ใครที่ไปม็อบบ่อยครั้ง มักจะรู้ดีว่ากลุ่มการ์ดที่มีอาร์มสีเขียวเขียนอักษรย่อ WeVo มีความสำคัญแค่ไหนกับขบวนเคลื่อนไหว
พวกเขาก่อตั้งในระยะใกล้เคียงกับขบวนเคลื่อนไหว มีหน้าที่ทั้งดูแลความปลอดภัยของมวลชน รับบรีฟยุทธศาสตร์เคลื่อนไหวจากแกนนำ รวมถึงเป็นผู้เจรจาและเป็นด่านหน้าระหว่างเจ้าที่ตำรวจกับมวลชน และจัดกิจกรรมที่เรียกภาษาบ้านๆ ว่า ‘ล่อบาทา’ เจ้าหน้าที่รัฐ อย่าง กินกรรมขายกุ้งช่วงปลายปี 2563 หรือรื้อเก็บลวดหนาม
แต่ด้วยความเป็นคนหลังม่าน จึงไม่บ่อยครั้งนักที่ โตโต้ – ปิยรัฐ จงเทพ หัวหน้าการ์ด WeVo หรือ WeVolunteer ผู้บัญชาการ (คำที่ กอ.รมน. ใช้เรียกเขา) จะออกมาพูดคุยแสดงความคิดเห็นของเขาต่อหน้าสื่อ
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความคิดทัศนะของเขาสำคัญต่อขบวนเคลื่อนไหวแน่ๆ อย่างน้อยมุมมองของเขาต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและองค์กรความมั่นคงอื่นๆ ซึ่งเบื้องล่างนี้คือบทสนทนาที่เราได้ถามไถ่เขาภายหลังเหตุการณ์สลายชุมนุมอันป่าเถื่อนเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564 เพียงสามวัน
การชุมนุมดำเนินมาถึงตรงนี้ หน้าที่ของ WeVo มีอะไรบ้าง
เดิมที WeVo เป็นสตาฟ ถ้าเป็นเมื่อก่อนการชุมนุมอยู่กับที่ มีแกนนำ มีเวทีปราศัยหน้าที่ของพวกเรามากที่สุดก็เรื่องจราจร, ดูแลเครื่องเสียง และความปลอดภัยทั่วไป ไม่ได้ถึงขนาดต้องตั้งแนวดันกับตำรวจ
แต่หลังๆ มา WeVo ทำหน้าที่เป็นการ์ดเสียส่วนใหญ่ คือตั้งแนวอยู่ระหว่างประชาชนกับตำรวจ หรือสิ่งกีดขวางกับตำรวจ จนกระทั่งการชุมนุมมันเริ่มเติบโตขึ้น การ์ดเริ่มเข้ามาสนับสนุนมากขึ้น เราก็ถอนตัวจากหน้าที่การ์ดไปทำกิจกรรมของเราเอง พูดง่ายๆ ว่า WeVo ก็จะเป็นนักกิจกรรมเชิงสังคมการเมืองด้วย เช่น เก็บลวดหนาม หรือทำกิจกรรมที่กระทุ้งเรื่องเศรษฐกิจ เช่น การขายกุ้ง
พอประมาณได้ไหมว่าตอนนี้มีการ์ดกี่กลุ่มแล้วในการชุมนุม
ถ้าเอาเฉพาะกลุ่มที่มีชื่อกลุ่มและยังไม่นับรวมที่ยังไม่มีชื่อ แต่จับเป็นกลุ่มเป็นก้อน ผมคิดว่าน่าจะมากกว่า 10 กลุ่มขึ้นไป แต่ถ้านับที่ยุบไปแล้วด้วยก็สัก 15-16 กลุ่ม
มันเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีที่มีการ์ดมากมายหลายกลุ่มเหลือเกิน
ก็ถ้ามองในแง่ออร์แกนิค (ไม่มีแกนนำ, เจ้าของม๊อบ หรือนายทุนใหญ่เป็นเจ้าของ) มันดีนะที่ว่ากลุ่มมันเติบโตขึ้น มีคนอยากจะทำหน้าที่อาสาสมัครมากขึ้น มีคนที่อยากจะเอาชีวิตเข้าเสี่ยงเพื่อปกป้องมวลชนมากขึ้น ถ้ามองแบบนั้นมันก็ดี
แต่ถ้ามองในแง่ของการจัดการ มันก็อาจจะมีปัญหา เพราะการทำงานร่วมกันจะต้องมีการคุย การสื่อสาร มีระบบหรือเอกเทศน์ร่วมกัน ใครรับผิดชอบอะไรตรงไหน แล้วมันจะทำงานได้จริงไหม มันจะฟังชันค์ได้จริงหรือเปล่า มันก็จะเป็นเรื่องของการทำงานมากกว่าที่มันไม่ดี
จริงๆ แล้ว Wevo สามารถคุยได้กับทุกกลุ่มไหม
มันก็คุยได้ทุกกลุ่ม แต่ว่าการตอบรับมันอาจจะไม่ได้ตามเท่าที่เราคาดหวังไว้ หรือคุยแล้วอาจจะไม่เข้าใจกัน ฉะนั้นมันก็เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และขึ้นอยู่กับกลุ่มบางกลุ่มว่าเขาจะรับกับเงื่อนไขหรือข้อเสนอเราได้ไหม
ก่อนหน้านี้ ทาง WeVo ก็เคยมีปัญหาทะเลาะกับกลุ่มอาชีวะบริเวณหน้ากรมทหารราบ 11 ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
จริงๆ ไม่ใช่กลุ่มอาชีวะใหญ่นะมันเป็นกลุ่มที่มีราว 30-40 คนแล้วก็ตั้งเป็นชื่อกลุ่มอะไรสักอย่าง ปัญหาตอนนั้นคือเขาไม่เข้าใจว่าทำไมเราเข้มงวดในการกวดขันคนเข้างาน หรือเรื่องการจราจรก็เท่านั้นเอง เป็นการเข้าใจผิด และมีการขอโทษไปแล้ว หลังจากนั้นแล้วก็ให้อภัยกัน ทุกวันนี้ก็ร่วมงานกันปกติ
จริงๆ จะพูดถึงอาชีวะทุกคนไม่ได้ ผมเองก็จบอาชีวะ ดังนั้น จะบอกว่าเรามีปัญหาจากอาชีวะมันไม่ใช่ ความจริงมันแค่กลุ่มๆ นึงเท่านั้น และปัญหาคือเรื่องขั้นตอนการทำงานที่ไม่เข้าใจกันมากกว่า
WeVo กับเจ้าหน้าที่มีการพูดคุยอะไรกันบ้างไหม
เราคุยกับเจ้าหน้าที่มาโดยตลอดไม่ว่าจะเป็นการขอความร่วมมือ ขอเวลาในการจัดกิจกรรม ขอให้ยุติการสลายชุมนุม หรือขอให้ตำรวจถอยแนวกลับไป
ยกตัวอย่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 ที่หน้าสถานทูตเมียนมา วันนั้นเราเสร็จกิจกรรมของเราแล้วตั้งแต่ 16.30 น. ปรากฎว่ามีชาวเมียนมาขอใช้ไมโครโฟนต่อถึง 18.00 น. เราก็ไม่รู้จะปฎิเสธอย่างไร และนั่นหมายความว่าเราก็ต้องอยู่ต่อ ผมก็เป็นคนไปเจรจาให้กับตำรวจว่าเขาขอเวลาถึง 18.00 น. แต่สุดท้ายเจ้าหน้าที่ก็เลือกใช้วิธีการสลายการชุมนุม
แม้กระทั้งล่าสุดวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2563 ผมก็เป็นคนเข้าไปเจรจาในช่วงหลังที่สถานการณ์ควบคุมไม่ได้แล้ว ผมก็ยืนยันกับเจ้าหน้าที่ว่าสถานการณ์เปลี่ยน เราจำเป็นต้องยุติการชุมนุม ฉะนั้นขอให้เจ้าหน้าที่ลดไฟที่ส่องมาที่ผู้ชุมนุม เพราะมันแสดงถึงความเป็นศัตรูและทำให้บรรยากาศไม่ดี ซึ่งไม่นานเจ้าหน้าที่ก็ลดไฟให้ นั่นคือจุดที่เราเจรจากันโดยตลอด
พักหลังมานี้ ผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่มีการปะทะกันถี่และรุนแรงขึ้น ในฐานะที่เป็นหัวหน้าของการ์ด WeVo มีอะไรอยากบอกเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนบ้าง
ผมไม่รู้ว่าพูดแบบนี้มันจะหล่อไปไหม แต่เรา (ผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน) ไม่ได้เป็นศัตรูกัน ผมจะเป็นศัตรูกับเขาได้ไงในเมื่อผมไม่รู้จักเขา เขาไม่รู้จักผม ผมก็ไม่รู้จะเคียดแค้นอะไรเขา แต่สิ่งที่เขาทำเกินกว่าเหตุก็ต้องแยกเป็นกรณีไป
คฝ. เองบางทีก็เป็นเพื่อนผม รุ่นเดียวกัน อายุเท่ากัน บางคนเด็กกว่าผมด้วยซ้ำ บางทีผมเดินผ่านพวกเขา ผมก็บอกว่าถ้าเป็นพวกเดียวกันให้กระพริบตาสองที เขาก็กระพริบตาให้ผมก็มี ผมก็เลยไม่รู้จะโกรธจะแค้นอะไร เราก็เข้าใจหัวอกเขาว่าทำตามหน้าที่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องแยกเป็นรายบุคคล ก็อยากบอกว่าผมไม่ใช่ศัตรูคุณ ส่วนคุณก็อย่ามองว่าผมเป็นศัตรู มันจะทำให้อะไรง่ายขึ้น
อยากบอกว่าผมไม่ใช่ศัตรูคุณ ส่วนคุณก็อย่ามองว่าผมเป็นศัตรู มันจะทำให้อะไรง่ายขึ้น
จริงๆ แล้วตัวโตโต้เองยังหวังไม่ว่าจะเห็นภาพที่เจ้าหน้าที่หลายๆ คนหันมายืนฝั่งผู้ชุมนุมไหม
ผมไม่เคยฝันว่าเขาจะต้องมายืนกับเรา ไม่เคยหวังด้วย ผมคาดหวังอย่างเดียวเพียงว่าเขาทำตามหน้าที่แบบหลับตาข้างเดียว ไม่จำเป็นต้องหลับทั้งสองข้างแล้วมายืนข้างเรา เช่น นายสั่งคุณดัน คุณก็ดันพอเป็นพิธี พอให้รู้สึกว่าเรากำลังเล่นเกมกัน ทำให้เรารู้ว่าคุณเป็นมิตรกับเรา มันทำได้นี่ครับ ไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตอาชีพการงานของคุณเข้ามาแลกก็ได้
ผมเข้าใจว่ามันคงไม่มีซุปเปอร์ฮีโร่ที่ออกมายืนข้างประชาชนอย่างในการ์ตูนหรอก หรือไม่มีแบบประเทศเมียนมาที่มีนายตำรวจออกมายืนข้างประชาชน ผมไม่เชื่อความกล้าหาญของเจ้าหน้าที่ไทยขนาดนั้น ไม่ได้ดูถูกเขานะ แต่ผมรู้สึกว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะต้องมายืนข้างเรา ฉะนั้น ทำได้มากสุดคือคุณหลับตาสักข้างให้ประชาชนได้รู้สึกว่ามีความจริงใจและความตั้งใจดีที่จะเข้าใจประชาชน
ผมไม่เคยฝันว่าเขาจะต้องมายืนกับเรา ผมคาดหวังเพียงว่าเขาทำตามหน้าที่แบบหลับตาข้างเดียว ไม่จำเป็นต้องหลับทั้งสองข้าง เช่น นายสั่งคุณดัน คุณก็ดันพอเป็นพิธี พอให้รู้สึกว่าเรากำลังเล่นเกมกัน ให้รู้ว่าคุณเป็นมิตร มันทำได้นี่ครับ ไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตอาชีพการงานของคุณเข้ามาแลกก็ได้
หลังๆ มานี้ ก็มีภาพที่ผู้ชุมนุมตอบโต้เจ้าหน้าที่ด้วยความรุนแรงเหมือนกันมองว่าอย่างไรบ้าง
ผมมองว่ามันน่าจะเกิดจากการที่อารมณ์ของมวลชนและการ์ดถึงขีดสุดแล้ว เพราะมีการจับกุมแกนนำและไม่ให้ประกันตัว มีการคุมขัง มีการกดดันขัดขวางการเดินของประชาชน ทำให้มีการตอบโต้เจ้าหน้าที่รัฐด้วยการขว้างปาข้าวของ ก้อนหิน ท่อนไม้ ราวเหล็ก ไปจนไปถึงประทัด
ตรงนี้เป็นเรื่องที่ผมคิดว่าไม่แปลก แต่ไม่ได้บอกว่าโอเคมันดี แต่ที่แปลกคือมันมีคนยุยง มีคนที่บอกว่าเอาเลย แล้วก็มีคนหัวเกรียนๆ หยิบก้อนหินให้คนเหล่านั้นปา ซึ่งเราก็มีภาพถ่ายชัดเจนว่ามันมีคนที่เราไม่รู้ว่ามาจากไหน มาสร้างสถานการณ์ให้ดูรุนแรงขึ้น กลุ่มนี้เองต่างหากที่เรารู้สึกว่าไม่ปกติ
แต่เมื่อไปดูความรู้สึกของคนที่ทำก็พอเข้าใจเขา เขามองว่าที่ผ่านมาเขาเป็นผู้ถูกกระทำมาตลอด เขาพยายามเดินขบวนอย่างเรียบร้อยแต่ก็ถูก คฝ. (ควบคุมฝูงชน) ตี มาขายกุ้งก็ถูกไล่จับ ที่สำคัญคุณไปงัดมาตรา 112 มาจับแกนนำของเขา และไม่ให้ประกันตัว ทั้งๆ ที่ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ทุกอย่างนั้นเป็นการสั่งสมความกดดัน ทำให้พวกเขาหันไปหาความรุนแรง
ผมไม่โอเคกับวิธีนี้ แต่ผมเข้าใจพวกเขามากๆ เพราะผมเองก็เป็นคนนึงที่ถูกกระทำย่ำยีมาโดยตลอด เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่รัฐใช้ความรุนแรง ใช้กฎหมายปิดปาก ผมก็ยอมรับว่ามีเสี้ยววินาทีที่อารมณ์ความโกรธเกรี้ยวเกิดขึ้น ผมก็พยายามหักห้ามใจ เพราะความรุนแรงไม่อาจจะเป็นทางออกได้เสมอไป และอาจจะเป็นประตูให้เจ้าหน้าที่รัฐได้ใช้ความรุนแรงตอบโต้เราแค่นั้นเองครับ
ตอนนี้ตัวคุณเองยังมองว่าการชุมนุมยังอยู่ในแนวทางที่เป็นเป็นสันติวิธีอยู่ไหม
ผมเชื่อว่าโดนความตั้งใจของทุกคนโดยเฉพาะการ์ดอย่างผม สันติวิธีเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องมือ protection (คุ้มครอง) เราได้มากที่สุด เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเริ่มใช้ความรุนแรง เจ้าหน้าที่รัฐจะตอบโต้เราด้วยความรุนแรงทันที
ฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะเห็นด้วยหรือเรียกร้องให้ใช้ความรุนแรง ถ้าเมื่อไรที่มีความรุนแรง เราต้องยุติการชุมนุมเท่านั้น คืออย่าไปผลักต่อ อย่าบิ้วท์อารมณ์คน เพราะคุณจะคุมคนไม่ได้แล้ว
ดังนั้น ผมกล้าพูดได้ว่าทั้งมวลชนและแกนนำส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรง แต่ที่มีแหลมๆ นั้นมีไม่กี่คน ซึ่งเราเองก็ไม่รู้จะห้ามกันอย่างไรและมันห้ามไม่ได้ด้วย ฉะนั้นรอบหน้ามันก็ต้องมีมาตรการต่อไปในการจัดการกับคนพวกนี้
และตอนนี้มีการพูดคุยกันหรือยัง
มันก็เป็นเรื่องของแผนการซึ่งไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ก็มีความพยายามกันอยู่
นอกจากความรุนแรงภายในการเคลื่อนไหวแล้ว ทางกลุ่ม WeVo ยังเผชิญกับการทำร้ายร่างกายจากมือที่สามบ่อยครั้ง มองอย่างไรบ้าง
เราต้องจัดการกลุ่มพวกนี้ให้ได้และป้องกันให้ได้เท่านั้นเอง เราไม่สามารถจะบอกได้ว่า Wevo จะทำอะไรบ้าง และไม่สามารถบอกได้ว่าเราจะต้องเป็นคนเดียวที่ทำ มันต้องเป็นความร่วมมือของทุกคน และต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐด้วย โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง
มีการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่รัฐไหม
ไม่ได้มีการคุยแบบเป็นทางการ
ก่อนนี้รุ้ง (ปนัสยา สิทธิจีรวัฒนธรรม แกนนำม็อบราษฎร) พูดว่าอยากรวบรวมมวลชนให้ถึงสองล้านคน คิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อรวบรวมคนให้ถึงสองล้านหรือมากกว่าเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริงๆ
ผมว่าเมืองไทยมันยากมากๆ สังคมไทยเป็นสังคมที่ผมใช้คำว่าเห็นแก่ตัว คือขอให้ยังอยู่ได้ ทำมาหากินได้ ยังกลับไปเจอหน้าคนที่บ้านได้ ข้างนอกจะเป็นอย่างไรก็เรื่องของมัน สังคมไทยไม่ได้ถูกสร้างให้รู้สึกว่าเป็นของเรา ไม่เหมือนในหลายๆ ประเทศที่มองว่ารอบตัวของพวกเขาคือของเขา
ปัจจัยภายในอย่างเดียวยังยาก อาจต้องพึ่งปัจจัยภายนอกด้วย เช่น เมียนมา Spring เพราะตอนนี้คนมีจะกินไม่อยากจะออกมาเพราะมีจะกิน คนไม่มีจะกินก็ไม่ออกมาเพราะไม่มีจะกิน เมืองไทยไม่ได้คิดว่าฉันเหลือเฟือแล้วฉันจะออกมาเสียสละเพื่อสังคม หรือไม่มีคนที่คิดว่าถ้าไม่สู้กูอดตายแน่ คนไทยถูกปลูกฝังมาเป็น generation ว่า อย่าไปอะไรเลย เขามาเขาก็ไป เราก็ทำมาหากินของเราไป ศาสนาก็มีส่วนเกี่ยวข้องโดยเฉพาะพุทธแบบไทยๆ ที่ทำให้คนไทยมีความรู้สึกประนีประนอม ปล่อยไปเดี๋ยวทุกอย่างก็เป็นไปตามเวรตามกรรม
ดังนั้น การที่จะให้คนสองล้านคนออกมาชุมนุม ผมบอกเลยแทบจะเรียกว่า impossible ผมมองว่าประเทศไทยจะเปลี่ยนเพราะคนไม่กี่คนเท่านั้นแหละ หวยข้างเดียวที่ผมซื้อคือทหารฝั่งประชาธิปไตยออกมารัฐประหาร
ยังเชื่อหรอว่ามีทหารรักประชาธิปไตย
ตอนแรกผมไม่เชื่อ แต่มันมีวันที่มีการเลือกตั้งซ่อมเขตสามพราน ซึ่งเป็นเขตที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจตั้งอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าในกลุ่มนั้นต้องมีนายตำรวจใหญ่ๆ ในอนาคตแน่นอน วันนั้นพรรคอนาคตใหม่ให้ผมไปเป็นผู้ดูแลความผิดปกติในหน่วยเลือกตั้ง เพราะว่าไม่มีใครกล้าไป ผมก็จัดทีมไปเฝ้าเลย
เชื่อไหมว่าจากทั้งหมดสี่หน่วย มีนักเรียนนายร้อย 1,200-1,400 คน มาใช้สิทธิ์ประมาณ 900 คน ปรากฎผลเลือกตั้งออกมามากกว่าร้อยละ 80 เลือกพรรคอนาคตใหม่ ไม่กี่วันต่อมาผู้อำนวยการโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน เด้งเข้ากรุเลย (หัวเราะ)
ฉะนั้นผมเลยบอกเลยว่าที่เราคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันไม่ใช่หรอก การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 หนักกว่านี้อีก ตอนนั้นยังปกครองโดยระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และเพิ่งมีกบฎล้มราชบัลลังก์ที่ถูกลงโทษรุนแรง มันหนักกว่านี้ แต่ผู้ก่อการที่ได้ทุนเล่าเรียนหลวงทั้งนั้น กลับยังไม่กลัวเลย
เทียบกันแล้วสถานการณ์ปัจจุบันมันมีโอากาสเกิดขึ้นได้ง่ายกว่า 2475 เพราะวันนั้นประชาชนยังไม่เข้าใจเลยว่ารัฐธรรมนูญคืออะไร แต่ทุกวันนี้ประชาชนจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจการเมืองและไม่เอากับระบบแบบนี้
แล้วคุณไม่มีความหวังหรือ ผมนี่ผมเห็นปรากฎการณ์ 3-4 ครั้งล่าสุด ผมโคตรมีความหวังเลย และผมคิดว่ามันจะจบในรุ่นเรานี่แหละ และจะเป็นจุดจบในแบบที่คุณต้องคิดให้ดีว่าคุณจะอยู่ใต้รัฐธรรมนูญหรือคุณจะไม่ได้อยู่อีกเลย
Photograph By Asadawut Boonlitsak
Illustration By Waragorn Keeranan