“คุณเข้าใจไหม!? พวกผมไม่ได้อยากหลบหนีเข้าเมือง พวกผมหนีตายมา” นัยน์ตาของ ฮะยี อิสมาอิล หนึ่งในแกนนำเครือข่ายสันติภาพโรฮิงญาแห่งประเทศไทย หรือ Peace for Rohingya Network พูดขึ้นในบ้านที่ล้อมรอบไปด้วยแพ็คน้ำและถังน้ำแข็ง
หลังจากพรรคก้าวไกลได้พา พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตหัวหน้าทีมสอบสวนคดีค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา ปี 2558 มาเปิดเผยถึงคดีดังกล่าว The MATTER ได้ติดต่อพูดคุยอิสมาอิล ชาวโรฮิงญาที่อาศัยอยู่ในเมืองไทยมา 25 ปี และทำงานเป็นเอนจีโอคอยช่วยเหลือชาวโรฮิงญาที่ต้องการมีชีวิตใหม่ในประเทศอื่น เขายืนยันด้วยประสบการณ์จากการทำงานของตัวเองว่า การค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญายังไม่หมดไป แค่เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปเท่านั้น และไทยยังถูกใช้เป็นทางผ่านก่อนถึงจุดหมายปลายทาง หรือมาเลเซีย
จากวันนั้นถึงวันนี้ เท่าที่เขารู้ขบวนการค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญายังดำเนินไปอยู่ไหม กระบวนการยังเหมือนเดิมหรือเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร และอะไรคือความหวังของพวกเขาต่ออนาคตของเผ่าพันธุ์ตัวเอง
เป้าหมายเดียวคือกำจัดโรฮิงญาทั้งหมด
เมื่อปี 2559 มีการเปิดเผยข้อมูลว่า กองทัพเมียนมาร์ได้ปฏิบัติการ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่ โดยภาพจากเหตุการณ์ดังกล่าวถูกบันทึกผ่านโทรศัพท์มือถือของชาวโรฮิงญาที่หนีไปที่แคมป์ผู้ลี้ภัยในบังกลาเทศ หลายต่อหลายคน ฟุตเทจในโทรศัพท์และคำบอกเล่าของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นเล่าตรงกันว่า ทหารและตำรวจเมียนมาได้เข้ามาในหมู่บ้านของพวกเขาแล้ว ทุบตี, ฆาตกรรม, ข่มขืนขณะที่บางรายถูกฆ่าหลังข่มขืน เลวร้ายกว่านั้น เด็กบางคนถูกพรากจากอกแม่ แล้วโยนลงไปในกองเพลิงที่ร้อนระอุซึ่งกำลังเผาบ้านขอพวกเขาอยู่
ในปี 2535 เมียนมาระบุว่า ประเทศเมียนมาประกอบไปด้วย 135 ชาติพันธุ์ เพียงแต่โรฮิงญาไม่ถูกนับเป็นหนึ่งในนั้น หรือหมายความว่าชาวโรฮิงญาจะไม่ได้รับสิทธิในฐานะพลเมือง ไม่ได้รับสวัสดิการ ไม่ได้รับการศึกษา รวมถึงไม่มีเสรีภาพในการเดินทาง หากจะเดินทางไปไหนจำเป็นต้องแจ้งแก่ทางการเมียนมาก่อน
“ไม่ให้เรียนหนังสือก็ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ไม่ให้แต่งงานระหว่างคนโรฮิงญากับเชื้อชาติอื่นก็เป็นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ไม่ให้เดินทางไปไหนก็เป็นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ คนพวกนี้หนีมาเพื่อให้ตัวเองรอดชีวิตแค่นั้นเอง” น้ำเสียงของอิสมาอิลหนักแน่น และเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ปนเประหว่างความแค้นและความเศร้า
“เป้าหมายเดียวของเขา (กองทัพเมียนมา – ผู้เขียน) คือ ดีลีต (กำจัด – ผู้เขียน) ชาวโรฮิงญาให้หมดออกจากประเทศ”
ชีวิตที่ถูกกดทับ ปราศจากอิสรภาพ ไม่ถูกมองเป็นมนุษย์ทำให้ชาวโรฮิงญาจำนวนมากเลือกเดินเข้าสู่กระบวนการค้ามนุษย์ด้วยตัวเอง
ยินยอมให้ถูกค้ามนุษย์
ย้อนกลับไปปี 2557 อิสมาอิลในฐานะหนึ่งในตัวแทนจากเครือข่ายสันติภาพโรฮิงญา ได้เข้าไปมีส่วนร่วมทำคดีค้ามนุษย์ในเขตเทือกเขาแก้ว อ.สะเดา จ.สงขลา โดยเขาย้อนถึงวันนั้นว่า เขาและเครือข่ายเคยได้รับข่าวนี้มาก่อนและเคยได้พยายามแจ้งกับทางการไทยแล้ว แต่เมื่อแจ้งข้อมูลไป กลับโดนไล่ตะเพิดพร้อมทั้งข่มขู่ว่ามีบัตรประจำตัวไหม มีใบรับรองจัดตั้งสมาคมไหม จนสุดท้ายเมื่อเรื่องแดงขึ้น และมีการพบหลุมศพผู้เสียชีวิต 35 รายในบริเวณดังกล่าว อิสมาอิลยังเห็นแย้งว่า มีศพมีมากกว่าที่ออกข่าวมากนัก และอาจมากถึงเป็นพันรายที่เสียชีวิตและนอนหลับอยู่ใต้ผืนดินตรงนั้น
สำหรับจุดเริ่มต้มที่ทำให้ชาวโรฮิงญาต้องการออกจากเมียนมาคือ ความหวังถึงชีวิตที่ดีกว่า เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาชาวโรฮิงญาถูกกดทับและไม่นับเป็นพลเมืองจากทางการเมียมา ไม่ให้เสรีภาพในการเดินทาง ประกอบอาชีพ ตลอดจนเรียนหนังสือ
“ตอนนั้นทหารพม่าบีบพวกเราชาวโรฮิงญา ไม่ให้เรียนหนังสือ ไม่ให้ค้าขาย ไม่ให้ออกไปไหน พวกเราก็ไม่มีตัง แล้วตอนนั้นคนโรฮิงญาในต่างประเทศที่เขาไปอยู่นานแล้วก็ส่งตังมาให้ บ้านไหนมีลูกหลานอยู่ต่างประเทศบ้านนั้นก็รวยมีกิน เขาก็อยากไปมั้ง เพราะอยู่ที่บ้านเกิด (รัฐยะไข่ – ผู้เขียน) มันไม่มีอนาคต ถูกทหารตำรวจจับตัวไปซ้อมบ้าง ฆ่าบ้าง”
“นายหน้าก็ได้โอกาสจากตรงนั้นไง พวกนี้เขาจะมาบอกว่าไปมาเลเซียไหม ค่าแรงดีนะ ไปแล้วจะได้บัตรของ UN ไปแล้วจะได้ไปประเทศที่สาม อยู่ไปเดี๋ยวได้เปลี่ยนแปลงสัญชาติ เขาก็เริ่มตกลงกันว่าหัวละเท่าไหร่ๆ”
อิสมาอิลให้ข้อมูลว่า ในช่วงนั้นการเดินทางออกจากเมียนมาราคาอยู่ระหว่าง 30,000 – 70,000 บาท/ คน โดยตอนนั้นนายหน้าจะพาพวกเขาไปขึ้นเรือบริเวณฝั่งอันดามัน และเมื่อได้ “ไฟเขียว” ก็จะนำเรือมาจอดเทียบท่าบริเวณภาคใต้ของไทย แล้วให้นายหน้าอีกกลุ่มพาเข้าไปในมาเลเซียอีกทอดนึง
ทำไมต้องมาเลเซีย? เราถามขึ้น อิสมาอิลให้เหตุผลทั้งหมด 3 ประการ ประการแรก งานที่มาเลเซียหาง่าย ประการที่สอง ชาวโรฮิงญาบางคนมีญาติอยู่ในมาเลเซียก่อนอยู่แล้ว และข้อที่สาม ชาวโรฮิงญาถูกอิหม่ามสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กแล้วว่า ชาวมุสลิมล้วนเป็นพี่น้องกัน และการเดินทางไปประเทศมุสลิมย่อมดีกว่าประเทศที่นับถือศาสนาอื่นหรือเป็นรัฐฆราวาส
ในตอนแรกทุกอย่างก็ดำเนินไปแบบนั้น กระทั่ง “คนรวย” เริ่มหมดไปจากหมู่บ้าน นายหน้าก็เริ่มเปลี่ยนข้อตกลงโดยรับปากว่าจะพาไปก่อนแล้วค่อยจ่ายทีหลังก็ได้ ซึ่งชาวโรฮิงญาหลายคนก็เชื่อในคำหลอกลวงของนายหน้า
“พ่อแม่บางคนก็รู้ บางคนก็ไม่รู้ พวกนายหน้าพามาแล้วก็มาลงเรือที่สงขลาบ้าง สตูลบ้าง ระนองบ้าง แล้วนายหน้าพวกนี้เขาสร้างแคมป์ไว้ในป่าสวนยาง พอคนพวกนี้ลงจากเรือก็เอามาใส่ไว้ในแคมป์ แล้วเอาโทรศัพท์ให้โทรไปกลับไปขอตังที่บ้าน ซึ่งมันก็ผิดจากที่ตกลงกันไว้ แล้วถ่ายวีดีโอทุบตีพวกเขาแล้วส่งไปให้พ่อกับแม่ที่บ้านเกิดดู”
อิสมาอิลเล่าต่อว่า วิธีการดังกล่าวของนายหน้าค้ามนุษย์ทำให้พ่อแม่ชาวโรฮิงญาต้องทำทุกวิธีทางเพื่อจะหาเงินมาประกันตัวลูก บ้างขายไร่นา บ้างขายวัว บ้างขายทรัพย์สินที่เก็บรอมริบไว้ในช่วงบั้นปลายชีวิต แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ได้รับการปล่อยตัว
“แต่บางคนเป็นลูกคนจน คนพวกนี้โดนตีจนตายและฝังไว้ที่แคมป์ตรงนั้นเลย” อิสมาอิลกล่าว
สิ้นสุดคดี แต่ยังคงมีเครือข่ายค้ามนุษย์
“หลังปี 2557 มันก็ไม่มีเรือมาแล้ว เพราะรัฐบาลเอาจริงเอาจัง แต่ปัจจุบันเขายังเข้ามาอยู่แต่มาทางบก” อิสมาอิลเล่าว่าปัจจุบันกระบวนการค้ามนุษย์โรฮิงญายังดำเนินอยู่ แค่เปลี่ยนวิธีการจากทางเรือมาสู่ทางบก
อิสมาอิลหันไปหาชายชาวโรฮิงญาอีกคนที่เขารับมาดูแล เขาพูดภาษาต่างถิ่นสักครู่หนึ่ง ก่อนหันมาเล่าว่า ชายคนนี้และเพื่อนอีก 4 คน เพิ่งเดินทางเข้าประเทศไทยเมื่อไม่ถึงปี โดยใช้เส้นทางบก โดยวิธีการของนายหน้าทุกวันนี้คือ พาตัวจากรัฐยะไข่เข้ามาที่ย่างกุ้ง เมืองหลวงของเมียนมา ก่อนแยกเส้นทางต่อไป โดยแบ่งเป็นทั้งหมด 3 เส้นทางคือ แม่สอด, กาญจนบุรี และระนอง โดยทั้ง 3 เส้นทางมีจุดหมายเดียวคือ มุ่งหน้าลงไปใต้สุดเพื่อออกมาเลเซีย
เขาเล่าต่อว่า ทุกวันนี้ฝั่งเมียนมามีโกดังสำหรับเก็บชาวโรฮิงญาอยู่ในฐานทัพของกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ โดยเมื่อได้รับสัญญาณถึงจะเริ่มเคลื่อนย้ายคนทีละ 10-30 คนผ่านทางพรมแดนทางบก โดยเขาระบุว่าทางการไทยมีมาตรการที่เข้มข้นขึ้นทำให้ทุกวันนี้ราคาการลักลอบข้ามแดนอยู่ที่ 100,000 บาท/ คนเป็นอย่างน้อย
“ถามว่าค้ามนุษย์ในประเทศไทยหยุดแล้วหรอ? ยังครับ แค่เปลี่ยนรูปแบบจากมาทีละมากๆ เป็นมาทีละน้อยๆ ยังมีอยู่”
แต่ไม่ใช่เพียงการค้ามนุษย์อันเลวร้ายเกิดขึ้นในไทยเท่านั้น อิสมาอิลเล่าว่าเขาเคยสัมภาษณ์ผู้หญิงชาวโรฮิงญาหลายคนที่ถูกข่มขืนโดยนายหน้า ระหว่างที่เดินทางจากรัฐยะไข่ “80% ที่ผมคุยด้วยเขาเล่าว่าถูกข่มขืนโดยนายหน้า”
และไม่เพียงเท่านั้น อิสมาอิลยังเล่าว่าทุกวันนี้ ผู้หญิงชาวโรฮิงญาบางคนที่หลุดออกจากบ้านเกิดที่ร้อนเป็นไฟได้แล้ว เมื่อพวกเธอเดินทางไปถึงที่หมายในมาเลเซีย บางรายยังถูกบังคับขายกลายเป็นสินค้าปรนเปรอชาย
“สมัยนี้มีผู้หญิงถูกหลอกไปขายที่มาเลเซีย ขายตัวก็มี มีขายเอาไปแต่งงานด้วย โดยผู้หญิงไม่สมัครใจ บังคับให้ผู้หญิงอายุ 14-15 ปี แต่งงานอยู่กับคนอายุ 60-70 ปี”
ขัง
ข้อมูลระหว่างปี 2549 – 2554 ระบุว่า มีคนโรฮิงญาที่ลักลอบอพยพเข้าสู่ประเทศไทย แล้วโดนทางการจับได้มากกว่า 15,000 คน และเมื่อชาวโรฮิงญาไม่ถูกรองรับสถานะจากรัฐบาลเมียนมา จะส่งคืนก็ทำไม่ได้ จึงทำได้เพียงดำเนินคดีและคุมตัวไว้ในห้องขัง อิสมาอิลให้ข้อมูลว่าทุกวันนี้มีชาวโรฮิงญาประมาณเกือบ 2,000 คน ถูกขังอยู่ในห้องขังในหลายพื้นที่ของรัฐไทย ด้วยสาเหตุว่าหลบหนีเข้าเมือง ซึ่งอิสมาอิลมองว่าสำหรับชาวโรฮิงญาที่ไม่ถูกรัฐบาลพม่ารับรองเป็นพลเมือง ปัญหามีความซับซ้อนกว่านั้น
“ชาวโรฮิงญาที่ออกจากบ้านเกิด หนีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มา หนีความตายมา แต่ไปบอกว่าเขาหลบหนีเข้าเมือง ผมไม่ชอบคำนี้เลย สมมติว่าบ้านคุณกับผมติดกัน ถ้าบ้านผมไฟไหม้ ผมมีเวลาขออนุญาตคุณเพื่อหลบไปขออยู่บ้านคุณ ผมจะมีเวลาขอพาร์สปอร์ต ขออะไรไหม”
“คนโรฮิงญาทำผิดอะไรไว้ถึงเอาเขาไปกักไว้ในห้องขัง ถ้าเขาฆ่าคนมา ข่มขืนคนมาให้เขาติดคุกกี่ปีๆ ก็ว่าไป แต่อันนี้ไม่มีคดีเลย แล้วถามอีกกี่วันได้ออก เจ้าหน้าที่บอกไม่รู้ ตม. ก็ตอบไม่ได้ ที่นู้นก็หนีความตายมา ที่นี่ก็บอกเราไม่มีเอกสารจะผลักดันเรากลับไปพม่า”
“บ้านคุณมีแรงงานข้ามชาติมากมาย ชาวโรฮิงญาอยู่ในห้องขังรวมแล้วไม่ถึง 2,000 คน ให้เขาออกมาแล้วออกบัตรอะไรก็ได้ ให้เขาทำงานที่คนไทยไม่ทำ งานหนัก งานสกปรก งานที่ทำแล้วตาย เราก็ทำเป็นทุกอย่าง แบบนี้ไม่ดีหรอ ดีกว่าขังไว้ในห้องขังแล้วต้องเลี้ยงข้าวเลี้ยงปลาพวกเขา เสียดายภาษีของพี่น้องประชาชน ช่วงนี้ให้เขาหากินเหมือนแรงงานทั่วไป แล้วหลังจากนี้เป็นยังไงค่อยว่ากัน” เสียงของอิสมาอิลที่อธิบายถึงความลำบากของคนในชาติพันธุ์ตัวเองเริ่มขาดช่วง
เท่าที่หวังถึงอนาคตของโรฮิงญา
“มนุษย์ทุกคนรักบ้านเกิดของตัวเอง ถ้าที่บ้านเกิดของเรามีเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน เราก็พร้อมกลับไปอยู่บ้าน ที่เราต้องหนีมาเพราะเราไม่รู้อยู่บ้านเกิดเราจะตายวันไหน”
อิสมาอิลเล่าว่าทุกวันนี้ยังมีชาวโรฮิงญาบางส่วนอาศัยอยู่ในเมียนมา แต่ก็นับเป็นกลุ่มที่ไม่มากนัก โดยเฉพาะเมื่อทหารเข้ามากุมอำนาจในประเทศ และทำให้ระเบียบอำนาจที่วุ่นวายอยู่แล้วปั่นป่วนมากขึ้นไปอีก
“ตอนนี้ในยะไข่ เหมือนอยู่ในสองรัฐบาล รัฐบาลทหารกับรัฐบาลอาระกัน (Arakan Army) ต่างฝ่ายก็บอกตัวเองใหญ่ แล้วชาวโรฮิงญาก็ถูกคนนู้นมาหาว่าเป็นสายลับฝั่งนู้นใช่ไหม คนนี้มาถามว่าไปกับคนนี้ใช่ไหม ชีวิตยิ่งลำบากมากกว่าเดิมสองเท่า”
สำหรับอิสมาอิล หนทางเดียวของชาวโรฮิงญาคือต้องกลับไปอยู่ที่บ้านเกิด รัฐยะไข่ ในเมียนมาให้ได้ มิฉะนั้นปัญหาชาวโรฮิงญาจะวนเวียนไม่มีวันจบสิ้น เช่นเดียวกับขบวนการค้ามนุษย์ที่จะดำรงอยู่ และหากินกับชะตากรรมของมนุษย์ผู้อื่นอยู่เรื่อยไป
“มองชาวโรฮิงญาเป็นมนุษย์หน่อยครับ เราไม่ได้ทำผิดคดีอะไรเลย เราหนีความตายมาจากบ้านเกิดจริงๆ อย่ามองว่าพี่น้องชาวโรฮิงญามาทำให้เดือดร้อน เราแค่มาขออยู่อาศัยชั่วคราว”
“ถ้าถึงเวลาเราก็จะกลับบ้าน” อิสมาอิล ชาวโรฮิงญาในวัย 50 ปีกล่าว