เชื่อว่าตอนนี้บนหน้าฟีดหลายคนคงจะเต็มไปด้วยภาพการแต่งงาน แถมยังมีลมหนาวที่พัดเอาความเหงาเข้ามาปกคลุม จนเริ่มรู้สึกว่า คงจะดีถ้ามีใครสักคนมาอยู่ข้างๆ กันตอนนี้ แต่ก็ไมรู้จะทำยังไงให้ได้เจอคนที่ใช่สักที เพราะแค่ตื่นไปทำงานแป๊บเดียวก็หมดวันแล้ว จะเอาเวลาไหนไปเจอคนใหม่ๆ ในชีวิตบ้าง
พอเป็นแบบนี้หลายคนเลยหันไปพึ่งสายมูเตลู แอปฯ หาคู่ หรือบริษัทจัดหาคู่แทน แต่พอไม่ใช่คนที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว เลยต้องใช้ทั้ง ‘ข้อมูล’ เกี่ยวกับเราตัวเราและคนที่เรามองหาเพื่อมาคัดกรองคนที่ถูกใจ แม้แต่สายมูฯ เอง เราก็มักจะได้ยินบ่อยๆ ว่า ถ้าขอพรก็ต้องระบุสเป็กให้ชัด บอกคุณสมบัติไปให้ละเอียด จะได้เจอคนที่ใช่ได้ง่ายและไวขึ้น แต่บางทีเราก็อดสงสัยไม่ได้ว่าข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เราได้เจอคนที่ใช่ได้จริงหรือเปล่า ?
The MATTER ชวน บี-กุลชุลี ทรัพย์สินอุดม ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ ‘Bangkok Matching’ มาพูดคุยถึงธุรกิจจัดหาคู่แบบพรีเมียมในไทย และหาคำตอบไปพร้อมกันว่า data ช่วยให้เราเจอคนที่ใช่ได้มากน้อยแค่ไหน
จาก Speed dating สู่บริษัทจัดหาคู่
ต้องเกริ่นก่อนว่า Bangkok Matching เป็นบริษัทจัดหาคู่แบบพรีเมียมสำหรับคนที่มองหาคู่รักที่ต้องการคบหาอย่างจริงจัง โดยเปิดทำการมาประมาณ 16 ปี และจัดหาคู่รักไปราวๆ 9,000 คู่
จุดเริ่มต้นของธุรกิจนี้คือ pain point ที่ บี—กุลชุลี ทรัพย์สินอุดม เจอช่วงทำงานบริษัท แล้วต้องไปร่วมงานเลี้ยงหรืองานที่ต้องพบปะผู้คนอยู่บ่อยๆ ยิ่งได้คุยกับคนเยอะๆ บียิ่งพบว่าหลายคนอยากจะเข้าไปพูดคุยกันแต่ยังไม่กล้า และไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นสานสัมพันธ์ยังไงดี จนบางทีก็อยากให้บีมาช่วยเป็นสื่อกลาง และนั่นคือช่วงเวลาที่ไอเดียบริษัทจัดหาคู่เริ่มเข้ามาในความคิดของเธอ
“ตอนแรกก็ลังเลๆ อยู่ จนวันหนึ่ง เราไปเที่ยวทะเลแล้วกำลังว่ายน้ำอยู่ เราก็คิดในใจว่า มีอะไรที่ถ้าฉันไม่ได้ทำก่อนตาย ตายแล้วจะเสียใจมากเลยว่าทำไมฉันไม่ได้ทำทุกอย่างที่อยากทำ ไอเดียธุรกิจนี้ก็เข้ามา พอกลับมากรุงเทพฯ ก็เริ่มทำเลย เพราะเราก็ยังไปงานให้บริษัทอยู่ใช่ไหม เราก็ไปพิมพ์นามบัตร แล้วก็ตั้งชื่อบริษัทเราเลย Bangkok Matching”
ช่วงแรกๆ บีเริ่มจากการทำ speed dating ให้คนซื้อตั๋วมาร่วมงานก่อน ซึ่งดูเหมือนว่างานนี้จะเป็นไปในทิศทางที่ดี แต่ก็มีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น จำนวนชาย-หญิงที่ไม่สมดุลกัน บางคนรอจนนาทีสุดท้ายก่อนจองตั๋ว เลยไม่สามารถยืนยันจำนวนคนที่แน่นอนได้ แถมโอกาสจะเจอคนใจตรงกันก็ยังถือว่าค่อนข้างน้อย บีเลยปรับมาทำบริษัทจัดหาคู่อย่างจริงจังแทน
“ตอนนั้นปรับมาเป็นการจัดหาคู่กลุ่มไฮเอนท์ โดยที่เป็นการนั่งสัมภาษณ์กัน เราก็จะตรวจสอบเอกสารทั้งหมดเลย สกรีนหมดเลยเหมือนสมัครงานกับกู้แบงก์รวมกัน จบอะไรมา โสดไหม เคยแต่งงานไหม ถ้าเป็นเจ้าของธุรกิจต้องเอาใบจดทะเบียนบริษัท ใบงบการเงิน รายได้บริษัท ถ้าเป็นพนักงานต้องเอา ภงด.91 ใบสลิปเงินเดือน บัตรพนักงาน ทะเบียนบ้านเอามาหมดเลยค่ะ ทีนี้การที่คนมาใช้ที่นี่เลยเป็นคนที่หาคู่จริงจังมากๆ”
“ด้วยค่าบริการ ส่วนใหญ่เลยมักจะเป็นคนรายได้ดี เจ้าของธุรกิจเยอะมาก ช่วง COVID-19 จนถึงปัจจุบันนี้ 90% เป็นคุณหมอและเจ้าของธุรกิจ เขาไม่ค่อยมีเวลาด้วย หรือบางทีมีเวลาแต่ไม่ได้เจอคนที่อยากเจอ เพราะไม่ได้อยู่ในวงสังคมของตัวเอง”
Bangkok Matching บริษัทที่เป็นมากกว่าการจัดหาคู่
ขั้นตอนของ Bangkok Matching เริ่มจากการสอบถามข้อมูลผ่านทางโทรศัพท์หรือทางไลน์ เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกแพ็กเกจต่างๆ ซึ่งการฝากประวัติแบบไม่ได้ระบุสเป็ก ราคาจะเริ่มต้นที่ 3,900 บาท ส่วนราคาแพ็กเกจหาคู่จะเริ่มที่ประมาณ 25,000 บาท
เมื่อตกลงเลือกแพ็กเกจแล้ว ขั้นต่อมาคือการสัมภาษณ์ ส่งเอกสาร ทำประวัติ รวมทั้งถ่ายภาพและวิดีโอ ก่อนจะส่งไปให้ลูกค้าตรวจสอบความถูกต้อง โดยในสัญญาระบุว่าหากข้อมูลบิดเบือนทางบริษัทจะฟ้องเรียกค่าเสียหาย โดยมีเงื่อนไขที่รัดกุมเพื่อให้ข้อมูลเหล่านี้น่าเชื่อถือและปลอดภัย
“พออ่านแล้วโปรไฟล์ถูกต้องทุกอย่าง เราก็จะเอาโปรไฟล์นี้ไปจับคู่กับคนที่ตั้งสเป็กมา สมมุติซื้อแบบดูรูปและวิดีโอ ก็จะไปพร้อมกับโปรไฟล์ประวัติหน้า A4 ครึ่ง เราก็ถามเขาว่าเนี่ยเจอที่ใช่ไหมคะ คนนี้ตามสเป็กคุณ 100% เลย เขาก็ยังมีสิทธิเลือกว่าจะเจอหรือไม่เจอนะ เพราะบางคนส่งไปเขาอาจจะบอกว่าเคมีไม่เข้ากัน ก็ต้องตามใจเขา แต่เราส่งทีละคนนะ เพราะการที่เราส่งไปทีละเยอะๆ จะไม่ดีกับลูกค้าเพราะเอาคนไปแข่งกัน เราจะไม่ส่งใครไปแข่งกับใคร เราก็ต้องเซฟลูกค้าเราด้วย”
เมื่อลูกค้าตัดสินใจไปเดตแล้ว ก็จะมีการเก็บฟีดแบ็กทุกครั้ง และบางที Bangkok Matching เองก็กลายเป็นแม่สื่อที่คอยเป็นคนกลางในบางเรื่องที่ทั้งคู่เข้าใจผิดกันระหว่างออกเดตไปด้วย
“ปกติเวลาเขาไปเดตแล้วเราจะเก็บฟีดแบ็ก แล้วเวลาเข้าผิดใจกัน เราจะเข้าไปไกล่เกลี่ยทันที แต่ถ้าไปเดตกันเอง ไม่มีใครไกล่เกลี่ย ผู้หญิงอาจจะบล็อกก็ได้ ผู้ชายก็จะงงว่าเกิดอะไรขึ้น วันนั้นจากกันด้วยดี ทำไมถึงบล็อกล่ะ แต่เนื่องจากแม่สื่อเป็นคนโทรไปถาม เจอกันแล้วเป็นยังไงคะ ผู้ชายก็เล่าให้เราฟัง ผู้หญิงก็เล่าให้เราฟัง เราก็จะแบบ อ้าวทำไมออกมาเป็นแบบนี้ แล้วเราก็จะถามทั้งสองฝ่าย เราอาจจะบอกว่าเนี่ยผู้หญิงเข้าใจผิด เขาไม่อยากคุยกับน้องแล้วนะ งั้นน้องโทรไปขอโทษด้วยตัวเองไหม แล้วน้องผู้ชายก็โทรไป แล้วผู้หญิงก็รับคำขอโทษ ก็คบกันแล้ว ปิดโปรไฟล์ไปเลย มีเคสแบบนี้เยอะมาก ทุกวันนี้ทำงานมากกว่าเป็นแม่สื่อ คือสารพัด เราเคยไปต่อรองสินสอดให้ลูกค้าชาวต่างชาติด้วย เพราะเขามาทำธุรกิจที่ไทย ไม่มีญาติที่จะไปต่อรองสินสอดกับพ่อแม่ฝ่ายหญิง เพราะผู้ชายต่างชาติเขาจะไม่เข้าใจ ทำไมเขาต้องมีสินสอด เขาเลยให้มาต่อรองสินสอดให้หน่อย เราก็ต้องไปเพราะไม่มีใครช่วย แล้วบางทีเลิกกัน ผู้ชายก็บอกว่าโทรไปไกล่เกลี่ยหน่อย คือถ้าลูกค้าไหว้วานอะไรก็ทำให้”
“เราจะเป็นคนไกล่เกลี่ย เป็นคนปรับความเข้าใจ เป็นคนคอยเตือนสติด้วย ไม่ใช่จับคู่อย่างเดียว แล้วบางทีเราก็เป็นคิวปิดจริงๆ เพราะถึงจะนอกสเป็กเขา แต่คิดว่าเขาน่าจะลองคุยดูก่อน เชื่อไหมว่ามีคนได้คู่นอกสเป็กก็เยอะมากนะ ตีว่า คู่ success มี 100 คู่ มีคนได้คู่นอกสเป็ก แต่ลองคุยจนเขาลงเอยกันได้ ก็ไม่ต่ำกว่า 30%”
“ถ้าเราเถรตรงเป็นไม้บรรทัด เขาก็จะไม่ได้คู่ บางคนก็ซื้อแบบเดตไม่จำกัด เดตเท่าไรก็ได้ เราก็จะบอกว่า คุณ ทำไมคุณไม่ไปเดต เราก็จะคอยเตือนสติ หรือสมมุติถ้าคุณทำธุรกิจ คุณทำธุรกิจนี้ เขาทำธุรกิจนี้ คุณไม่ได้แฟนก็ได้เพื่อนนะ สำหรับเรา เราคิดว่าทุกคนควรค่าแก่การพบกัน ไม่ได้เป็นแฟนก็ได้เป็นเพื่อนได้พี่น้อง แล้วอย่างน้อยไม่ได้อะไรเลยก็ถือว่าฝึกการออกเดต ไม่มีอะไรเสีย เพราะอยู่ในบริษัทจัดหาคู่ เราสกรีนประวัติ 100% เราตรวจสอบทุกอย่าง ไม่มีมิจฉาชีพเข้ามาหรอก มันไม่มีอะไรจะเสียเลยในการไปคุยทำความรู้จัก แลกเปลี่ยนความคิดเห็น มันได้ฝึกสารพัด ฝึกทุกอย่างเลย”
“อย่างเคสหนึ่ง เขาเป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่ เขาก็มองหาเจ้าของธุรกิจใหญ่เหมือนกัน กว่าจะจับคู่ไม่ง่ายเลยนะ แต่พอจับคู่แล้วเขายังไม่ให้เวลาไปคุยกับผู้ชายอีก เขาบอกเขายุ่ง จนผู้ชายโทรมาบ่นว่าเขาอยากรู้จักผมหรือเปล่าครับ จนเราโทรไปแล้วเขายังไม่สร้างเวลา เราไลน์ไปเลยค่ะ คุณคะ เราพยายามอย่างสุดความสามารถ แต่แม่สื่อคนเดียวไม่สามารถทำให้ลูกค้าสำเร็จได้ ลูกค้าช่วยแม่สื่อด้วยนะคะ เพราะไม่อย่างนั้นคุณจะต้องอยู่กับเราอีกแพ็กเกจ แล้วลูกค้าคนนี้แพ็กเกจหนึ่งหลายแสนนะ คุณจะจ่ายเราไปถึงเมื่อไร เขาก็พูดเลยนะ โอ้โห ดุจังเลย วันรุ่งขึ้นเขียนมาบอกว่าขอบคุณที่ทัก ด้วยความที่เราอยากให้ success rate มันสูงบางทีก็ยอม แล้วมันก็อดไม่ได้ด้วยจริงๆ ยังไงก็ต้องพูด เราไม่อยากให้เราเก็บเงินลูกค้าไปเรื่อยๆ แต่เรารู้ว่าถ้าลูกค้าฉุกคิดนิดเดียว เขาก็ได้คู่แล้ว”
เพราะแต่ละคนมีมุมมองเรื่องคนรักที่แตกต่างกัน
สำหรับจุดมุ่งหมายของ Bangkok Matching คือการตามหาคนที่เราตัดสินใจคบหาอย่างจริงจัง แต่จะถึงขั้นแต่งงานหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมและช่วงวัยของแต่ละคน
“บริษัทจัดหาคู่ไม่ได้ดูว่าเขาแต่งงานกันนะ บางทีแต่งงานมันขึ้นกับวัยที่เขามาหาคู่ บางคนเขาวัย 25 ปี เขากก็อาจจะรออีก 5 ปี แต่ถ้าวัย 35 ปี อาจจะปีเดียว ปีครึ่ง ดังนั้นเราไปวัดที่การแต่งงานไม่ได้ เพราะบางทีมันต้องตามนานมาก เราก็วัดแค่ว่าได้คู่ ก็คือสมมุติว่าจับคู่แล้วเขาจะบอกว่า ผมชอบคนนี้ ผมหยุดแล้ว ไม่เดตต่อแล้วแปลว่าได้คู่แล้ว”
“ส่วนใหญ่แล้วเราจะไม่รบกวนลูกค้าถ้าลูกค้าไม่ติดต่อมา นานๆ บางทีเราก็อาจจะทักไปว่าเป็นยังไงบ้าง แต่ปกติแล้ว ลูกค้ามักจะติดต่อมาแล้วส่งข่าวดีมากกว่าว่ามีลูกแล้วนะ อะไรอย่างนี้ เพราะว่าเราก็ต้องให้ความเป็นส่วนตัวเขา”
“เราตีเป็นภาพรวม คนที่เข้ามาบริษัทจัดหาคู่ จะหาคู่จริงจัง ดังนั้นประวัติก็เห็นหมดแล้ว เห็นรูป เห็นวิดีโอ แล้วเขาบอกสเป็กเรา เหลือแค่คุยแล้วไปคลิกเท่านั้น ดังนั้น success rate มันสูงมากเลย เพราะว่าหน้าตาก็ตรงปก มันไม่มีการหลอกกัน มีประวัติครบถ้วน แล้วเราต้องเลือกก่อนให้ถูกใจเขา ดังนั้นอัตรา success rate ที่เราเขียนไว้ ขั้นต่ำคือ 80% แต่ถ้าเป็นผู้ชายเข้ามาใช้ตีเลยว่า 95%”
แม้ success rate จะสูง แต่ระยะเวลาของแต่ละเคสจะแตกต่างกันออกไป บางคนก็ใช้เวลาเพียงหนึ่งวัน เพราะเห็นโปรไฟล์แล้วลงเอยกันตั้งแต่เดตแรก แต่บางคู่เดตแล้วเดตอีกก็ยังไม่ลงเอยกับใครจนตัดสินใจปิดโปรไฟล์ไปพักใจก่อนก็มี ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับเรื่องที่ควบคุมได้อย่างการปรับสเป็ก การเปิดใจมากขึ้นและเรื่องที่ควบคุมไม่ได้อย่างความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่ง
“เราว่าบางทีเราก็ไปกะเกณฑ์ให้เขาคิดเหมือนเราไม่ได้ บางคนที่คิดว่าถ้าไม่ได้แบบนี้ฉันก็อยู่โสดดีกว่า แต่ถ้าถามเรา เราคิดมองว่า ตอนเราหาคู่แต่งงานของเราเอง เราไม่ได้ตั้งเลยนะว่าต้องรายได้เท่านี้ สูง 180 ต้องทำงานนี่ๆๆ เราคิดแค่ว่า อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ไม่ใช้ชีวิตลำบาก คุยกันรู้เรื่อง แค่นั้นเองนะ แล้วพอมาเจอลูกค้า เราก็เลยเข้าใจว่าสเป็กเรา เราไปบอกคนอื่นไม่ได้ แต่ว่าเราแต่งงานมา ปีนี้เข้าปีที่ 15 แล้วมั้ง ถ้าคนถามเรา คนรอบตัวจะรู้ว่าคู่เรานิสัยดีมาก น่ารักมาก เสมอต้น เสมอปลาย แล้วเราก็มีความรู้สึกว่าเราถูกรางวัลที่ 1 ทุกวัน”
“ถ้ามีคนถามเราเราก็จะบอกว่า เราก็เลือกให้เหมาะ บางทีบางข้อมันไม่ได้จำเป็น คือถ้าเรามีสิทธิเลือก ตัวเลือกเราเยอะ เราก็เลือกเท่าที่เราอยากเลือก แต่บางทีเราก็ต้องยอมรับว่าเราอาจจะต้องยืดหยุ่นอะไรหรือเปล่า อย่างเราสัมภาษณ์บางคนเขาก็บอกว่าส่วนสูงถ้าไม่ได้ 175 ซม. ขึ้นไป ก็ไม่ได้จริงๆ หรือถ้าไม่ได้รายได้ 500,000 ก็ไม่เอา หรือถ้าไม่ใช่เจ้าของธุรกิจ เขาคุยไม่รู้เรื่องจริงๆ หรือถ้าไม่จบนอก พูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง ก็จะเข้าวงคุยกับเพื่อนไม่รู้เรื่อง เราก็แบบ อ๋อ เอาตามที่แต่ละคนสะดวกเลย เราไม่สามารถพูดแทนใครได้”
“เราก็ support ได้มากที่สุดเท่าที่เราจะสามารถทำได้ บางคนเราก็จะบอกว่า ไม่เป็นไรนะ เอาใหม่ บางคนได้คู่ไปกับเราแล้วก็เลิกกัน แล้วก็มานั่งร้องไห้ สมัครใหม่ บางคนเราก็ร้องไห้ไปกับเขาเลยนะ เราก็จะแบบไม่เป็นไรน้อง มาสู้กันใหม่ เรามาพยายามด้วยกันอีกครั้ง หรือบางคนไปเดตแล้วเฟล เราก็จะบอกว่า ไม่เป็นไรๆ กลายเป็นทุกอย่างให้ลูกค้าเลย (หัวเราะ) นอกจากเราจะให้สติแล้วเราต้องให้กำลังใจ ไม่เป็นไรนะ เอาใหม่นะ”
แม้การจับคู่จากข้อมูลและสเป็กที่คิดไว้จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เราได้ ‘เจอ’ คนที่ตรงใจได้มากขึ้น แต่สุดท้ายเราจะได้ลงเอยหรือมีความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนแค่ไหน ก็คงเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับการทำความรู้จักและความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายว่า ‘ใช่ สำหรับกันและกันหรือเปล่า