผลนั้นถูก แต่พลังงานของผู้หญิงไม่ได้เป็นแบบเรา ถ้าไปละเมิดความเป็นเขา มึงจะเจ็บเอง
เอาเข้าจริง เราเป็นเพื่อนกัน
สิ่งที่ผมได้จากหนึ่งปี คือยิ่งเห็นว่าเราเป็นเพื่อนกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แล้วการเป็นเพื่อนมันไม่เลิก มันเป็นกันไปเรื่อยๆ
การได้เจอกับ อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ ที่ ม.เชียงใหม่ มีอิทธิพลต่อคุณในหลายเรื่อง ซึ่งในสายตาของหลายคน ชีวิตคู่ของอาจารย์ประมวลกับอาจารย์สมปองถือเป็นคู่รักในอุดมคติเลยนะ คุณเรียนรู้อะไรจากคู่รักคู่นี้บ้าง
อาจารย์ประมวลกับอาจารย์สมปองเหมือนเป็นคนๆ เดียวกันเลย สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นและได้ คือ อาจารย์ประมวลก็ไม่ละเมิดเจ้าแม่ (หัวเราะ) เคารพอาจารย์สมปองมาก หลังจากแต่งงาน ผมสามารถคุยกับอาจารย์ประมวลได้มากขึ้น เราเข้าใจกันมาก (ลากเสียง หัวเราะเสียงดัง) เราทั้งสองคนแต่งงานด้วยเป้าหมายคล้ายกัน คือมีชีวิตคู่เพื่อเรียนรู้ชีวิต แต่คู่ของอาจารย์ประมวลเป็นคนเรียบร้อย เป็นคู่รักแบบที่คนทั่วไปชื่นชม ไม่เหมือนคู่ของผมเท่าไร แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นแก่นและประเสริฐมากคือถึงผมจะเป็นแบบนี้ แต่อาจารย์ประมวลก็ไม่เคยตัดสิน และเห็นว่าคู่ของผมเป็นคู่ที่ประเสริฐ
ผมมีประสบการณ์ที่ประทับใจมาก ช่วงแรกๆ ที่ยังเป็นแฟนกัน ผมพาแฟนไปหาอาจารย์ประมวลกับอาจารย์สมปอง ที่งานหนึ่งในกรุงเทพฯ อาจารย์ประมวลเป็นหนึ่งในคนที่อยากเห็นผมมีเมีย ผมแนะนำแฟนว่า “อาจารย์ครับ คนนี้ชื่อแพร เป็นเทวีของผม” สิ่งที่อาจารย์ประมวลทำตอนนั้น คือการก้มหัวด้วยความเคารพกับแฟนผม “สวัสดีครับ ผมดีใจมากๆ เลย ที่ได้พบกับแฟนของตุล” แฟนผมงง แล้วร้องไห้ ยังไม่ทันคุยอะไรกันเลย พอกลับมา ผมก็แซวเขา “ดูสิ เธอศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหน ครูเราที่คนเคารพกันมาก ก้มหัวให้เธอขนาดนี้” (หัวเราะ)
การก้มหัวมีความหมายยังไง
ในความเข้าใจของผม พอแนะนำว่า “นี่คือเทวีของผม” อาจารย์ประมวลเป็นคนคิดอะไรในกรอบศาสนาเยอะ แต่มีประสบการณ์เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ด้วย อาจารย์เลยมองเห็นว่า คนที่มาอยู่ในชีวิตผมมีความศักดิ์สิทธิ์ ผู้หญิงคนนี้คือเทวีจริงๆ ไม่ใช่คำพูดเล่นนะ อาจารย์ประมวลมีตาไม่เหมือนเรา ไม่ใช่แค่เห็นผู้หญิงหนึ่งที่มาอยู่ในชีวิตลูกศิษย์ แต่อาจารย์เห็น Goddess อาจารย์ประมวลแสดงความเคารพต่อแฟนผมอย่างจริงใจ ซึ่งมันดีมาก
สุดท้ายแล้ว ผมไม่อาจนิยามความรักได้เลย
ถ้านิยามความรักไว้ล่วงหน้าแล้วความสัมพันธ์ไม่ตรงตามนั้น
เราจะรู้สึกว่าความรักไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดาย
เรียนรู้อะไรจากชีวิตคู่ของอาจารย์ประมวลบ้าง
ชีวิตคู่ของผมไม่คล้ายคลึงกับอาจารย์ทั้งสองท่านมาก อย่างน้อยที่สุด อาจารย์ทั้งสองคนมีเป้าหมายชีวิตคู่ที่สูงส่ง ไม่ใช่ชีวิตคู่ที่เติมเต็มกันและกันเท่านั้น แต่มีเพื่อคนอื่นด้วย ถ้าจะเป็นตัวอย่างของความรักที่ดี นี่คือสิ่งที่ผมจะเรียนรู้ได้ ทุกวันนี้เวลาผมเห็นอาจารย์ประมวลมาคนเดียวก็เหมือนเห็นอาจารย์สมปอง เห็นอาจารย์สมปองคนเดียวก็เหมือนเห็นอาจารย์ประมวล เป็นการมีชีวิตที่เห็นอีกคนนึงอยู่ในนั้นด้วย
ณ วันที่แต่งงานครบ 1 ปี คุณว่า ‘ความรัก’ คืออะไร
คำถามนี้ยากฉิบหาย (หัวเราะ) ไม่รู้เป็นการตอบคำถามหรือเปล่า ช่วงแรกผมมีนิยามต่อ ‘ความรัก’ เต็มไปหมด แต่สุดท้ายแล้ว ผมไม่อาจนิยามความรักได้เลย ถ้านิยามความรักไว้ล่วงหน้าแล้วความสัมพันธ์ไม่ตรงตามนั้น เราจะรู้สึกว่าความรักไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะมันปิดกั้นประสบการณ์อื่นที่อาจเกิดขึ้น