ในทุกรูปแบบของความสัมพันธ์ ทั้งคนรัก เพื่อนฝูง หรือครอบครัว การใช้เวลาอยู่ด้วยกันจะช่วยทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นและพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น แม้ทุกคนจะมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ด้วยภาระหน้าที่อาจทำให้เรามีเวลาว่างที่ไม่ตรงกันได้
ไม่ว่าจะเป็นคนที่ทำงานกะดึก สวนทางกับคนที่ทำงานตามเวลาปกติ คนที่มีวันหยุดไม่ตรงกับคนอื่น ตามปกติแล้วคนอื่นจะหยุดวันเสาร์อาทิตย์ แต่เรากลับหยุดวันจันทร์วันเดียว หรือคนที่วันหยุดไม่เคยได้หยุด ต้องทำงานตลอดเวลา ได้แต่มองคนอื่นออกไปสนุกกันในวันหยุด แม้ใจจะอยากใช้เวลากับคนรอบข้างขนาดไหน แต่ข้อจำกัดพวกนี้ก็รั้งเอาไว้จนตอนนี้แทบไม่เหลือใครในชีวิตแล้ว
ว่าด้วยเรื่องของการใช้เวลาร่วมกัน
ตอนแรกก็ไม่คิดว่าการใช้เวลากับคนรอบข้างจะสำคัญขนาดนี้ เมื่อมีงานวิจัยที่พบว่าความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นจะส่งผลกับสุขภาพกายของเราในทางที่ดีขึ้น การที่ได้ใช้เวลาร่วมกับคนสำคัญจะทำให้เรามีความเสี่ยงที่จะเป็นหวัดน้อยลง หรือมีความเสี่ยงที่จะโดนความเครียดเข้าโจมตีได้น้อยลงด้วย จากการวิเคราะห์ข้อมูลของงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้กว่า 148 ชิ้น ก็คิดออกมาเป็นตัวเลขได้ว่า เราจะลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตได้ถึง 50% เมื่อรอบตัวเรารายล้อมไปด้วยความสัมพันธ์ที่แข็งแรง
สำหรับคู่รัก อ้างอิงจากการแบ่งภาษารักเป็น 5 ประเภทของ แกรี แชปแมน (Gary Chapman) การใช้เวลาร่วมกันเป็นหนึ่งในภาษารักที่พบได้มาก โดยคนที่มีลักษณะภาษารักแบบนี้มักจะมีความสุขเมื่อได้ใช้เวลาร่วมกับคนรักอย่างมีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นการคุยสารพัดเรื่องในชีวิต ออกไปเที่ยวด้วยกัน ทำงานอดิเรกด้วยกัน
ซึ่งเวลาที่ใช้ร่วมกันนั้นไม่จำเป็นต้องมากมายก็ได้ แต่ต้องมีคุณภาพจริงๆ โฟกัสกับสิ่งที่ทำอยู่ ไม่ถูกเบี่ยงเบนความสนใจด้วยโทรศัพท์มือถือหรือเรื่องอื่นใด ซึ่งการที่ไม่ได้ใช้เวลาร่วมกันจะทำให้คนที่มีภาษารักชนิดนี้รู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นมาได้ ทั้งที่ยังมีกันและกันอยู่
ความสัมพันธ์ที่จางหาย
เรื่องหน้าที่การงานก็สำคัญก็จริง แต่คนรอบตัวก็มีส่วนในการสนับสนุนให้เราไปถึงเป้าหมายที่วางไว้เช่นกัน มีงานวิจัยที่ชี้ว่าการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างนั้นสามารถช่วยให้เราก้าวหน้าในเรื่องการงานได้จริง ดังนั้นคนที่ติดพันกับเรื่องงาน หรือมีเวลาไม่ตรงกัน ก็อาจมีความเสี่ยงที่ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างจะจืดจางลง
นี่เรายังไม่ได้พูดถึงความรู้สึกที่น่ากลัวอย่างความเสียดายที่เกิดขึ้นอีก เพราะมีการสำรวจในกลุ่มคนกว่า 1,300 คน เพื่อที่จะค้นหาว่าความเสียดายในชีวิตของพวกเขามีอะไรบ้าง ซึ่งการสำรวจนี้ก็ค้นพบว่าสิ่งที่ผู้คนเสียดายที่สุด ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ พวกเขาอธิบายความเสียดายเรื่องความสัมพันธ์ได้แบบเข้มข้นและปวดร้าวกว่าความเสียดายเรื่องหน้าที่การงานหรือเรื่องอื่นใด
มาริสา จี ฟรานโค (Marisa G. Franco) นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนได้พูดถึงเรื่องน่าเศร้าของคนที่เวลาไม่ตรงกับใครเลย นั่นคือจะเกิดระยะห่างระหว่างเรากับเพื่อนที่มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเพื่อนชวนไปไหนแล้วเราไม่สามารถไปได้ (แม้ว่าเราจะอยากไปมากแค่ไหน ก็เวลามันไม่เอื้ออำนวยนี่นา) จะทำให้เพื่อนจดจำได้โดยอัตโนมัติว่าไม่ว่ายังไงเราก็ไปไม่ได้อยู่แล้ว คราวหน้าไม่ต้องชวนแล้วกัน
เมื่อเราเผชิญกับความผิดหวังจากการที่เพื่อนไม่ชวนเราไปไหนบ่อยเข้า เราจะเริ่มชินชากับการถูกลืม และคิดว่ามันไม่เห็นจะเป็นอะไร อยู่คนเดียวก็ได้นี่ แล้วความสัมพันธ์ของเราก็จางหายไปตลอดกาล
เติมสีสันให้ความสัมพันธ์นี้อีกครั้ง
ตราบใดที่เรายังไม่สามารถเปลี่ยนงาน จะเพื่อน ครอบครัว หรือคนรัก ก็น่าจะยังไม่ได้ใช้เวลาร่วมกัน แต่การเปลี่ยนงานก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสียหน่อย แล้วจะทำยังไงดี ผู้เชี่ยวชาญก็ยังพอมีแนะนำเอาไว้ว่าเราจะรับมือกับเรื่องนี้ได้อยู่ ขั้นตอนแรกคือเราต้องให้ความมั่นใจกับพวกเขาว่าพวกเขายังเป็นคนสำคัญของเราอยู่ เรายังแคร์พวกเขา แม้ว่าสถานการณ์ตอนนี้จะรัดตัวแค่ไหนก็ตาม ไม่ว่าจะด้วยคำพูด การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ที่ชวนให้อีกฝ่ายรู้สึกดีที่ยังมีกันและกันอยู่ก็ได้
แม้ทุกวันนี้การส่งข้อความหากันจะช่วยรักษาความสัมพันธ์ไว้ได้ก็จริง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยมากขนาดนั้น ไม่ว่าอย่างไร การได้เจอกันต่อหน้า การได้คุยกัน ใช้เวลาร่วมกันก็ยังเป็นวิธีเชื่อมใจกันที่ดีที่สุดอยู่ดี ถ้าไม่มีเวลาจริงๆ อาจโทรศัพท์ไปหาพวกเขาในเวลาที่เรายังพอว่างอยู่ ในเวลาที่เดินทางไปกลับจากที่ทำงาน เข้าแถวรอวินมอเตอร์ไซค์
หรือถ้าพอมีโอกาส ก็ลองชวนพวกเขามาใช้เวลาด้วยกันในเวลาที่เราทำงานอยู่นี่แหละ บางคนอาจทำงานจากที่บ้าน ก็ชวนเพื่อนมานั่งอยู่ด้วยกันเลย อย่างน้อยการที่เราทำงาน และเขานั่งดูทีวีอยู่ใกล้ๆ ก็ยังนับว่าเป็นการใช้เวลาร่วมกันอยู่ เพราะเราสามารถหันหน้ามาคุยเล็กๆ น้อยๆ กันเมื่อไหร่ก็ได้
แม้เราจะไม่มีเวลามากขนาดที่สามารถอยู่ด้วยกันทั้งวัน แต่การได้ใช้เวลาร่วมกันเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันอย่างสม่ำเสมอก็สามารถช่วยให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงความแคร์ของเรา อย่างน้อยก็บอกกันว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ เจออะไรน่าสนใจมาบ้างไหม ให้ความสำคัญกันและกันเสมอ ใจเราก็จะกลับมาใกล้กันมากขึ้นได้
ในบางครั้ง การไม่ค่อยได้เจอกันก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่ขนาดนั้น เมื่อเราไม่ได้เจอกันเลย ก็จะเกิดความคิดถึงขึ้นเป็นธรรมดา เราก็จะเฝ้ารอการเจอกันครั้งต่อไป ซึ่งมันจะมีค่ามากกว่าที่คิดไว้แน่นอน
อ้างอิงจาก