เวลาพูดถึงตำนานกระสือ หลายคนอาจจะนึกภาพเป็นตัวประหลาดๆ ที่มีแสงไฟลอยไปลอยมา คอยออกไปกินตับไตไส้พุงตอนกลางคืน แม้ตอนนี้จะเป็นปี ค.ศ. 2019 แล้วก็ตาม แต่ตำนานดังกล่าวก็ไม่ได้ไกลหูไกลตาคนยุคนี้มากนัก ถึงกับมีภาพยนตร์ที่ผลิตออกมาเพื่อเหล่าเรื่องตำนานนี้อย่าง ‘แสงกระสือ’ และ ‘กระสือสยาม’ ในเวลาที่ไร่เรี่ยกัน
เวลาพูดถึงกระสือ คงไม่ใช่สิ่งที่ใครใคร่อยากจะเจอเท่าไหร่ แต่ The MATTER อยากเจอ! เราจึงชวน ‘มินนี่-ภัณฑิรา พิพิธยากร’ จากภาพยนตร์ ‘แสงกระสือ’ มาพูดคุยตอบคำถามเรื่องราวชีวิตของกระสือที่ต้องคอยวิ่งหนีความไม่เข้าใจกันจากสังคม ชีวิตที่เลือกไม่ได้กับการถูกตีตราว่าเป็นตัวประหลาด ทั้งในหนังและในชีวิตจริง เธอรับมือกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ยังไงบ้าง ไปอ่านกัน!
The MATTER : เรามักจะได้ยินบ่อยๆ ว่า “กระสือก็มีหัวใจ”
มินว่าหัวใจมันคือศูนย์รวมของร่างกาย จุดรวมที่ให้เลือดไปเลี้ยงสมอง สมองสั่งการจนร่างกายขยับตัวได้ แล้วก็เป็นส่วนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึก เป็นตัวแทนของอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งความสัมพันธ์ ความรัก แล้วก็ความฝัน
The MATTER : ถ้าในชีวิตจริงเราเป็นกระสือ จะรักษาหรือสู้กับมันยังไงดี
ถ้ามินเป็นกระสือจริงๆ เหรอ อย่างแรกก็คงบอกป๊า มินสนิทกับป๊ามาก แล้วก็สนิทกับน้องๆ ทุกคน มินเลือกที่จะบอกพวกเขา มินเชื่อว่าเขาเป็นคนที่รักเรามากที่สุด ถึงแม้จะรู้ว่าเราไม่หาย แต่ยังไงเขาก็ต้องหาทางช่วยเราอยู่ดี บางทีถ้าเราเชื่อว่าวันหนึ่งเราจะหาย มันอาจจะหายจริงๆ ก็ได้
The MATTER : หลายคนมองว่า ‘กระสือ’ เป็นสัตว์ประหลาด
คำว่า ‘ประหลาด’ มันเหมือนคนที่มองคนอื่นแตกต่างจากเรา เวลาเรารู้สึกว่าคนนี้ไม่เหมือนเรา รู้สึกว่าเขาประหลาด ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาไม่ได้ทำอะไรให้เราเดือดร้อนด้วยซ้ำ ทำไมเราต้องไปรู้สึกว่าเขาประหลาด เหมือนคุณตัดสินใจไปแล้วว่าเขาประหลาด เขาแตกต่าง เข้ากันไม่ได้ มินว่าปัจจุบันมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว
The MATTER : ผิดมั้ยที่เรารู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกและไม่เหมือนคนอื่น
การที่เราแตกต่างกับคนอื่นไม่ได้แปลว่าเราผิดหรอก สมมติเราเจอคนที่ตัวใหญ่ สูง 2 เมตร อาจจะรู้สึกว่าคนนี้ประหลาดจัง แต่เขาเลือกเกิดไม่ได้ รูปลักษณ์ภายนอกของเขาก็อาจจะไม่ได้อยากเป็นแบบนั้น การไปตัดสินด้วยรูปภายนอกมันไม่ได้ เขาก็มีความรักของเขา มีความฝันของเขา มีนิสัยของเขา เราอย่าไปตัดสินเขาที่แตกต่าง มินว่ามันไม่ผิดเลยที่เขาจะสูงเท่านี้ ไม่ผิดเลยที่คนเราจะต่างกัน
ทุกวันนี้เวลามีคนเห็นต่างก็มักจะถูกมองเป็นคนผิด สมมติมีคนอยู่สี่คน สามคนแรกมีความคิดเห็นอย่างหนึ่ง แต่คนที่สี่ไม่เห็นด้วย กลับถูกมองว่าผิด ทำไมถึงคิดอย่างนั้น เห็นอย่างนั้น ต้องเชื่ออย่างนี้สิ ต้องเป็นแบบนี้ๆ ซึ่งจริงๆ มันมีโอกาสที่เขาจะเห็นต่างจากเราได้ ไม่ผิดหรือเปล่าที่เราจะเห็นต่างกัน เขาอาจจะมองจากอีกมุมก็ได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปบังคับใครให้เห็นตรงกับเรา
The MATTER : ภาพยนตร์ ‘แสงกระสือ’ เล่าถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เราจินตนาการยุคนั้นไว้ยังไงบ้าง
ตอนแรกคิดไม่ออกเลยว่ามันเป็นยังไง (หัวเราะ) พี่โดมที่เป็นผู้กำกับบอกว่า ต้องย้อนไปยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วเราก็เป็นเด็กเมือง เขาเลยให้ลองไปอยู่ต่างจังหวัดดู ป๊าก็พาไปบ้านเพื่อนคนหนึ่ง มินมีโอกาสไปสัมผัสคนต่างจังหวัดที่เขาอยู่กันแบบนั้นจริงๆ ประตูบ้านแทบไม่ต้องมีก็ได้ คนละแวกนั้นอยู่ติดๆ กัน ไข่ก็เอามาจากไก่ที่เลี้ยงในบ้าน เวลาจะกินส้มตำก็เอามะละกอที่ปลูกในบ้าน คนยังใส่ผ้าถุง เสื้อผ้าม่อฮ่อม ผู้ชายยังผูกผ้าขาวม้าอยู่เลย สัญญาณโทรศัพท์ตรงนั้นก็ไม่มี แต่มินคิดว่าสงครามโลกจริงๆ คงจะเก่ากว่านี้มาก
มินก็ถามพี่โดมนะว่าทำไมไม่เล่าในยุคปัจจุบัน คนปกติที่เขาไม่ได้เชื่อกระสือเขาอาจจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น แกบอกว่าอยากย้อนกลับไปให้มีความออริจินัลมากขึ้น มีความเก่าๆ เพราะสมัยก่อนคนยังเชื่อเรื่องกระสืออยู่จริงๆ ถ้าเล่าเป็นสมัยนี้ บางคนคงไม่อินแล้ว แสงอะไรก็ไม่รู้ มีไส้ด้วยเหรอ คนตลกตายเลย มินเลยเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมต้องเป็นช่วงเวลานั้น ถ้าเป็นกระสือ 2019 มันคงไม่น่ากลัวแล้วมั้ง อาจจะเป็นโดรนสีแดงหรือเปล่า (หัวเราะ)
The MATTER : คิดว่าทุกวันนี้สังคมไทยยังมีการไล่ล่าแบบนั้นอยู่มั้ย
ยุคนั้นที่เขายังตามล่ากระสือกัน คงเป็นความรู้สึกที่โดนปลูกฝังว่าสัตว์ประหลาดคือสิ่งน่าขยะแขยง มันจะกินเรา ทำร้ายเรา คนเลยหาวิธีป้องกันตัวเอง ถ้าเทียบกับปัจจุบัน มินว่าคนเราเชื่อทุกอย่างไปก่อน คนนี้นิสัยไม่ดีนะ ทั้งที่เขายังไม่ได้ทำอะไรผิด แค่ฟังมาเฉยๆ ว่าคนนี้นิสัยไม่ดี เราจะเชื่อแล้วเหรอ บางอย่างเราพิสูจน์เอาเองดีกว่า มารู้จักเราก่อนมั้ย มาดูว่ากระสือกินอะไร ถึงตอนนั้นแล้วค่อยรังเกียจเราก็ได้
The MATTER : ถ้ามีคนบอกว่า ‘กระสือ’ ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสร้างความเกลียดชัง
มันก็… (หน้าครุ่นคิด) อาจจะมีส่วนนั้นก็ได้นะ คนเอาเรื่องกระสือมาดึงเป็นความเชื่อให้คนอื่นกลัวหรือเกลียด แต่มันไม่ควรเป็นแบบนั้นนะ ไม่ควรเกิดขึ้นด้วยซ้ำ ทำไมคนคนนึงจะต้องโดนคนอีกคนนึงตัดสินด้วย มินว่ามันไม่แฟร์
The MATTER : ในชีวิตจริงเคยถูกตัดสินจากคนอื่นหรือเปล่า
เคยนะ เราเป็นคนที่ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย หลายคนชอบมองว่าเราได้งานเพราะหน้าตา มีงาน มีเงิน โอเคแล้วจบ สำหรับมินแค่หน้าตามันไม่ได้ ถ้าเราแสดงไม่ได้ ไม่ทำการบ้าน ยังไงเราก็ทำได้ไม่ดี แต่เขาตัดสินเราไปก่อนแล้ว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวลาออกกองต้องใช้ความอดทนแค่ไหน เราต้องรับผิดชอบขนาดไหนที่เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย
The MATTER : แล้วเราผ่านมันมายากมั้ย
ตอนแรกยากนะ พอเราเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น คนก็จะมองแล้วหันหน้าไปคุยกัน ซึ่งมันชัดมากว่าเขาพูดถึงเราอยู่ เขามองเราทำไม เราทำอะไรผิดหรือเปล่า แต่ป๊าบอกว่าอย่าไปคิดแทนคนอื่น เขาจะคิดอะไรก็ปล่อยเขาคิดไป เรามีหน้าที่ของเราก็ทำให้ดีที่สุด จะให้เราเดินไปบอกกับทุกคนว่าเราไม่ใช่คนอย่างนั้นนะ มันก็ไม่ได้ เราเลยก้าวผ่านมันมาด้วยการทิ้งไป ไม่ต้องไปคิด เลือกแคร์สิ่งที่เราควรจะแคร์ดีกว่า
The MATTER : ความยากลำบากของชีวิตที่เราเลือกไม่ได้
ถ้าเราเลือกไม่ได้เหรอ สมมติว่าเป็นกระสือแล้วกัน ยังไงเราต้องดำเนินชีวิตต่อไป แต่มันคงมีอะไรที่เราต้องปกปิด มันต้องแก้ไข้ปัญหาต่อไปเรื่อยๆ ดำเนินชีวิตต่อไปเรื่อย ๆ ให้ได้ ไม่ว่ามันจะแบบ ลำบากแค่ไหน เพราะเราเลือกไม่ได้
The MATTER : ทำไมถึงให้ความสำคัญกับ ‘ปัจจุบัน’ เป็นพิเศษ
เพราะว่าอนาคตมันขึ้นอยู่กับปัจจุบันที่เราทำ มินเคยเป็นคนที่จมกับอดีตมากๆ มินเคยสูญเสียคุณแม่ มินรู้สึกว่าทำไมตอนนั้นไม่ทำแบบนั้น แต่เราจะไปจมกับมันนานไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้มันเกิดขึ้นตรงนี้ ตอนนี้ ถ้าไม่ทำตอนนี้จะไปทำตอนไหน ไปพูดตอนที่ทำไม่ได้มันก็เป็นไปไม่ได้แล้ว พอจมไปนานๆ เข้าก็รู้สึกว่า มันไม่ได้แก้ไขปัญหาหรือช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้นเลย หรือแม้แต่การที่คนเราไปโฟกัสกับอนาคตมากเกินไป เราก็จะไปกดดันตัวเอง ทำให้ปัจจุบันเรายิ่งเครียด พอเราเครียดเราก็ทำอะไรออกมาได้ไม่ดี เต็มไปด้วยความรู้สึกกดดัน
เราต้องคอยพูดกับตัวเอง บอกกับตัวเองว่าเราชอบอะไร เราอยากไปให้ถึงจุดไหน แล้วก็ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ ทำให้มันดี พอเราอยู่กับปัจจุบัน เราโฟกัสตรงนี้ เลยทำให้มินเป็นคนที่ไม่ค่อยกังวลอะไรในชีวิต มินทำดีที่สุดเท่าที่วันนี้จะทำได้
The MATTER : รู้สึกยังไงบ้างที่ตอนนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นนางเอกหนังร้อยล้านแล้ว
ถามว่ารู้สึกยังไงบ้าง จริงๆ ดีใจมากเลยนะ แต่ก็ต้องปรับตัวในหลายๆ เรื่อง บางทีมินมีโลกส่วนตัวของตัวเอง มินชอบไปเที่ยวคนเดียว ดูหนังคนเดียว เราก็ทำได้เหมือนเดิมแหละ เพียงแต่เราเป็นที่รู้จักมากขึ้น เวลาเราไปกินซูชิก็จะมีพนักงานเดินเข้ามาถาม กระสือใช่ไหมคะ (หัวเราะ) ขอจับมือหน่อย ขอกอดหน่อย
เราก็ต้องปรับตัวกับคนที่เข้ามาหาเรามากขึ้น พร้อมจะต้อนรับและยิ้มให้กับทุกคน