อาจจะด้วยความบังเอิญ หรือไม่ว่าอะไรก็ตาม เรามีนัดคุยกับ เนย—กานต์ธีรา วัชรทัศนกุล ในช่วงเวลาที่แฟนคลับ BNK48 กำลังพูดถึงเธอมากที่สุด
หลายสัปดาห์มานี้ มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นกับเนย นับตั้งแต่การได้รับโอกาสเป็น ‘เซ็นเตอร์เดี่ยว’ ครั้งแรกกับเพลง Kimi wa melody (เธอคือ…เมโลดี้) ไปจนถึงเหตุการณ์หลังประกาศซิงเกิ้ลใหม่ของวง ที่หลายคนเห็นน้ำตาของเธออีกครั้ง
เรามีนัดคุยกันในเธียร์เตอร์ของ BNK48 กับบรรยากาศที่เสียงเพลง Kimi wa melody—เพลงที่เธอบอกว่าผูกพันด้วยมากที่สุด ยังคงดังอยู่จากภายนอกเธียร์เตอร์ และสอดแทรกเข้ามาให้เราได้ยินเป็นดนตรีคลอๆ ประกอบบทสัมภาษณ์อย่างถูกจังหวะ
ท่ามกลางคำถามมากมายว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับเซ็นเตอร์คนนี้
เรามั่นใจว่า ไม่มีใครบอกเล่าเรื่องราวได้ดีไปกว่าตัวของเธอเอง
เนยเคยบอกว่าอยากเป็นเซ็นเตอร์เพลงนี้ (Kimi wa melody) พอรู้ว่าได้เป็นจริงๆ แล้วรู้สึกยังไง
เอาจริงๆ คือดีใจ เราเพิ่งเข้าใจว่าการดีใจแล้วฟุบลงไปกับพื้นมันเป็นยังไง เพราะไม่คิดว่าจะได้เป็นเซ็นเตอร์เพลงนี้ และเพิ่งได้เป็นในซิงเกิ้ลที่แล้ว เราก็เคยมีปมเล็กๆ ในใจที่รู้สึกว่า ที่ผ่านมาเรายังทำหน้าที่เป็นเซ็นเตอร์ได้ไม่ดีรึเปล่า
ก่อนหน้าที่จะมีการประกาศผลคัดเลือกออกมา ครูก็บอกกับพวกเราว่าให้ตั้งใจและฝึกร้องเพลงกันเยอะๆ นะ ครูย้ำกับเราเรื่องนี้ค่อนข้างบ่อย เราเลยรู้สึกว่าหรือมันจะเป็นสัญญาณเตือนว่าเราอาจจะไม่ติดก็ได้ เพราะเราไม่ได้เป็นคนที่ร้องเพลงเก่ง
พอมาถึงวันที่ประกาศผล ทุกคนก็ขึ้นไปยืนบนเวทีเรียงกันเยอะมากเกือบเต็มเวทีแล้ว เราเองก็ไม่ได้นับว่าบนเวทีมีกี่คน แต่เพื่อนที่สนิทกันก็ขึ้นไปอยู่ข้างบนนั้นกันหมดแล้ว จนเหลือเราเป็นคนสุดท้าย ตอนนั้นรู้สึกว่าหรือเราจะไม่ติดซิงเกิ้ลนี้แล้วล่ะ
แต่หลายคนก็อาจคิดว่ายังไงเนยก็น่าจะติดเซ็มบัตสึได้ไม่ยากนะ
ถ้ามองจากคนนอกก็คงคิดว่ายังไงๆ เราน่าจะติดอยู่แล้ว แต่ใน BNK48 มันสามารถเกิดอะไรขึ้นก็ได้ เราต้องเตรียมใจไว้บ้างระดับนึง ที่เราฟุบลงไปกับพื้นก็เพราะตอนแรกคิดว่ายังไงก็ไม่ติดแล้วล่ะ พอประกาศว่าเราได้เป็นเซ็นเตอร์เลยรู้สึกว่าดีใจมาก
เล่าตอนที่เราฟุบลงไปให้ฟังหน่อย
มันไม่รู้ว่าเป็นอารมณ์แบบไหนดี คือตอนนั้นเสียใจไปแล้ว เราหันไปกอดปัญที่เพิ่งถูกประกาศชื่อไป เราเริ่มคุมสีหน้าไม่อยู่ แต่ก็บอกปัญว่าไปขึ้นเวทีเร็ว แต่พอมีชื่อเราออกมา ความรู้สึกมันเลยชนกันระหว่างการเสียใจ กับดีใจ เลยร้องไห้ออกมา
ความรู้สึกต่างกับตอนที่ได้รับการประกาศชื่อเป็นเซ็นเตอร์เพลง ‘วันแรก’ ไหม
ตอนนั้นก็ตกใจ แต่ไม่เท่ารอบนี้ เพราะความรู้สึกเรามันฝังไปแล้ว คิดว่ายังไงเราก็ไม่ติดเพลงหลักซิงเกิ้ลนี้แล้ว เราเตรียมใจไว้บ้าง ถ้าไม่ติดจริงๆ เราก็ต้องทำใจให้ได้แหละ พวกเราก็ควรรับมือกับเรื่องพวกนี้ให้ได้ เพราะเมื่อสมาชิกเยอะขึ้น ที่นั่งมันก็ต้องถูกแบ่งมากขึ้นไปเรื่อยๆ สักวันนึงก็ต้องมีวันที่เราไม่ติด
ความคิดแบบไหนที่เข้ามาในหัวเรา หลังจากที่ตั้งตัวได้จากการประกาศผลคัดเลือก
กดดันมาก เพราะว่าตั้งแต่ซิงเกิ้ลที่สามแล้ว มันเป็นความกดดันที่ว่า เมื่อเราได้รับหน้าที่เป็นตัวแทนเพลงนี้ ถ้ามีกระแสไม่ดีมันก็จะเกิดขึ้นที่เราก่อน ถ้าเราทำได้ไม่ดี คนก็จะว่าเราก่อน อีกอย่างคือ เราก็อยากพาเพลงนี้ไปให้ดีที่สุด เพราะเพื่อนทุกคนก็ซ้อมและตั้งใจมาก มันเป็นเพลงที่ดี เราเลยอยากทำมันให้ดีที่สุด
แต่ถึงอย่างนั้น ตัวเรามีปมในใจตลอดเวลา
มันคือความรู้สึกว่าหรือที่ผ่านมาเรายังทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอรึเปล่า
จนถึงตอนนี้ ปมที่ว่าก็ยังไม่หายไปไหน
ยังไม่หาย แต่ตอนงานวันจับมือเราได้คุยกับแฟนคลับในรอบพิเศษ ตอนนั้นก็บอกขอโทษหลายๆ คนไปว่าเราอาจจะยังทำได้ไม่ดี แฟนคลับก็ให้กำลังใจกลับมา เอาจริงๆ เรากับมิวสิคในฐานะที่เป็นเซ็นเตอร์คู่กันเมื่อซิงเกิ้ลที่แล้วก็ปรึกษากันเรื่องนี้ตลอด หรือตอนที่มีประกาศซิงเกิ้ลที่ห้าไปเมื่อวันก่อน น้องก็เข้ามากอดเรา ทำให้รู้ว่าเราเองก็ยังมีคนอยู่ข้างๆ เหมือนกันนะ
ความรู้สึกแบบนี้มันติดอยู่กับเรามานานแล้วเหรอ
เราเป็นคนที่คิดมากแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ชอบโทษตัวเองว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาเป็นเพราะเรารึเปล่า พยายามแก้ แต่สุดท้ายก็ยังไม่หายสนิท ยังมีความคิดติดอยู่เล็กๆ ว่าหรือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะเรา แต่เพื่อนก็รู้
พี่แก้วก็ทักมาหลังวันที่ประกาศซิงเกิ้ลที่ห้า ถามเราว่าเนยเป็นยังไงบ้าง คือคนภายนอกอาจมองว่า เราเสียใจเพราะซิงเกิ้ลใหม่มันจะมากลบกระแสเรารึเปล่า คือสำหรับเราแล้ว มันแยกคนละส่วนกันเลยนะ เราดีใจกับปัญ เรากอดปัญ ยินดีกับปัญที่ได้เป็นเซ็นเตอร์แบบปกติเลย
แต่เรื่องที่เราเสียใจมันคือเรื่องเกี่ยวกับตัวเอง
เพราะคิดว่าในตอนนั้นเราทำได้ไม่ดีพอรึเปล่า เลยร้องไห้ออกมา
หลังจากนั้นก็บอกพี่แก้วไปว่า เรารู้สึกว่าทำได้ไม่ดีอีกแล้ว พี่แก้วบอกว่า มันเป็นแค่ช่วงเวลา เนยทำได้ดีแล้ว หลายๆ คนก็ให้กำลังใจ สมาชิกในวงก็รู้กันอยู่แล้วว่าเราร้องไห้เพราะว่าอะไร พอเราได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกว่าเราทำได้ดีที่สุดแล้วในช่วงเวลานี้ ก็เลยสบายใจขึ้น
แล้วดึงตัวเองขึ้นมาจากช่วงเวลานั้นด้วยวิธีไหน
ตอนแรกก็ขึ้นมายากอยู่ เพราะเราเป็นคนชอบโทษตัวเอง แต่ก็ได้ทั้งพี่แก้ว พี่เฌอ เพื่อนในวง รวมถึงคุณพ่อคุณแม่ เพื่อนสนิท และแฟนคลับที่บอกว่าเราทำได้ดีแล้วนะ และเราก็ต้องเดินต่อ ตอนนั้นเลยรู้สึกว่าควรจะหยุดจมไปกับมันได้แล้ว เพราะเราก็ทำดีที่สุดแล้วในช่วงเวลานั้น
หลังจากนี้จะสู้กับปมที่ว่านี้ต่อไปยังไง
ไม่ได้คิดว่าต้องไปแก้อะไร แต่เราแค่จัดการกับมันให้ได้ สมมติเราจะรู้สึกกับมันบ้าง แต่ต้องไม่จมไปกับมันว่ามันเป็นเพราะเรา เราเป็นคนชอบถามความเห็นคนอื่น ถ้าคนอื่นรู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมันโอเคแล้วนะ แล้วเราก็จะมาโทษตัวเองทำไม แต่ถ้าหากคนรอบข้างบอกว่าเรายังทำได้ไม่โอเค เราก็ต้องย้อนกลับมาปรับปรุงตัวเอง และทำให้มันดีขึ้น
คิดว่าเราดีลกับเรื่องราวต่างๆ ที่เข้ามาได้เก่งขึ้นไหม
เก่งขึ้นนะ เมื่อก่อนเคยเจอดราม่าแล้วรับไม่ไหวเลย เพราะเราก็อ่านกระแสทั่วไป พออ่านก็รับคำพูดแรงๆ ที่เขาว่าเราโดยที่เราไม่ได้เป็นแบบนั้น ตอนนั้นร้องไห้และเสียใจมาก
พอมาช่วงนี้ก็ยังเจอคำพูดที่ทำให้เราเสียใจอยู่นะ แต่เราไม่ได้รู้สึกกับมันมากเหมือนตอนนั้นแล้ว เพราะคนที่รู้จักเราจริงๆ ก็จะรู้ว่าเราเป็นคนยังไง ส่วนคนที่พูดแบบนั้น และมันไม่ได้ตรงกับสิ่งที่เราเป็น เราก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้รู้จักเราเลย
ฟังแล้วเหมือนกับคัดกรองสิ่งที่เข้ามาในชีวิตได้เก่งขึ้น
เดี๋ยวนี้รู้สึกแข็งแรงขึ้น บางทีเจอความเห็นที่แรงๆ ก็แค่งง ว่าทำไมเขาคิดไปไกลถึงขนาดนั้นนะ แต่ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรมากแล้ว เพราะเราไม่ได้เป็นแบบนั้น เราปกป้องตัวเองมากขึ้นจากสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดี และจากคนอื่นที่ทำให้เรารู้สึกแย่ได้มากขึ้น
คิดว่าตัวเองเลเวลอัพขึ้นแค่ไหน กับการรับมือเรื่องยากๆ แบบนี้
เยอะขึ้น แต่ก่อนเลเวลในการรับมือกับเรื่องแบบนั้นต่ำมาก บวกกับการที่เราชอบคิดมาก ชอบคิดไปเอง รู้สึกกลัวกับการที่คนจะมองเราไม่ดี เพราะเราไม่เคยอยู่ในวงการนี้มาก่อน เราไม่เคยต้องมารับคอมเมนต์ ตอนแรกๆ เลยรู้สึกเสียใจกับทุกอย่างที่ต่อว่าเรา แต่เดี๋ยวนี้เราโตขึ้น เก่งขึ้นเยอะมาก (หัวเราะ)
ได้ฝึกวิชารับมือนี้มาจากไหน
จากตัวเองนี่แหละ เชื่อว่าเพื่อนๆ ในวงก็มีเรื่องให้คิดต่างกันไป ทุกคนก็แข็งแกร่งขึ้นด้วยตัวเอง เพราะไม่มีใครที่ช่วยเหลือเราได้ครบร้อยเปอร์เซ็นต์ เคยคุยกับอร เขาจะเป็นคนที่ดูมั่นใจในตัวเอง ไม่ค่อยแคร์อะไร แต่ความจริงลึกๆ เวลาเจอดราม่าอะไรเข้าไป อรก็เศร้านะ แต่หลังๆ มานี้ก็ไม่ค่อยได้เก็บบางเรื่องมาคิดแล้ว
อาจจะเพราะว่าเราเปลี่ยนความคิดของใครหลายคนไม่ได้
ใช่ บางครั้งเราไม่สามารถอธิบายให้กับทุกคนฟังได้ว่าเรื่องจริงๆ มันเป็นยังไง แต่เราเชื่อว่าบางคนก็รู้ เราก็ห้ามความคิดคนอื่นไม่ได้อยู่ดี เราก็คิดว่าช่างมันเถอะ
แต่ถ้ามีโอกาสได้คุยกับแฟนคลับ เราอยากให้แฟนคลับของเราเข้าใจในตัวเราจริงๆ คือถ้ามีโอกาส เราก็จะบอกเขาว่าความจริงมันเป็นยังไงบ้าง แต่ถ้าเป็นคนอื่นที่อคติกับเราอยู่แล้ว เราก็รู้สึกว่าไม่สนใจดีกว่า เพราะสุดท้ายแล้ว ต่อให้เราพูดอะไรออกไป เขาก็คงความคิดนั้นอยู่ดี เราไม่สามารถเปลี่ยนทุกคนได้
เวลาจมไปเรื่องอะไรบางอย่างที่ทำให้ท้อขึ้นมา เนยจัดการกับเรื่องแบบนี้ยังไง
เราชอบไปหาที่พึ่ง อย่างน้อยต้องหาคนที่สามารถระบายด้วยได้ พ่อกับแม่จะไม่ใช่คนแรกๆ เพราะเราไม่อยากให้เขารับรู้เรื่องเครียดๆ ของเรามากเกินไป กลัวเขาเป็นห่วง อยากให้เขาเห็นในส่วนที่เรามีความสุขกับตรงนี้ ส่วนเรื่องที่ไม่สบายใจก็จะเอาไปปรึกษากับเพื่อนสนิทที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่มัธยมต้น ซึ่งตอนนี้ก็ยังสนิทกันอยู่ เขาก็คอยอยู่ข้างๆ กันตลอด
ไม่ค่อยคุยกับตัวเองนะ เพราะเราเป็นคนคิดมาก พอยิ่งอยู่กับตัวเองมากๆ เราจะยิ่งฟุ้งซ่าน คิดไปว่าหรือมันเป็นเพราะเรานะ หรือเรายังทำได้ไม่ดี มันจะยิ่งเข้ามาเยอะ เราจะเลือกคุยกับเพื่อนก่อนเลย พอคุยเสร็จค่อยกลับมาคุยกับตัวเองทีหลัง
ได้เรียนรู้อะไรบ้างจากความกดดัน รวมถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เข้ามาแทบทุกวัน
ได้เรียนรู้เยอะอยู่นะ รู้สึกว่าตัวเองได้ปล่อยวางมากขึ้น โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ได้จัดการกับอะไรหลายอย่างที่เข้ามา รู้สึกแข็งแกร่งมากขึ้นด้วย เหมือนเข้าใจอะไรเยอะขึ้นว่าสิ่งต่างๆ มันควรจะเป็นยังไง
เปลี่ยนมาคุยเรื่องเพลงบ้าง เนยชอบอะไรในเพลง ‘เธอคือเมโลดี้’ มากที่สุด
ชอบทำนอง มันน่ารักดี แต่เนื้อเพลงนี้มันกลับเศร้า ถ้าเปรียบเทียบเพลงนี้เป็นคน เขาคงเป็นคนที่อ่อนหวานแต่ก็มีความเศร้าในตัวเอง เลยรู้สึกว่าอยากอยู่ข้างๆ คนนี้ไปตลอดเลย
เอาจริงๆ มันเป็นเพลงที่เศร้ามากเหมือนกันนะ
ใช่ เนื้อเพลงมันเศร้ามาก หลายคนดูเอ็มวีแต่ยังไม่ได้ดูเนื้อเพลงชัดๆ ถึงรู้ว่ามันเป็นเศร้า เราชอบท่อนที่ร้องว่า “อยู่ๆ ก็คิดถึงเธอมากจนหยุดไม่ไหว” คือมันเศร้านะกับการคิดถึงใครสักคนนึง แต่ไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหนแล้ว หรือเขาจะคิดยังไง เนื้อเพลงอาจจะไม่เศร้ามาก แต่มันให้ความรู้สึกที่เศร้ามาก
เพลงนี้มันตรงกับชีวิตเราช่วงไหนเป็นพิเศษ
นึกถึงเพื่อนๆ สมัยมัธยมที่เราตื่นเช้าไปซื้อหมูปิ้ง เดินผ่านร้านนั้นก็คิดถึงความรู้สึกเก่าๆ อยากกลับไปเป็นช่วงนั้นอีกครั้ง เราชอบชีวิตช่วงนั้นมาก ได้เจอเพื่อนที่ดีมากๆ ด้วย
เพลงนี้สำคัญกับตัวเราในความหมายแบบไหน
ด้วยความที่เราได้รับคัดเลือกให้มาทำหน้าที่ในเพลงนี้ เราอ่านเนื้อเพลงนี้เยอะมากก่อนที่จะอัดเสียง เปิดฟังเวอร์ชั่นตัวอย่างทุกวัน ฟังเยอะมากจนรู้สึกผูกพันกับเพลงนี้มาก คือตอนเพลงวันแรก เราก็รักเหมือนกันนะ ต่างกันตรงที่ตอนนั้นเราทำหน้าที่คู่กันกับมิวสิค ความกดดันเลยน้อยกว่า มาเพลงนี้ความกดดันเยอะกว่า เราต้องทำการบ้านเยอะขึ้น
เหมือนกับว่าต้องขยับเพดานของตัวเองขึ้นไปอีกรึเปล่า
ไม่ขนาดนั้น แต่เราต้องพูดเยอะขึ้น เพราะการเป็นเซ็นเตอร์ต้องทำหน้าที่โปรโมตเพลงบ่อยๆ ซึ่งเมื่อก่อนเราเป็นคนไม่ค่อยชอบพูด เวลาไปออกรายการต่างๆ ถ้าพี่เฌอไม่โยนมา เราก็แทบจะไม่พูดอะไรเลยจริงๆ
แต่พอตอนนี้ ถ้าเราไม่พูดอะไรออกไป มันคงเหมือนว่าเราทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์ เราค่อนข้างกังวลกับเรื่องนี้เลยต้องพยายามให้เยอะขึ้น
ในช่วงที่ต้องไปเดินสายออกสื่อ เรานั่งเขียนลงในสมุดเลยว่าควรอธิบายความหมายของเพลงนี้ยังไงดี คือเราก็เข้าใจความหมายของมันอยู่นะ แต่เนื้อเพลงแต่ละบรรทัดแทบไม่ซ้ำกันเลย แถมเล่าเรื่องยาวไปเรื่อยๆ
เราเลยไม่รู้ว่า การที่เราจะไปโปรโมต เราควรพูดกระชับให้คนเข้าใจในข้อความสั้นๆ ยังไงดี เรานั่งเปิดเพลงนี้ฟังวนไปวนมา แล้วก็นั่งจดว่าควรจะพูดยังไงดีนะ เขียนไปเขียนมา ปรากฏว่ากลายเป็นแผ่นกระดาษที่ยาวมาก แทบจะกลายเป็นเนื้อเพลงแล้ว เราเลยทักไปปรึกษากับครูว่าควรทำยังไงดี ครูก็ให้ความช่วยเหลือกลับมา พอได้ข้อสรุปก็จดคำอธิบายสั้นๆ ในสมุดแล้วก็พกติดตัวไปไหนมาได้ตลอดเวลา
แล้วเราอธิบายมันออกไปในความหมายแบบไหน
เราเปรียบเทียบกับบทเพลง เป็นคนที่อยู่ๆ ก็คิดถึงคนๆ นึงแต่คนนั้นไม่ได้อยู่ข้างๆ แล้ว ตอนนั้นอาจเป็นความรักที่สมหวังหรือไม่สมหวังก็ได้ แต่ในช่วงเวลานั้นเรามีความสุขที่ได้อยู่กับเขานะ มันก็เปรียบกับบทเพลงที่ว่า การที่เราชอบเพลงสักเพลงนึงเมื่อนานมาแล้ว มันเป็นเพลงที่เราชอบมาก แต่พอเวลาผ่านพ้นไปเรากลับลืมไปแล้ว แต่พอได้ยินมันอีกครั้ง ความรู้สึกตอนที่ยังฟังครั้งแรกก็ยังหวนกลับมา
ถ้าผ่านไปสักสี่ห้าปี แล้วเนยกลับมาฟังเพลงนี้ จะรู้สึกกับมันยังไง
คงนึกถึงความรู้สึกตอนประกาศว่าเราได้เป็นเซ็นเตอร์ ความรู้สึกตอนที่ได้อัดเสียงและเดินสายโปรโมตกับเพื่อนๆ ซึ่งพวกเราไม่ได้เป็นกลุ่มที่ร้องเก่ง แล้วเราก็มีเวลาซ้อมน้อยมาก ครูก็ให้กำลังใจว่า ให้เราทำความเข้าใจกับเพลงนี้ สื่ออารมณ์ออกมาให้ได้มากที่สุด ก่อนที่จะเข้าห้องอัดก็ต้องฝึกให้มันไม่ร้องเพี้ยนก่อน
มันเป็นเพลงที่พวกเราตั้งใจมากกับสิ่งที่เราไม่ถนัดเลยในตอนแรก โดยเฉพาะกับเรา ปัญ และมิวสิค ที่อัดเสียงพร้อมกัน ครูก็พูดกับเราก่อนจะเข้าว่าไม่ต้องกังวลอะไรเลย ไม่ต้องจ้องเนื้อเพลงด้วย เอาให้เรารู้สึกกับมันเยอะๆ ก็พอ
พอร้องเสร็จครูก็บอกว่าพวกเราทำได้นะ พัฒนาขึ้นไปอีกขั้นนะ เราสามคนน้ำตาจะไหล คือถึงแม้เราจะไม่ได้ร้องได้สุดยอด แต่แค่ได้รับคำชมว่าพวกเราพัฒนาขึ้นก็ดีใจมากแล้ว
โมเมนต์ช่วงนี้พีคสุดแล้วไหมในการอยู่ใน BNK48
ไม่ได้ถือว่าพีคสุดสำหรับเรานะ เพลงนี้เราได้รับโอกาสมา แต่ช่วงพีคสุดของเราคือ ช่วงเพลงคุกกี้ที่มีคนถ่ายคลิปแล้วเริ่มมีคนเริ่มรู้จักเรา กับ ช่วงตอนแรกที่เราสอบกันภายในตอนที่ร้องเพลง oogoe diamond ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่พีคครั้งแรกของเรานะ เพราะตอนนั้นเรายังไม่เป็นที่รู้จัก ตอนนั้นเราเป็นอากาศมาก แล้วก็น้อยใจกับตัวเอง แต่หลังจากนั้นก็มีคนเริ่มเห็นเรา มันคือจุดที่พีคของเรา ในความรู้สึกของเรามันคือจุดที่พาให้เราเดินต่อเข้ามาเรื่อยๆ
ช่วงนี้ประทับใจกับเรื่องอะไรที่สุดในวง
ประทับใจตอนเดินสาย เพื่อนทุกคนจะรู้ว่าเราเป็นคนที่ไม่ได้พูดเก่งมาก แต่ช่วงนี้ก็จะมีคนมาทักบ่อยๆ อย่างพี่แก้วก็มาบอกว่าเดี๋ยวนี้เนยพูดเก่งแล้วนะ เรารู้สึกว่ามีเพื่อนๆ คอยอยู่ข้างเราเสมอ เวลาตอบคำถามได้ไม่ค่อยดีก็จะมีเพื่อนๆ คอยช่วยเสริมอยู่ มันเป็นความรู้สึกว่า ถึงแม้เราจะเป็นเซ็นเตอร์ แต่เราก็ไม่ได้อยู่คนเดียวนะ ยังมีเพื่อนๆ ที่อยู่ข้างเรา
มองเรื่องการได้เป็นเซ็นเตอร์ จากจุดที่เรายืนอยู่ตรงนี้ยังไงบ้าง
เซ็นเตอร์ไม่ใช่ตำแหน่งที่น่าอิจฉาอะไรเลยนะ มันเป็นตำแหน่งที่เราต้องให้กำลังใจเขาด้วย เพราะถ้าได้มาอยู่ตรงนี้จริงๆ มันเป็นอะไรที่กดดันมาก หลายคนอาจจะมองว่ากดดันทำไม แต่เราได้มาเป็นตัวแทนของเพลงนี้ เราก็อยากพาเพลงนี้ไปให้ได้ดีๆ ซึ่งถ้าหากมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด เราก็รู้สึกเสียใจว่าเราเป็นต้นเหตุรึเปล่า ที่ทำให้เพลงนี้มันไม่ได้ไปไกลอย่างที่มันควรจะเป็น สำหรับเราแล้วตำแหน่งนี้มีความกดดันสูงมาก ทั้งเรากดดันตัวเองรวมถึงความกดดันจากภายนอก ความคาดหวังมันเลยเยอะมาก
ฟังดูเป็นตำแหน่งที่ก้ำกึ่งเหมือนกันนะ มีทั้งด้านที่มีความสุข และความกดดันที่เข้ามา
ใช่ มันอาจจะกดดันแต่เราก็ภูมิใจที่ได้อยู่ตรงนี้นะ
พอเป็นเซ็นเตอร์เดี่ยวๆ แล้วมีเรื่องอะไรให้คิดเยอะขึ้นบ้างไหม
เยอะขึ้น ตอนเซ็นเตอร์คู่เรายังแบ่งกันพูดกับมิวสิคได้ แต่ตอนนี้มันเป็นความรับผิดชอบของเราที่ต้องทำให้ดี เราเลยคิดเยอะมากว่าจะต้องพูดอะไรออกไป เราจะสื่อความหมายของเพลงออกไปแบบนี้ดีไหม เพราะกลัวคนจะเข้าใจผิด
เพลงนี้ก็มีรุ่นสองมาด้วยห้าคน เล่าให้ฟังหน่อยว่าบรรยากาศกับรุ่นน้องเป็นยังไงตอนที่ทำเพลงนี้
ห้าคนนี้ไม่ได้เป็นน้องเลยนะ อาจจะมีแค่ผักขมที่เป็นน้องคนเดียว แต่ก็อายุน้อยกว่าเราแค่ไม่กี่เดือน แล้วก็มีพี่ออมที่โตขึ้นมาหน่อย รู้สึกว่าเราเข้ากันได้ไม่ยากเลย เพราะมีช่วงเวลาที่ได้เข้าห้องอัดเสียง ได้ถ่ายเอ็มวีด้วยกัน ด้วยความที่เขาโตแล้วเลยเข้ากันได้ง่ายมาก หลายอย่างรู้สึกคล้ายกัน คุยเล่นกันปกติเลยเหมือนรู้จักกันมานานมาก
ในห้าคนนี้คิดว่าเราเหมือนกับใครมากสุด
คนชอบมองว่าเราเหมือนพี่มินมิน กับผักขม อย่างผักขมเป็นคนขี้อายเหมือนกันไม่ค่อยกล้าพูด พี่ทีมงานบางคนก็บอกว่าเราเหมือนพี่มินมิน ด้วยลักษณะนิสัยหรือว่าตอนเต้นที่คล้ายกัน
แล้วคิดว่าเหมือนไหม
เหมือนก็ดีสิ พี่มินมินสวย (หัวเราะ)
เวลาเห็นรุ่นสองเข้ามาในวง เห็นเงาสะท้อนตัวเองบ้างไหม
ไม่เยอะมาก เพราะรุ่นสองที่เข้ามาค่อนข้างมีความพร้อมกับรุ่นหนึ่ง ทั้งเรื่องการร้อง การเต้น การออกสื่อ น้องพูดคล่องกว่าเราในช่วงแรกอีก แต่ที่คิดว่าส่วนที่เหมือนกันคือความไม่ค่อยมั่นใจ เช่น ในตอนเรียนเต้น
การที่มีสมาชิกเข้ามาเติมในวงเยอะขึ้น รู้สึกกดดันมากไหม เพราะที่นั่งในแต่ละเพลงก็ต้องมีอัตราแข่งขันสูงขึ้น
มันก็มีบ้างนะ เพราะการเปรียบเทียบมีเยอะด้วย แต่เราไม่ได้คิดว่าต้องไปแข่งขันอะไร ถ้าเราตั้งใจแล้วครูเห็นสิ่งที่เราทำ เราก็จะได้รับเลือกเอง ส่วนเรื่องที่นั่งตัวจริงในแต่ละเพลงนั้น คิดว่ามันทำให้วงมีความแข็งแกร่งมากขึ้นในการเลือกเซ็มบัตสึ
เชื่อว่าทุกคนก็อยากติดเซ็มบัตสึนะ แต่ถ้าไม่ได้ขึ้นมาจริงๆ ทุกคนก็คงมีวิธีการจัดการกับตัวเอง หรือถ้าวันไหนเราไม่ติดเพลงหลัก เราก็หวังติดเพลงรองนี่แหละ ชีวิตใน BNK48 เป็นอะไรที่เราต้องพยายามอยู่ตลอดจริงๆ เราต้องคิดว่าต้องทำให้ดีขึ้น เพราะการแข่งขันเกิดขึ้นตลอด วันนี้เราอาจติดเซ็มบัตสึ แต่อนาคตเราก็อาจจะไม่ติดก็ได้ มันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
ถึงอย่างนั้น เราไม่ได้รู้สึกว่าต้องไปแข่งขันกับเพื่อน แต่อย่างน้อยเราต้องให้คนอื่นเห็นว่าเราพัฒนาขึ้นนะ ไม่ใช่ว่าเคยเป็นคนขยันแล้วเปลี่ยนเป็นคนขี้เกียจ
มาถึงวันนี้แล้ว เรามองเรื่องการแข่งขันในวงยังไงบ้าง เปลี่ยนไปจากเดิมไหม
มองว่ามันกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ไม่ได้กดดันอะไรมากมาย อาจจะเพราะด้วยความที่เราชินรึเปล่านะ เพราะเราก็อยู่กับเรื่องนี้มันตั้งแต่แรก
แล้วคิดว่าความเคยชินมันน่ากลัวไหม
น่ากลัวนะ อย่างการแสดงที่เธียร์เตอร์ หรือได้ออกไปแสดงข้างนอก ถ้าเราตื่นเต้นกับมัน มันจะสนุกที่ได้ทำ แต่ถ้าวันไหนเราชินกับสิ่งที่เราทำซ้ำๆ เดิมๆ มันก็อาจทำให้เรารู้สึกว่ายังไงก็ได้และไม่สนุกแล้ว เราเลยพยายามจะตื่นเต้นกับสิ่งที่ทำให้ได้ตลอด เราจะได้มีพลัง เหมือนวัน debut ที่เราจะมีพลังบางอย่างไม่เหมือนกับคนที่เคยชินไปกับเวทีแล้ว
อย่างเวลาร้องเพลงนี้ยังตื่นเต้นกับมันแค่ไหน
แรกๆ ที่ยังไม่ชินปากก็จะสั่น ระดับเนยนี่แหละที่สั่นเป็นประจำ เพราะเราเป็นชอบเต้นมาก แต่เพลงนี้ท่าเต้นไม่เยอะมาก แล้วคนจะโฟกัสที่หน้าเราแทน เลยเขินมากกว่าทุกเพลงที่เคยร้องมา
ถึงวันนี้ยังสั่นหรือกลัวอะไรอยู่บ้าง
รู้สึกว่าตัวเองผ่านอะไรมาเยอะเหมือนกัน อาจจะไม่ได้กลัวน้อยลง แต่รับมือกับความรู้สึกตัวเองได้มากขึ้น ถ้าเป็นเรื่องเร็วๆ นี้คงจะเป็นการเลือกตั้ง BNK48 อาจจะมีกังวลกับตื่นเต้นอยู่บ้าง
ตัดสินใจแล้วรึยังที่จะลงสมัคร
ยังไม่รู้เลย ดูก่อน ยังไม่ได้ไปขอใบสมัครเลย (หัวเราะ) ก็อยากลงแต่รู้สึกว่ามันเป็นงานที่ต้องเสียเงินเยอะมากเลย ก็เกรงใจแฟนคลับระดับนึงด้วย แต่อีกใจนึงก็อยากลง เพราะเป็นงานที่จัดขึ้นมาครั้งแรก และเราอาจไม่มีโอกาสสัมผัสการเลือกตั้งอีกในอนาคตก็ได้ เพราะเราไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีเลือกตั้งอีกเมื่อไหร่ เราอาจจะจบการศึกษาจากวงนี้ไปแล้วก็ได้ ก็อยากจะลองดู แต่ยังเถียงกับตัวเองอยู่นะ
ถ้าลงจริงๆ อยากได้ที่เท่าไหร่ในการเลือกตั้งครั้งนี้
ทุกคนที่ลงเลือกตั้งก็คงอยากได้ที่หนึ่ง เราต้องตั้งจุดสูงสุดเอาไว้ เอาจริงๆ เราก็อยากได้ที่หนึ่งอยู่แล้ว แต่เราไม่ได้กดดันว่า ถ้าไม่ได้ที่หนึ่งจะต้องเสียใจอะไรขนาดนั้น ก็แล้วแต่แฟนคลับเขาจะให้อันดับเรา เพราะเขาเป็นคนเลือกเอง
เนยจะคิดสโลแกนหาเสียงแบบไหนให้กับตัวเอง
ยังคิดไม่ออกเลย ยากอะ (หัวเราะ) เห็นแต่เขาต้องทำโปสเตอร์ ถ้ามีโปสเตอร์นะ อยากทำเป็นแบบว่า เป็นรูปตัวเราใส่ชุดในวันที่มาออดิชั่น แล้วก็ยืนหันข้าง ส่วนอีกข้างนึงเป็น ตัวเราใส่ชุดที่อยู่ใน BNK48 แล้ว เป็นเนยสองคนที่หันหลังชนกัน เพื่อสื่อว่าจากเด็กในวันนั้น เราได้ก้าวเข้ามาสู่จุดนี้แล้วนะ หรือในอีกมุมหนึ่ง อาจจะเป็นว่า เราก็มีทั้งด้านที่เป็นเด็กธรรมดา กับด้านที่ทำงานอยู่ตรงนี้ คอนเซ็ปต์นี้คิดเองเลยนะ คิดได้ในห้องน้ำ ถ้าลงเลือกตั้งจะเอาคอนเซ็ปต์นี้ไปทำต่อ
แล้วมองตัวเองว่าเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน จากวันแรกที่เข้ามา จนถึงวันที่ได้เป็นเซ็นเตอร์อีกครั้ง
เราไม่เคยคิดว่าเซ็นเตอร์เป็นจุดที่สูงที่สุด เพราะถ้ามันสูงที่สุด พอเราได้มาอยู่ตรงนี้เราก็จะหยุดพัฒนาตัวเองไปเลย เราเลยรู้สึกว่ามันยังไม่ใช่จุดที่พาเราไปได้มากที่สุด มันเป็นจุดนึงที่เรามีโอกาสได้ยืนตรงนี้ที่เราภูมิใจ
สำหรับเราแล้วจุดที่สูงที่สุดไม่ใช่เซ็นเตอร์ เพราะเซ็นเตอร์มันเป็นตำแหน่ง แต่จุดที่สูงที่สุดมันมีได้หลายแบบ เช่น ถ้าเราได้ก้าวขึ้นไปถึงจุดที่เราเคยขี้อาย กลายเป็นคนที่กล้าหาญมากขึ้น พูดฉะฉานมากขึ้น กล้าแสดงออกมากขึ้น ตรงนั้นแหละคือจุดที่สูงสุด ที่เราพัฒนาจากเด็กขี้อายซึ่งไม่กล้าเต้นต่อหน้าคนด้วยซ้ำ มาเป็นคนที่เก่งมากขึ้น เราอาจจะมั่นใจแค่เต้น แต่ตอนนี้เรามั่นใจในการออกสื่อ ออกรายการวาไรตี้ นั่นคือจุดสูงสุดสำหรับเราแล้วล่ะ
สิ่งที่เปลี่ยนไปมากที่สุด รู้สึกว่าเราโตขึ้น ตอนเรียนเราไม่ชอบไปไหนคนเดียวเลยนะ รู้สึกว่าการอยู่คนเดียวมันเหงา ไม่ชอบเลย แต่พอเข้ามาอยู่ตรงนี้ เรารู้สึกว่าสามารถทำอะไรด้วยตัวคนเดียวได้ รู้สึกว่าโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น อย่างวันนี้มาสัมภาษณ์คนเดียวก็ทำได้สบายๆ เลยคิดว่าตัวเองโตขึ้นเยอะ
อยากเห็นตัวเองในอนาคตในรูปแบบไหน
อยากเป็นรุ่นพี่ที่เป็นที่พึ่งได้ อยากเก่งในหลายๆ ด้าน
เราอยากมั่นใจมากขึ้นในเรื่องการร้องและการเต้น อยากเป็นคนที่คนอื่นไว้วางใจได้