ระยะเวลา 7 ปี สำหรับบางคนอาจจะถือว่านาน หรืออาจจะสั้นนิดเดียว แต่สำหรับคนที่ถูกจองจำ และจำกัดเสรีภาพอยู่ในเรือนจำ 7 ปีนี้ ก็ถือเป็นช่วงหนึ่งในชีวิตที่หายไป สังคมเปลี่ยน ต้องปรับตัว และเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตใหม่
‘สมยศ พฤกษาเกษมสุข’ อดีตนักสื่อสารมวลชน, นักกิจกรรม และอดีตนักโทษในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม. 112 เขาถูกจำคุก 7 ปี ตั้งแต่ พ.ศ.2554 ก่อนจะได้รับอิสรภาพในปี พ.ศ.2561 ซึ่งแม้ว่าเขาจะออกมาแล้ว เขาก็ยังคงเคลื่อนไหวทางการเมือง และในช่วงนี้ เขาเองก็ได้ไปปราศรัย และเข้าร่วมการชุมนุมของนักเรียน นักศึกษาด้วย
แม้จะติดคุก และได้รับอิสระแล้ว แต่การต่อสู้ของเขายังไม่จบ ซึ่งสมยศก็ได้เล่าให้เราฟัง ถึงชีวิตในวันที่ถูกจองจำ การต่อสู้ในอดีต จุดยืนเรื่องเสรีภาพทางการแสดงออก รวมถึงย้ำถึงอุดมการณ์ และเจตนารมณ์ของคนรุ่นเขา ได้ถูกส่งต่อให้คนรุ่นใหม่ในตอนนี้ด้วย
ชีวิต 2 ปีที่ได้รับอิสรภาพ ชีวิตเปลี่ยนไปขนาดไหน ต้องปรับตัวแค่ไหน
ปีแรกปรับตัวค่อนข้างมาก และก็ยังมีปัญหาความยุ่งยากหลายอย่าง แต่ว่าปัญหาสำคัญคือ พอออกจากคุกมาอยู่ในวัย 58 ปี ตอนนี้ 59 ปี ก็เป็นวัยแก่แล้ว วัยชรา ก็เลยมีปัญหาชีวิต คือช่วง 7 ปี มันตัดโอกาสชีวิตไป ชีวิตครอบครัวก็พังทลาย อาชีพการงาน การเงิน ก็สูญเสีย พอออกมาก็เหมือนตั้งต้นใหม่ แต่การตั้งต้นเมื่ออายุย่าง 60 ปี เป็นไปไม่ได้เลย ในการที่จะไปทำงาน
ทั้ง 8 ปีที่หายไป ยังเป็นช่วงการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี ต้องใช้เวลา 1 ปีเพื่อเรียนรู้เทคโนโลยี จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ครบถ้วน ยังตามไม่ทัน ดังนั้นมีปัญหาเรื่องการใช้ชีวิตมาก เป็นปัญหาการดำรงชีพด้วย ไปสมัครงาน 3-4 แห่งไม่รับเลย ด้วย 2 เหตุผลคือ อายุมากและมีประวัติอาชญากรรม
ความรู้สึกพอได้อิสรภาพ
อิสรภาพเป็นลมหายใจของชีวิต เป็นปัจจัยนอกเหนือไปจากปัจจัย 4 ถ้าไม่มีเสรีภาพคุณก็ไม่มีชีวิต ดังนั้นการได้มาพบเสรีภาพ ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ว่าสถานการณ์ของบ้านเมืองมันยังไม่มีเสรีภาพ มันก็เหมือนกับเปลี่ยนคุกน้อยเป็นคุกใหญ่ มันก็ยังมีความอึดอัดคับข้องใจอยู่
ตอนนั้นที่เป็น บก. Voice of Thaksin เคยคิดไหมว่างานของเราจะสุ่มเสี่ยง ถึงขนาดโดนคดีนี้
จริงๆ แล้วเราต้องยืนยันในแง่เสรีภาพของสื่อมวลชน เสรีภาพการแสดงความคิดเห็น ซึ่งสังคมยังจำกัดด้วยกฎหมาย ด้วยวัฒนธรรมหรือความคิด ทัศนคติ ทำให้การพูดถึงสถาบันกษัตริย์ การวิพากษ์วิจารณ์ หรือกระทั่งงานวิชาการที่ต้องพูดถึง มีปัญหา
Voice of Thaksin ตอนนั้นก็พยายามที่จะมีพื้นที่อย่างเสรีภาพที่จะวิจารณ์ หรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องของสถาบันกษัตริย์ กองทัพบก และตุลาการ ซึ่งเราเห็นว่าในช่วงนั้นเป็นปัญหาของบ้านเมือง เรื่อง 2 มาตรฐานในกระบวนการยุติธรรม บทบาทของสถาบันกษัตริย์หรือในเรื่องต่างๆ ซึ่งตอนนั้นเราไม่คิดว่าจะเกิดปัญหา เพราะถือว่าเป็นการทำงานของสื่อมวลชน ที่ตอนนั้นเราคิดว่าเป็นสื่อที่อิสระ และเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่แน่นอน คือกลุ่มคนเสื้อแดง
ช่วงนี้ในการเรียกร้องของกลุ่มคนรุ่นใหม่ มีเรื่องหนึ่ง คือกระแสให้ยกเลิก ม.112 ด้วย
เป็นผลต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2549 ปีนั้นประชาชนเริ่มตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับบทบาทของสถาบันกษัตริย์กับการรัฐประหาร แต่ยังไม่ชัดเจน มาชัดเจนมากขึ้นตอน 2553 ในการเสียชีวิตของคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ ก็ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่าเป็นความรับรู้ใหม่ของคนที่ออกมาต่อสู้ เรียกร้องประชาธิปไตย ทำให้พวกเขาเรียกว่า ‘ตาสว่าง’ แต่ว่าพวกเขาก็ยังไม่สามารถที่จะพูดถึงได้โดยตรง แต่ว่าก็มีคนจำนวนมากที่เริ่มพูดถึง และโดนคดี ม.112 แต่มันไม่สามารถหยุดการพูดถึงได้อีกต่อไป
เพราะฉะนั้นพอมีปริมาณผู้ที่ถูกจองจำคดี ม.112 มากขึ้น อยู่ในปริมาณที่ทำให้ชาวโลกตำหนิ และสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในไทยตกต่ำ ก็ทำให้วันนี้ จากการที่ประชาชนต่อสู้มาตั้งแต่ปี 2553 ทำให้คนรุ่นใหม่ เริ่มมาพูดอย่างกล้าหาญมากกว่าคนรุ่นนั้น อย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมามากขึ้น
ประสบการณ์ของตัวเองที่ถูกคดี ม.112 คดีนี้แตกต่างจากการโดนคดีอื่นๆ อย่างไร
ความแตกต่างมีทั้งด้านบวก และด้านลบเลย ปัญหานึงที่เจอในการทำคดี 112 คือ มันเป็นข้อพิพาทดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และองค์รัชทายาท ทำให้ศาล หรือกระบวนการยุติธรรมจะตัดสินอย่างไร เมื่อศาลบ้านเราคือตัวแทนพระมหากษัตริย์ คำพิพากษาลงนามในพระปรมาภิไธย
เพราะฉะนั้นในทางสากล ในทางอารยประเทศ เมื่อฝ่ายโจทย์ ผู้พิพากษา หรือกระบวนการยุติธรรม อยู่ในอันหนึ่งอันเดียวกัน จำเลยไม่มีสิทธิได้รับความยุติธรรมอยู่แล้ว โดยโครงสร้างของกฎหมาย 112 อันนี้ก็เป็นเหตุผลอันนึงที่ควรงดใช้ 112 เพราะว่าไม่ว่าเขาจะหมิ่นจริง หรือไม่จริง ข้อครหานี้เกิดขึ้น ทำให้สถาบันกษัตริย์จะถูกตั้งคำถามในเรื่องความยุติธรรมด้วย เพราะกลายมาเป็นข้อขัดแย้ง ข้อพิพาทกับประชาชน โดยมีศาลอยู่ตรงกลาง ซึ่งศาลก็อยู่ในนามพระมหากษัตริย์อยู่แล้ว
อันที่ 2 ก็เป็นปัญหาที่ว่า เราไม่สามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้ ทั้งๆ ที่มีในรัฐธรรมนูญ เพราะว่าศาลจะใช้คำว่ากระทบกระเทือนต่อความรู้สึกของประชาชน เป็นคดีร้ายแรง ซึ่งจะไม่ให้ประกันตัว แต่การประกันตัวเป็นสิทธิพื้นฐาน ที่คุณจะละเมิดไม่ได้ด้วย ในเมื่อเขาเป็นผู้ถูกกล่าวหา เพราะในรัฐธรรมนูญบอกว่า ถือว่ายังบริสุทธิ์อยู่ จะปฏิบัติต่อเขาเหมือนผู้กระทำความผิดไม่ได้
แต่ว่าในกรณีของ 112 เราต่อสู้คดี และต้องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ แต่ว่าเขาไม่ให้ประกันตัว ซึ่งหมายความว่า ศาลตัดสินใจแล้วว่าผิดแน่ๆ เพราะฉะนั้น โดยตัวบทของมาตรา 112 ก็มีปัญหา กระบวนการก็มีปัญหา เมื่อไม่ให้ประกันตัวก็ทำให้สิทธิในการต่อสู้คดีของเขาสูญเสียไปด้วย ไม่ว่าคุณตัดสินใจอย่างไร ผู้ถูกตัดสินก็อ้างสิทธิได้ตลอด มันเป็นกฎหมายที่ไม่ถึงความยุติธรรม นี่คือปัญหาของ 112
ดังนั้นคนที่โดนระยะแรก ตั้งแต่ถูกกระบวนการบีบบังคับให้รับสารภาพ คดีของผมเป็นลักษณะแบบนี้เลย สู้คดีตั้งแต่ศาลชั้นต้น ไปถึงศาลฎีกาใช้เวลา 6 ปี พอถึงปีที่ 6 กระบวนการจบแล้ว ศาลตัดสิน 11 ปี แล้วก็ไม่มีสิทธิที่จะฎีกาแล้ว แต่ในที่สุดศาลฎีกาก็เอาคดีมาทบทวนใหม่ แล้วก็ลดโทษโดยบอกว่า จำเลยจำคุกมาพอสมควร มันก็เลยเป็นปัญหาของการไม่ให้ประกันตัว พอคุณสู้คดีไปแล้ว ศาลจะตัดสินใจอย่างไร เกิดเขาบริสุทธิ์ขึ้นมาจะทำอย่างไร เพราะเขาถูกขังเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดจึงต้องลงโทษ ยังไงก็ต้องผิด ทั้งหมดมันจึงไม่สามารถอธิบายความยุติธรรมให้กับนานาชาติได้
ในแง่อื่นๆ นอกจากการตัดสินทางกฎหมาย คนที่ถูกคดีนี้ ถูกปฏิบัติอย่างไร
ในตอนแรกคุณโดนในแง่ของกฎหมาย และในแง่ของสังคมทุกระดับชั้น ครอบครัวก็อาจจะได้รับผลกระทบ ถึงขั้นขอเปลี่ยนนามสกุล เพื่อจะไม่ให้มัวหมองไป เพราะมีคนในนามสกุลนี้โดนคดี 112 และที่ตามมาเป็นปัญหาที่ถูกเลือกปฏิบัติ พอเข้าไปอยู่ในคุก รุ่นแรกๆ ถูกจับอยู่ประมาณ 4-5 คน ซึ่งพวกเขาเป็นคนธรรมดา ไม่มีชื่อเสียงอันนั้นถูกทรมาน เช่นถูกตบหัว ถูกตะคอกใส่ หรืออาจจะถูกบังคับให้ไปทำงานหนัก กรณี ‘อากง’ ก็คือตัวอย่างนึงที่เขาต้องทำงานหนัก ทั้งที่เป็นคนสูงอายุมาก
แต่ว่ารุ่นผมเนื่องจากว่ากลายเป็นคดีที่มีคนรณรงค์ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะต่างประเทศสนใจมาก เลยทำให้ทางเรือนจำปฏิบัติอีกแบบนึง อย่างน้อยก็ป้องกันความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นกับผู้ต้องขังที่โดนคดี 112 ผมก็เลยปลอดภัย ไม่ถูกทำร้ายในร่างกาย แต่ว่าก็ถูกเลือกปฏิบัติอยู่ดี ในแง่ที่ให้ญาติมาเยี่ยมได้แค่ 10 คน ไม่สามารถให้มาเยี่ยมได้โดยทั่วไป ถูกจัดห้องที่ให้มาเยี่ยมโดยมีการบันทึกเสียง แอบฟังตลอดเวลา หรือไม่สามารถเขียนเอกสาร อ่านหนังสือพิมพ์ได้ ก็จะถูกเลือกปฏิบัติอยู่ในงานราชฑัณท์ ควบคุมนักโทษ
ในตอนที่ถูกจองจำ ชีวิต 7 ปีในนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
ปีแรกเป็นปัญหามาก คือว่าเวลาเค้าฟ้องร้องกัน เขาก็ให้พยานหรือการนำสืบไตร่สวนของศาลไปอยู่หลายๆ จังหวัด ดังนั้นภายในระยะเวลา 1 ปี เราถูกย้ายไป 5-6 จังหวัด การย้ายก็จะไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า และพอย้ายไปแล้วก็อาจจะอยู่คุกนั้น 1-3 เดือนเลยก็ได้ สมมติว่าเรามีหมายที่จะต้องขึ้นที่จังหวัดสระแก้ว ในเดือนธันวา เขาย้ายเราไปตั้งแต่กันยาเลย
เหตุที่ย้ายเพราะว่าเป็นความลับของเรือนจำในการย้ายนักโทษ เขาอ้างว่าอาจจะมีการชิงตัว เขาก็จะไม่บอก ก่อน และเขาก็จะดูว่ามีเที่ยวการย้ายนักโทษแบบนี้ สมมติว่าเดือนกรกฎามีการย้ายนักโทษไปสระแก้ว เขาก็ย้ายเราไปก่อนพร้อมกัน พออยู่ไปซักพักเขาก็ให้ย้ายเราไปเพชรบูรณ์ สถานการณ์ก็เป็นแบบเดียวกัน
การที่ย้ายคุกมันคือการทรมานถึงชีวิตได้ เพราะมีนักโทษที่เราต้องปรับตัวด้วยใหม่ๆ ในคุกก็มีเรื่องตีกันตลอด มีทะเลาะวิวาท มีนักเลงหัวไม้ มีมาเฟีย หรืออาจจะมีคนที่ได้รับคำสั่งให้ทำร้ายนักโทษที่เป็นปัญหาก็เป็นได้
แต่โดยสภาพทั่วไป คุกบ้านเรามันเหมือนนรก เรามีคุกอยู่ 143 แห่ง รองรับนักโทษตามพื้นที่คือ 1 แสนคน แต่มีนักโทษอยู่จริงๆ 2.8 แสน ดังนั้นคุกต่างจังหวัดเหมือนนรก เคยมีภาพที่หลุดออกมา นอนเหมือนหมูมากาไก่ นอนกันเบียดเสียดก่ายกันอยู่ในห้องขัง และก็จะมีคนไม่ได้พื้นที่นอน 20-30 คนต่อห้องนอน ซึ่งจะต้องสลับเวรกันนอน ดังนั้นมันทรมานมากเวลาย้าย
ซึ่งสภาพแบบนี้ ทำให้นักโทษส่วนใหญ่จะยอมรับผิดไป เพราะมองว่าสู้คดีไปแล้วเหนื่อยป่าว ยอมรับไป จะจบเร็วกว่าการสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ที่จะไม่ได้ประกันตัว 6 ปี แต่ถ้ายอมรับอาจจะได้ออกตั้งแต่ปี 2555 เพราะเขาจะลดโทษให้กึ่งนึง และอาจจะมีอภัยโทษ ก็จะได้ออกเร็ว แต่การสู้คดีคุณจะไม่ได้อะไรเลย เพราะฉะนั้นคนส่วนใหญ่ถูกบังคับให้สารภาพผิด
ในเวลา 7 ปีนั้น ผมก็ทำงานในเรือนจำ เนื่องจากเราต้องอยู่ยาวเราก็จะเลือกทำงานทั้งๆ ที่เขาไม่ให้ทำ เราเลือกทำงานที่ห้องสมุด ซ่อมหนังสือ หาหนังสือเข้าห้องสมุด และก็ใช้โอกาสนั้นเรียนสุโขทัยธรรมาธิราช เป็นคนแรกที่เรียนจนจบในคุก แล้วก็รับจ้างทำงาน ซักผ้า ถูห้อง คนมีตังค์เขาก็จะให้ตังค์ เช่นซักผ้า เดือนละ 600 บาท
เห็นว่าคุณสมยศเองก็มีปัญหาเรื่องสุขภาพในช่วงนั้นด้วย
3 เดือนแรกคือจิตตก คิดฆ่าตัวตาย แต่ว่าก็ไม่สำเร็จ เราใช้ผ้าขาวม้าผูกคอในคุก ตอนตี 2 แต่นักโทษในเรือนจำตื่นมาช่วย และเขาก็ส่งนักจิตเวทย์มา กินยาอยู่ 3 เดือน ก็เคยคิดเรื่องฆ่าตัวตาย
ส่วนสุขภาพอื่นๆ ก็คือเรื่องฟัน จากฟันที่แข็งแรงดีไม่ได้เจอหมอฟันเลย 7 ปี เป็นโรคเหงือกอับเสบบ้าง หรือถ้าปวดฟัน ก็จะถอนอย่างเดียว และยังไม่ทันได้พบแพทย์ ต้องถอนเองก็มี สภาพในคุกมันเป็นอย่างนั้น
และก็เรื่องขับถ่าย เพราะมันเป็นส้วมแบนแบบโบราณ เป็นแถวครึ่งตัว ทำให้ปัจจุบันเรามีปัญหาเรื่องหัวเข่า หลังออกมาไปหาหมอ หมอบอกหัวเข่ามันเสื่อมเร็วกว่าอายุ 10 ปี เพราะ 7 ปีที่เราไปขับถ่ายในส้วมทำให้หัวเข่าพัง อันนี้ก็เสียหายมากในแง่สรีระร่างกาย ชีวิตการปรับตัวในปัจจุบัน
ระหว่าง 7 ปีนั้น ได้ทำเรื่องยื่นประกันตัวอย่างน้อย 16 ครั้ง
พยายามประกันอยู่ 2-3 ปี ด้วยเหตุผลสารพัดชนิด ไม่สำเร็จ แม้ว่าครอบครัวจะเอาทรัพย์สินทั้งหมด มีมูลค่ามากถึง 5 ล้าน ทั้งที่ดิน บ้านเรือน รถยนต์ เพื่อที่จะไปวางให้เขาเห็นว่า ถ้าทางนี้จะหลบนี้ จะทำให้ครอบครัวพังไปหมด ญาติพี่น้องก็จะเจ๊งไปด้วย ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลที่น่าเชื่อถือ แต่เขาก็ไม่ให้ประกัน
อ้างเรื่องสิทธิก็ยังไม่ให้ ว่าเป็นสิทธิในการต่อสู้คดี เป็นสิทธิในการประกันตัว มีองค์กรต่างประเทศที่เขาทำด้านกฎหมาย มายื่นแสดงเหตุผล ก็ไม่ให้ ทั้งหมด 16 ครั้ง
ลูกชายเองก็ไปประท้วงที่ไม่ได้ประกันตัวด้วย
ใช่ แต่ไม่ใช่เพื่อพ่ออย่างเดียว ตอนนั้นสิทธิของกระบวนการยุติธรรมมันถูกละเมิดเลยออกไปประท้วง ซึ่งเขาไม่ได้ปรึกษา ไม่ได้มาบอกเรา
การโดนปฏิเสธการประกันตัวหลายๆ ครั้ง ส่งผลอย่างไร
การไม่ได้เราก็ต้องเข้าใจแล้วว่า ศาลคิดยังไงกับคดีนี้ เราก็เห็นถึงความอยุติธรรม เราก็พยายามต่อสู้ทั้งในคุก และในการรณรงค์ขอให้แก้กฎหมาย เพื่อให้มีหลักประกันของคนที่จะต่อสู้คดีในอนาคตด้วย ก็ทำจดหมายถึงกรรมการสิทธิมนุษยชนด้วยว่า สิทธินี้เป็นสิทธิพื้นฐาน แต่ว่าองค์กรสิทธิมนุษยชนในไทยมันขาดความกล้าหาญทางด้านจริยธรรม พอเป็นเสียงเรียกร้องจากนักโทษ 112 ก็เมินกันหมด ด้วยเหตุว่ากลัวจะได้รับผลกระทบ
เพราะฉะนั้นเป็นความยากลำบากที่เราจะเสนอให้กับสังคมว่า มันไม่ได้เกี่ยวกับ 112 แต่มันเป็นสิทธิที่ควรจะได้ ตามรัฐธรรมนูญ ที่เขียนไว้ว่าถ้ายังไม่ตัดสินคดี เขาถือเป็นผู้บริสุทธิ์ จะปฏิบัติต่อเขาอย่างผู้กระทำความผิดไม่ได้ ซึ่งทุกวันนี้เป็นอำนาจเป็นดุลพินิจของศาลว่าจะให้หรือไม่ให้ แต่ศาลก็มีอำนาจครอบจักรวาลเลยว่าไม่ให้ เพราะกลัวหลบหนี ซึ่งอันนี้คือผิด เพราะเค้ายังไม่หลบหนีเลย แต่คุณไปตัดสินใจแทนเขาได้อย่างไร ต้องหลบหนีไปก่อน และถูกจับกุมตัว ถึงจะไม่ได้รับการประกันได้
ดังนั้นคนที่ต้อสู้คดีก็ไม่ได้รับสิทธิพื้นฐาน มันก็ทำให้กระบวนการยุติธรรมไม่ได้รับความเชื่อถือ
นอกจากเสรีภาพทางการแสดงออก สิ่งหนึ่งที่คุณสมยศสู้มาตลอดคือเรื่องของสิทธิแรงงาน ช่วงที่ผ่านมาก็มีการรวมตัว ชุมนุมของกลุ่มแรงงานด้วย มองการต่อสู้ของแรงงานตั้งแต่อดีต ในถึงตอนนี้อย่างไร
สิทธิแรงงานมันไม่มีมานานแล้ว ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน มันมีแต่เสรีภาพเทียมที่อยู่ในกฎหมาย เช่นเขามีสิทธิรวมตัว แต่เขาก็มีสิทธิถูกเลิกจ้าง แล้วไม่มีกลไกรัฐไปคุ้มครองเขา เขามีสิทธินัดหยุดงาน ถ้าไม่พอใจสภาพแรงงาน แต่คุณมีสิทธิตกงาน ถ้าไม่ปฏับัติตามขั้นตอนให้ถูกต้อง แต่การปฏิบัติตามขั้นตอนให้ถูกต้องทำให้เสียอำนาจในการต่อรอง เพราะคุณไม่มีสิทธินัดหยุดงานนั่นเอง
สิทธิเสรีภาพที่คุณมี คือสิทธิเสรีภาพเทียมทั้งนั้น หมายความว่า เขาไม่มีสภาพเป็นมนุษย์ตั้งแต่เป็นคนงานแล้ว และปัจจุบันยิ่งไปกันใหญ่ สัญญาจ้างยิ่งแย่ลง เช่น มีเรื่องของ outsourcing ไม่จ้างงานกันตรงๆ ไปจ้างงานผ่านบริษัท ซึ่งเป็นทาสยุคใหม่ ผมจ้างบริษัท ให้บริษัทเอาคนงานมาทำงาน แต่ผมไม่ต้องรับผิดชอบพนักงานเลย บริษัทนั้นต้องรับผิดชอบ คนงานยังไม่รู้เลยว่า ตกลงใครเป็นนายจ้างที่แท้จริง เขาก็ถูกละเมิดสิทธิ คุณอยากได้สิทธิ บริษัท outsource ก็ใช้วิธีย้ายคุณไปบริษัทอื่น มันจ้างงานหลากหลายยิ่งขึ้น และไม่เหลือความเป็นมนุษย์ สิทธิไม่มีหรอก เขาก็อยู่กันด้วยค่าจ้างพอประทังชีวิต พอมีแรงทำงาน ทุกวันนี้ก็ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ เพียงแค่ว่า วันรุ่งขึ้นคุณยังมีแรงทำงานให้นายจ้าง ไม่ต้องพูดเรื่องความเป็นคนเลย
แปลว่าที่ต่อสู้มา สิทธิแรงงานถอยหลังลง
มันดีขึ้น และมันก็ถอยหลังลง ดีขึ้นเช่น มีประกันสังคม เมื่อก่อนถ้าป่วย ไม่มีอะไรเลยเป็นหลักค้ำประกัน แต่ตอนนี้ก็ยังได้ไปโรงพยาบาลรักษาฟรี มีประกันสังคม อุบัติเหตุในที่ทำงาน เจ็บป่วยในที่ทำงานดีขึ้น ได้สิทธิเต็มที่ ลาคลอดดีขึ้น บางอย่างดีขึ้น แต่โดยรวมมันไม่ดีขึ้น
แสดงว่ารัฐไม่ได้เห็นความสำคัญของสิทธิแรงงาน
รัฐมองแรงงานเป็นวัตถุ เป็นปัจจัยของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทุนนิยม เช่นคุณให้นายทุนเช่าที่ดิน 99 ปี ให้มาสร้างนิคมอุตสาหกรรม EEC เขาไม่ได้พิจารณาปัจจัยของชุมชน ไม่ได้พิจารณาแรงงาน และทุกวันนี้ไม่มีใครรู้ความจริง ไม่ยอมมาเปิดเผย คุณบอกมีนักลงทุนจากจีนไป EEC บ้าง แต่ถ้าคุณไปดูนายทุนจีน เขาไม่ได้จ้างคนไทยแล้ว เขาจ้างต่างด้าวหมด EEC ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลยจากคนไทย มีแต่ลาว เขมร พม่าได้ไป
ไปดูจังหวัดสมุทรสาคร มีแต่พม่า คนไทยถูกผลักเข้าไปภาคบริการ หมอนวด อาบอบนวด เป็นหาบเร่แผงรอย เพราะฉะนั้นพ่อค้ามีมากกว่าคนซื้อเขาก็จะแลกเปลี่ยนกันเองในตลาด เพราะว่าคนไทยถูกเบียดออก ดังนั้นรัฐบาลไม่เคยมอง หรือเห็นความสำคัญ คุณค่าของแรงงานสร้างชาติเลย และพวกเขาก็ไม่มีเรี่ยวแรงออกมาต่อสู้เพื่อสิทธิอะไรมากมาย
แล้วการต่อสู้ของ ‘กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย’ ที่ตนเองร่วมก่อตั้งล่ะ
กลุ่ม 24 มิถุนายน เกิดขึ้นจากฝ่ายต่อต้านการรัฐประหารปี 2549 เริ่มจากเครือข่าย 19 กันยาต้านรัฐประหาร แต่ว่าในกลุ่มนั้นมีความเห็นแตกกันเป็น 2 กลุ่ม โดยเฉพาะจุดยืนเกี่ยวกับทักษิณ ทำให้ออกมาเป็นอีกกลุ่มนึงคือ 24 มิถุนายน ที่เกิดขึ้นในปี 2550 เพื่อต่อสู้ ต่อต้านรัฐประหาร และมีความแตกต่างกันที่ว่า เนื่องจากเราเป็นสหภาพแรงงานในตอนนั้น มีพวกใช้แรงงานเข้าร่วม กลุ่ม 24 มิถุนาเลยยึดเอาหลัก 6 ประการของคณะราษฎรมาขับเคลื่อนกิจกรรมของกลุ่ม
เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ได้เรียกร้องแต่การเมืองอย่างเดียว แต่ว่ายังเรียกร้องในความเดือดร้อน เรื่องความปลอดภัยของประชาชนในการศึกษา ในเศรษฐกิจ การว่างงาน เป็นไปตามแนวนโยบายของคณะราษฎร 6 ประการ เพียงแต่ว่าเราใช้ขับเคลื่อนในปัจจุบัน ดังนั้นเราจึงมีข้อเรียกร้องเช่น ให้ยกเลิกภาษีสรรพสามิตรน้ำมัน เพื่อให้น้ำมันมีราคาถูกลง เรียกร้องให้มีเงินชราภาพเดือนละ 3,000 บาท แทน 600 บาท มีข้อเรียกร้องที่เป็นปัญหาของประชาชน จะแตกต่างจากกลุ่มการเมืองที่เคลื่อนไหวด้านประชาธิปไตยอื่นๆ
ทุกวันนี้กลุ่มก็ยังมีการเคลื่อนไหวอยู่ ก็เป็นกลุ่มประชาชนจำนวนนึงที่ ส่วนนึงก็เป็นคนเสื้อแดง หลังๆ ก็นักเรียน นักศึกษาเข้าร่วมด้วย
ในฐานะคนนึงที่เคลื่อนไหวทางการเมืองมานาน เห็นความแตกต่างของการเคลื่อนไหวในตอนนั้น กับตอนนี้
ก็อาจจะแตกต่างตรงที่ว่า ขณะนี้มีความเข้มข้น อย่างเช่น เราเรียกร้องยกเลิก 112 ตอนที่เราจุดชนวนริเริ่ม คนยังไม่กล้าเข้าร่วมมาก แต่ตอนนี้ความกล้าหาญในระดับของคนรุ่นใหม่มีมากขึ้น พูดได้มากกว่าเดิม แตกต่างกันชัดเจน จริงๆ เรายกร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ยกเลิกมาตรา 112 ไว้แล้ว ตอนนั้นตั้งเป้าลงรายมือชื่อเพื่อขอแก้ไขกฎหมาย ตั้งเป้าไว้ถึง 1 ล้านคน แต่พอเราประกาศออกไป ประกาศวันที่ 23 เมษา วันที่ 30 เมษา ผมโดนจับ ไม่ได้โดนเพราะเหตุนี้ แต่ทำให้การเรียกร้องขอยกเลิกชะงักไป
ประเด็นนึงที่พูดถึงกันในช่วงนี้ คือเสรีภาพในการแสดงออก ในฐานะที่ถูกจองจำเพราะเรื่องนี้ มองถึงเสรีภาพในการแสดงออกของไทยอย่างไร
อย่างที่ว่าพูดตัวกฎหมายนี้ผิดอยู่แล้ว เป็นกฎหมายที่ล้าหลัง เป็นกฎหมายในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ คือเราพูดถึงสถาบันกษัตริย์ เราต้องในฐานะที่เขาเป็นองค์กรหนึ่งในรัฐธรรมนูญ เหมือนเรามี ครม. มีสภา มีตุลาการ ตุลาการก็มีประมุขของตัวเอง ฝ่ายบริหารก็มีประธานรัฐสภา และก็มีประมุขใหญ่ตรงกลาง เพราะฉะนั้นโดยธรรมชาติขององค์กรกับการเมือง ไม่ว่าคุณจะทำหน้าที่เป็นประมุข หรือทำหน้าที่อะไร คุณเป็นองค์กรสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับเงินภาษีของประชาชนที่เสียไป เพราะฉะนั้นคุณไม่สามารถอยู่เหนือการติชม การวิพากษ์วิจารณ์ การแสดงความคิดเห็น ของสาธารณะได้
การไปจำกัดหรือห้ามสาธารณะพูดถึงเลย อันนี้ผิดธรรมชาติอย่างมากๆ และมันก็ผิดต่อสถาบันด้วย เพราะทุกวันนี้ คุณโดนซุบซิบนินทาอย่างมโหราฬ โดยที่คุณไม่รู้เลยว่าเขาพูดอะไรกัน เพราะว่าเขาแอบพูด พอแอบพูดก็ไม่รู้ว่าจริงหรือปลอม ถูกหรือผิด ข้อมูลข่าวสารก็หลั่งไหลกันไป แต่ถ้าคุณเปิดให้พูด ไม่มีกฎหมายเป็นข้อจำกัด ไม่มีประเพณีใดๆ มากีดกั้น อันไหนที่ไม่ถูก เข้าใจผิด ก็แก้ไขได้ พูดความจริงได้ ก็จะเป็นผลดีต่อสถาบันในแง่ที่สามารถออกมาพูดความจริงได้
และยังเป็นผลดีในแง่ที่ว่า รู้ว่าสังคมคิดอย่างไรต่อสถาบัน ตอนนี้มันไปถึงไหน ใครนินทา ไม่มีใครรู้เลย ถือว่าลำบากใจมากกว่ารู้อีก เหมือนข้อเรียกร้องของนักศึกษา ก็พูดมาเลย 10 ข้อ ถ้าไม่เห็นด้วย หรือไม่จริงก็ชี้แจงมาเลย เพราะฉะนั้นสำคัญมากที่จะให้มีเสรีภาพ เพราะเราจะค้นพบความจริง และเมื่อพบความจริง เราจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ และจะลดความอึดอัด คับข้องใจ ดังนั้นเสรีภาพต้องมาก่อน
จากเรื่องที่พูดไม่ได้ในยุคหนึ่ง กลายเป็นอยู่ในข้อเรียกร้องของนักศึกษา
เป็นปัญหาที่เด็กรุ่นนี้เติบโตมา และเขาได้ค้นพบความจริง เป็นข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสถานภาพสถานะกษัตริย์ บทบาท อำนาจหน้าที่ ความสัมพันธ์ระหว่างประมุขของรัฐกับรัฐบาล และประชาชน เป็นเรื่องที่จะต้องพูดถึงอย่างแยกไม่ได้ คุณไม่ได้เป็นองค์กรโดดเด่นที่ไม่เกี่ยวข้อง หรือไม่เกี่ยวพันกับรัฐบาลเลย ในเมื่อรัฐธรรมนูญให้กฎหมายทุกฉบับไปลงนามโดยพระมหากษัตริย์ ในเมื่อการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการทั้งในกองทัพ และในตุลาการต้องลงนามโดยพระมหากษัตริย์ จึงไม่สามารถแยกออกจากกันได้ มันมีความสัมพันข้อเกี่ยวกัน
โดยเฉพาะสภาจะต้องคุยข้อเรียกร้องของนักศึกษา ถ้าสภาไม่คุย ถือว่าสภาบกพร่องในการทำหน้าที่แทนปวงชนชาวไทย บกพร่องในแง่จริยธรรมที่เป็นตัวแทนของประชาชน ถึงได้บอกว่าผู้แทน ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เมื่อละเลยในการนำข้อเรียกร้องของนักศึกษามาพิจารณา เพราะมหากษัตริย์ก็มาจากการเห็นชอบของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ และใครจะรับผิดชอบ
ต้องไปดูข้อเรียกร้องนักศึกษา และฟังอย่างมีสติ ฟังด้วยความเป็นที่ไม่มีอคติ หรือไม่ถูกครอบงำจากประเพณีใดๆ ทั้งสิ้น เพราะนักศึกษาเหล่านี้หวังดีต่อสถาบันกษัตริย์ และต่อประชาธิปไตย
มีคนบางกลุ่มมองว่า แค่พูดถึงสถาบันกษัตริย์ ก็เป็นการจาบจ้วงแล้ว
ต้องมาคุยกัน แต่รัฐสภาก็ต้องมีเวทีให้คุยกันว่าอะไรคือการจาบจ้วง เขาไม่ได้ต้องการบอกให้ยกเลิกสถาบัน พวกเราต้องเข้าใจว่าการปกครอง การบริหารงานบ้านเมือง มันเป็นสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ มนุษย์เป็นคนสร้างกลไกการบริหารงานของมนุษย์ขึ้นมาคือรัฐ มนุษย์สร้างรัฐ เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ ไม่ใช่ให้มากดขี่มนุษย์ มันจึงต้องเปลี่ยนแปลงได้
เขาอาจจะบอกว่า ในโลกนี้มาการปกครองรูปแบบเยอะไปหมด อาจจะเห็นว่าแบบเกาหลีใต้ระบบการเมืองเขาดี กลายเป็นประเทศมหาอำนาจ หรือบางคนก็บอกของจีนก็ดี เขาแก้ปัญหาความยากจนได้ในพริบตา หรือบางคนบอกอเมริกาก็ดี ทำไมประชาชนจะขอเปลี่ยนแปลงไม่ได้ หรือทำไมจะพูดไม่ได้ เมื่อกลไกเหล่านี้เป็นสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ มาตอบสนองความต้องการของมนุษย์ ว่าไปด้วยกับเจตนารมณ์ของประชาชนไหมที่เลือกผู้แทน และผู้แทนมาเลือกรัฐบาล
เขาต้องการให้รัฐบาลมาตอบสนองเจตนารมณ์ และความต้องการของเขา ที่อาจจะอยากได้ค่าแรงขั้นต่ำ 425 บาท เงินเดือนขั้นต่ำ 20,000 บาทที่จบปริญญาตรี แต่ถ้าคุณไม่ตอบสนองเขา เขาก็มีสิทธิตำหนิคุณ หรือจะตำหนิรัฐบาลประยุทธ์ ที่ไม่ตามสัญญาประชาคม จริงๆ เขามีสิทธิจะคิด คุณไม่สามารถไปปิดกั้นเขาได้ เพราะฉะนั้นคุณจะทำให้องค์กรของรัฐไปองค์กรที่ไม่พัฒนา ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่พลวัตร ที่ว่าห้ามจาบจ้วง
คิดว่าควรจะเปิดเวที ผมยินดีจะไปคุยด้วย ควรเป็นพื้นที่ที่ไม่มีอคติ และกฎหมาย มันก็เป็นปัญหาของเสรีภาพ เพราะประชาธิปไตยเรามีไม่จริง
แต่ประเด็นการเรียกร้อง หรือพูดคุยของนักศึกษาในตอนนี้ มันไปไกลกว่าในสภา
มันไม่ได้หยุดแค่สภาอยู่แล้ว คุณไปแยกสถาบันออกไม่ได้ เพราะเขาอยู่ในรัฐธรรมนูญ เป็นประมุขของรัฐ
เห็นอะไรบ้างจากการไปการชุมนุมในช่วงนี้
เห็นความน่ารัก ต้องยอมรับว่าเป็นการต่อสู้ที่สร้างสรรค์ อันนี้เป็นคุณลักษณะพิเศษของคนหนุ่มสาว ของเยาวชนที่ผู้ใหญ่รุ่นแรกๆ ที่สู้ตั้งแต่ 14 ตุลามา ไม่มีรูปแบบพวกนี้ ไม่ว่าจะเป็นแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ เมาคลีหมาป่า แฮมสเตอร์ และรูปแบบที่เขาทำ วัฒนธรรมการเต้นเอาเพลงเชียร์มาใช้ในการสื่อสาร ถือว่าเป็นการต่อสู้ที่สร้างสรรค์ และมีเนื้อหาก้าวหน้าอย่างไม่น่าเชื่อ
เห็นความเชื่อมโยงของการต่อสู้รุ่นตัวเอง กับเด็กๆ ในยุคนี้อย่างไร
เขาเห็นปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในยุคนั้นแล้วไม่มีคนพูด ในยุคนี้มีคนพูด มันก็เลยเป็นการต่อสู้ที่ต่อเนื่องทางประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชน ซึ่งว่ากันจริงๆ ก็ 88 ปี มันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เช่น เขาอยากจะทำลายประวัติศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็ทำลายไม่ได้แล้ว กลับบานปลาย คนรุ่นใหม่กลับมาสนใจเรื่อง 2475 อย่างปีนี้ ตอน 24 มิถุนา มีการเอาคำประกาศคณะราษฎรมาอ่านใหม่ มีการตั้งชื่อกลุ่มคณะราษฎรใหม่ มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น และเป็นเรื่องที่น่าดีใจ
มองการต่อสู้ของตัวเองตอนนี้ และในอนาคตอย่างไร
รุ่นนึงต่อสู้ไปแล้วก็ชราภาพ หลังออกมาจากคุก คนรุ่นเดียวกันก็เริ่มเสียชีวิตแล้ว แต่ภารกิจเจตนารมณ์มันไม่หายไป มันถูกส่งต่อโดยไม่รู้ตัว และอยู่ดีๆ มันก็มาเชื่อมกัน ก็ถือว่าคนรุ่นปัจจุบันกำลังต่อสู้เพื่อเสรีภาพ ภราดรภาพ และเสมอภาค ต้องการเห็นความเท่าเทียมในสังคม ต้องการสิทธิ เสรีภาพเต็มที่ อันนี้ก็จะทำให้การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มีความก้าวหน้ากว่าเดิม
มองการต่อสู้ของเด็กๆ และข้อเรียกร้องอย่างไร
ผมคิดว่าเขาอาจจะขาดความลึกทางประวัติศาสตร์ และความต่อเนื่องอยู่ ตอนนี้คล้ายๆ ว่าเขาเพิ่งกลับมาดู 6 ตุลา เพิ่งกลับมาดูเสื้อแดงถูกเข่นฆ่า ตอนนี้รูปแบบ จำนวนคนโอเคแล้ว การใช้สัญลักษณ์ทั้งชู 3 นิ้ว หรือผูกโบว์ขาว เป็นรูปแบบที่ดี แต่ว่าความเข้าใจจริงๆ อาจจะยังไม่มากพอ หรือมีน้ำหนักที่จะนำไปสู่ความยั้งยืนของการเปลี่ยนแปลง คือการเปลี่ยนแปลงที่บรรลุเป้าหมาย เช่น แก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังพูดลอยๆ แต่ยังดีที่มีธรรมศาสตร์ 10 ข้อเข้ามา แต่หลายอย่างยังไม่มีน้ำหนักในการเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์ อาจจะยังไม่มีการแลกเปลี่ยนระหว่างรุ่นด้วย
จะเป็นประวัติศาสตร์ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร
ความเปลี่ยนแปลงคือภาพของภาคประชาชนที่มีส่วนร่วมทางการเมือง การเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่โดยประชาชน การเข้ามาเป็นผู้กำหนดชะตากรรม เช่นเสื้อแดงก็อาจจะมีความสัมพันธ์กับพรรคการเมือง และนำโดยนักการเมือง แต่นักการเมืองก็มีข้อจำกัด เพราะเขาอาจจะไปสู่อำนาจรัฐ เพราะเขาก็ไม่สุด แต่นักศึกษาเป็นพลังอิสระที่ไม่ได้ผูกกับนักการเมือง มีข้อดีคือ มันไม่มีการนำแบบรวมศูนย์ เป็นการนำแบบการนอน
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการชุมนุม ก็ตีลูกยาว สุดไปเลย ส่วนเยาวชน หรือประชาชนปลดแอกก็ยังเหมือนเดิม 3 ข้อ มหาวิทยาลัยเกษตร และมหานคร ก็แฮร์รี่ พ็อตเตอร์ที่ทนายอานนท์ปราศรัยไปเลย ซึ่งคนละข้อเรียกร้อง แต่ส่งผลสะเทือนต่อกันและกัน แต่ทำให้การเคลื่อนไหวไม่มีทิศทางที่มีน้ำหนักทางเดียว ตอนนี้เหมือนการต่อสู้ระหว่าง 3 ข้อ และ 10 ข้อ ถ้ามันตรงกันได้ก็จบเหมือนกัน
ในฐานะที่ต่อสู้มานาน อยากแนะนำอะไรเด็กรุ่นใหม่ไหม
ไม่กล้าแนะนำเลย เพราะเขาก้าวหน้ากว่าเยอะ อย่างน้อยเขาได้รับรู้ และเรียนรู้เรื่องราวการต่อสู้ในอดีตมาเยอะพอสมควร แต่ว่าต้องมีการเชื่อมโยงกลุ่มต่างๆ เข้ามาให้มีพลัง และเขายังไม่สามารถเอาภาคประชาชนมาผูกเพื่อเป็นการทำงานร่วมกัน เช่นอาจจะมีภาคประชาชนเข้ามาร่วมมากขึ้น มีสมัชชาคนจน ภาคเกษตรกร องคร์กร ขับเคลื่อนร่วมกัน ก็ยังต้องมีการปรับขบวนการต่อสู้ หรือมีข้อเรียกร้องที่ผูกโยงกับเรื่องแรงงาน เศรษฐกิจ ที่กระทบกับคนวงกว้างจริงๆ
เห็นว่าเพิ่งเริ่มเล่นทวิตเตอร์ด้วย เป็นยังไงบ้าง
ยังไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กอยู่แล้ว ซึ่งมันก็อิสระที่ไม่มีการจำกัดจำนวนคำ ส่วนทวิตเตอร์ถูกจำกัดก็อาจจะไม่ค่อยมัน ต้องจำกัดข้อความ แต่ก็ดีในแง่ที่ปริมาณคนอ่านมีมากขึ้น และก็ทำได้เร็ว
เห็นการเคลื่อนไหวอะไรในทวิตเตอร์ไหม
ยังไม่ได้ดูอย่างเต็มที่ ดูผ่านๆ ก็เป็นแหล่งข้อมูลที่ดี ช่วยให้เราเข้าถึงข้อมูลได้เร็วขึ้น เห็นว่าคนอื่นเขาคิดอย่างไร