เมื่อกล่าวถึง ‘ย่านคลองสาน’ บน ‘ถนนเจริญนคร’ ในสายตาของผู้สัญจรผ่านไปมาอาจไม่มีสถานที่หรือว่าจุดดึงดูดใจมากเท่าที่ควร
แต่หากศึกษาย้อนประวัติศาสตร์ไปแล้วจะพบว่า พื้นที่นี้มีความสำคัญในด้านการค้าขายทางน้ำอย่างมากด้วยทำเลที่ใกล้ปากแม่น้ำ จนในยุคหนึ่งถือเป็นย่านธุรกิจ เป็นจุดจอดสินค้าเพื่อตรวจสอบและจัดเก็บภาษีจากเรือสำเภาลำเลียงสินค้า รวมถึงเป็นที่ตั้งโกดังสินค้าก่อนจะส่งออกไปยังต่างประเทศ
ทว่าทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา รูปแบบของการค้าขายที่ปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย การสร้างถนนและสะพานขยับขยายวิธีการคมนาคมและการขนส่ง คลองสานและเจริญนครก็กลายเป็นเพียงแหล่งที่อยู่อาศัยที่เงียบสงบไปในที่สุด
กระทั่งโครงการการก่อสร้างห้างสรรพสินค้า ICONSIAM บนถนนเจริญนครปรากฎต่อสายตาสาธารณชนในช่วงปี พ.ศ.2557 ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี พ.ศ.2561
ท่ามกลางเสียงตอบรับที่หลากหลายในการก่อสร้างอาคารขนาดมหึมาติดกับถนน 4 เลนไป-กลับ รวมถึงโครงการการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีทอง ที่มีทั้งฟากที่สนับสนุนว่านี่คือการนำความเจริญเข้ามาสู่พื้นที่ และฟากที่มองว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้คนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น

รถไฟฟ้าสายสีทอง สถานีเจริญนคร
จากพื้นที่แสนเงียบเหงา ในวันที่มีแนวโน้มจะเปลี่ยนเป็นพื้นที่ความเจริญแห่งใหม่ ผ่านการที่เอกชนเข้ามาเปลี่ยนแปลงที่ที่เคยเงียบสงบให้กลายเป็นที่ตั้งของศูนย์การค้าขนาดยักษ์พร้อมกับการมาถึงของรถไฟฟ้า กำลังทำให้ถนนเส้นเจริญนครก้าวสู่นครที่เจริญหรือไม่?
คงไม่มีใครตอบได้ดีเท่าผู้อยู่อาศัยและใช้ชีวิตจริงในพื้นที่

บิว (สงวนชื่อจริง) ทายาทรุ่นที่สามของร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้างที่ตั้งอยู่บนถนนเจริญนคร
บิว (สงวนชื่อจริง) ทายาทรุ่นที่สามของร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้างที่ตั้งอยู่บนถนนเจริญนคร ผู้อาศัยอยู่บนถนนเส้นนี้ตั้งแต่เกิดให้ความเห็นว่า การเข้ามาของ ICONSIAM และรถไฟฟ้าสายสีทองเป็นการนำความเจริญเข้ามาสู่พื้นที่ฝั่งธนบุรีในระดับหนึ่ง จากพื้นที่ที่ไม่มีอะไรมากก็มีธุรกิจหลากหลายเปิดให้บริการมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านกาแฟ โฮสเทล และความสะดวกในการใช้บริการห้างสรรพสินค้าที่ไม่ต้องเดินทางข้ามไปฝั่งพระนคร อย่างเช่นห้างสรรพสินค้าสยามพารากอนอีกแล้ว
“อย่างเรื่องรถไฟฟ้าสายสีทอง มันก็เปรียบเหมือนเป็นมังกรทองเลยก็ว่าได้ ที่นำพาคนทุกทิศมาฝั่งธน เพราะว่าฝั่งธนฯก็จะพัฒนาขึ้น จากเป็นแค่ริมแม่น้ำธรรมดา โกดังบ้านเรือนธรรมดา แต่ทุกวันนี้ก็คือมีค่า แหล่งธุรกิจพัฒนา ทางน้ำทางเรือพัฒนา”
อีกทั้งอำนวยความสะดวกให้กับการเดินทาง สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี
“จากเมื่อก่อนผมต้องนั่งแท็กซี่ไปต่อรถไฟฟ้าบีทีเอส ที่สถานีกรุงธนบุรี ต้องเสีย 35 บาท ผมขึ้นตรงนี้ 15 บาท จบ รถไฟฟ้าที่เข้ามาก็มีส่วนดี แล้วแต่คนชอบ จะบอกว่านั่งวิน นั่งวินก็ยี่สิบ ไปรถไฟฟ้ากรุงธนฯ ไม่อย่างนั้นก่อนที่รถไฟฟ้ามา ผมก็ต้องเปลี่ยนไปนั่งเรือที่ใต้สะพานสาธร 5 บาท เพื่อไปขึ้นสะพานตากสิน อันนี้ผมก็ต้องยอมรับว่ามันเอื้อกับฝั่งคนเจริญนครจริงๆ”
หากถามว่าในเวลานี้ถนนเส้นนี้กำลังพัฒนาไปสู่ความเจริญอย่างเต็มรูปแบบแล้วหรือไม่ บิวยังไม่เห็นด้วย เนื่องจากปัญหาเรื่องถนนที่ยังคงมีการปรับแก้เรื่องท่อประปาและโครงการนำสายไฟลงดินอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้พื้นถนนบริเวณนั้นทรุดโทรมเป็นหลุมขรุขระ สร้างความลำบากในการเดินทางเป็นอย่างมาก ในเมื่อองค์ประกอบโดยรวมยังไม่ดี แล้วจะเรียกว่า ‘พื้นที่เจริญแล้ว’ คงยังไม่ได้

สภาพถนนเจริญนครบริเวณคลองสานที่ถูกเบียดบังด้วยการก่อสร้าง
สำหรับเรื่องของถนนที่ทรุดโทรมอยู่ทุกวันนี้ บิวให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าเป็นผลจากการทำงานของการประปานครหลวง (กปน.)
“เพิ่งมาเละ ประปาเพิ่งมาเข้าช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนปีก่อน แล้วก็แย่ หนักเลย ทุกวันนี้ น้ำไม่เคยแห้งเลย ฝุ่นขึ้นไปหมด คือท่อประปาแตกตลอด ปั๊มที่บ้านพัง 2-3 รอบ น้ำเป็นขี้โคลนเลย ขี้โคลนจริงๆ ต้องมีตัวกรอง”
นอกจากเรื่องของฝุ่นและน้ำประปาแล้ว ยังรวมถึง ‘มลภาวะทางเสียง’ ที่เกิดจากการทำงานยามวิกาล บิวเล่าว่า เขาเคยสอบถามถึงเหตุผลของการทำงานช่วงกลางคืนที่รบกวนเวลาการพักผ่อนของคนทั้งบ้านหลายครั้ง และเป็นเหตุให้อากงที่มีโรคประจำตัวอย่างโรคหัวใจ อาการทรุดลงกว่าเดิม
“ทางการประปาให้คำตอบว่าห้างสรรพสินค้าต้องการเคลียร์คนเข้าใช้บริการออกจากห้างก่อนจึงจะเริ่มทำงานได้ เป็นผลให้ต้องเริ่มงานในช่วงกลางคืน แต่พอไปสอบถามกับทาง ICONSIAM ทางเจ้าหน้าที่ก็ให้คำตอบมาในเชิงปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น”
บิวเคยร้องเรียนไปยังสำนักงานเขตคลองสานและกรุงเทพมหานคร แต่ปัญหาก็ยังไม่ถูกแก้ไข
เมื่อผู้เขียนสอบถามไปทางกองบริการงานข่าว ฝ่ายสื่อสารองค์กรของ กปน. ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการรื้อย้ายและวางท่อประปาใหม่ว่า “การก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีทองส่งผลให้ กฟน. ต้องก่อสร้างบ่อพักและท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งมีท่อประปาเดิมเป็นอุปสรรคในการก่อสร้าง ทำให้ กปน. จำเป็นต้องรื้อย้ายท่อประปาดังกล่าว และเมื่อมีการรื้อย้ายท่อประปาเดิม กปน. ได้วางท่อประปาใหม่ซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้น (จากท่อประปาขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 500 มิลลิเมตร เป็น 1,000 มิลลิเมตร) เพื่อเพิ่มเสถียรภาพในการให้บริการน้ำประปา”
และที่ต้องดำเนินการในช่วงกลางคืนเพราะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการก่อสร้างของเจ้าของพื้นที่อย่าง สำนักการโยธา กทม. ซึ่งให้ดำเนินการเฉพาะเวลากลางคืน เพื่อลดความเดือดร้อนจากการเบี่ยงการจราจรในเวลากลางวัน

การก่อสร้างในยามเย็นบนถนนเจริญนคร ในเขตคลองสาน
ในขณะที่บางส่วนในการก่อสร้างบนถนนเจริญนคร คนงานในพื้นที่ซึ่งสวมชุดของบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ตอบเพียงว่าเป็นการวางระบบสายไฟฟ้าใหม่เพื่อสนับสนุนการใช้งานรถไฟฟ้าสายสีทองร่วมกับ กปน. และจะมีการเร่งงานทั้งกลางวันและกลางคืน หมุนเวียนกะทำงาน
ซึ่งเมื่อตรวจสอบโครงการดังกล่าวจากรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA โครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดรอง สายสีทอง (สถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี-สำนักงานเขตคลองสาน-ประชาธิปก) ในปี พ.ศ.2559 พบว่ามีรายละเอียดอธิบายถึงระบบประปาและไฟฟ้าระบุไว้ในหน้า 65 ใจความว่า ในการรื้อย้ายสาธารณูปโภคจะกำหนดให้วางแผน ‘ดำเนินการอย่างรัดกุม’ และ ‘ใช้เวลาเท่าที่จำเป็น’ เพื่อให้เกิด ‘ผลกระทบให้น้อยที่สุด’ ต่อการใช้ประโยชน์ของประชาชน
เอกสารฉบับดังกล่าวยังระบุถึงมาตรการแก้ไข ป้องกัน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมว่า “ทางโครงการต้องประสานให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ความรู้และประชาสัมพันธ์ให้ชุมชนรับทราบถึงขั้นตอนการดำเนินการเพื่อลดความวิตกกังวลดังกล่าว”
ในขณะที่รายงานการดำเนินการตาม EIA รอบเดือนกรกฎาคม – ธันวาคม พ.ศ. 2563 ซึ่งเป็นฉบับล่าสุด ได้ระบุถึงกิจกรรมที่ก่อให้เกิดเสียงดัง เช่น การเจาะ การตอกเสาเข็ม การขุดผิวดิน การกระแทก ฯลฯ ว่าจะดําเนินการในช่วงเวลากลางวัน (เวลา 07.00- 18.00 น.) เท่านั้น
โครงสร้างที่มาแบบล้นเกิน
ประชาชนในพื้นที่อีกราย ลภนปัฐน์ กิจพรยงพันธ์ ให้ความเห็นว่า การเข้ามาของรถไฟฟ้าสายสีทอง ซึ่งปัจจุบันมีเพียง 3 สถานี (และในอนาคตอีก 1 สถานี) อาจจะไม่ได้ทำให้การเดินทางเปลี่ยนแปลงหรือว่าสะดวกกว่าเดิมเท่าไหร่ เพราะสำหรับคนที่ใช้บริการขนส่งสาธารณะเป็นประจำอยู่แล้วจะรู้ว่า ตรงนี้เป็นจุดที่สามารถข้ามท่าเรือคลองสานไปยังเส้นอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิได้ หรือว่าจะโดยสารรถประจำทางไปสายใต้ (เก่า) ก็ได้เช่นกัน
“ไม่ได้แปลว่ารถไฟฟ้าสายสีทองมาแล้วมันทำให้คนเดินทางกันง่ายขึ้น ถามว่าได้ประโยชน์จากการมีสีทองไหม ก็คงไม่เท่าไหร่ อย่างตอนที่ขึ้นไป คนก็ไม่ได้เยอะ ไม่ถึง 20 คน แต่โอเคว่าตอนที่ไปมันอาจจะเป็นกลางวัน”

ลภนปัฐน์ กิจพรยงพันธ์ ผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ย่านคลองสาน
แล้วการเปิดบริการของห้างสรรพสินค้าเป็นการพาความเจริญเข้ามาสู่พื้นที่คลองสานและเจริญนครหรือไม่? ลภนปัฐน์ให้ความเห็นที่แตกต่างออกไป
“ผมมองว่ามันไม่ได้มีผลอะไร เพราะว่าถ้ามองในแง่หนึ่ง การมีห้างขึ้นมามันหมายความว่าคนจะมาเยอะ แต่คนที่มาเยอะ ส่วนใหญ่เขามาที่ห้าง ลองคิดดูว่า เราขับรถมา เราจะมาจอดแวะตามจุดต่างๆ ได้ไหม มันก็ยากใช่ไหม การที่คนจะมาข้างๆ น่าจะเป็นแบบ เป็นพวก walk-in มากกว่า เป็นพวกเดินถนน มันไม่ใช่จุดที่ทุกคนเดินสัญจรได้แบบย่านสีลม ที่มีตึกนู้นตึกนี้เยอะ ซอยเยอะ คนมันก็เดินเยอะ ทะลุเยอะ”

ตึกแถวเก่าที่ถูกปล่อยเช่า ตั้งตระหง่านเคียงคู่กับห้างสรรพสินค้า ICONSIAM
แม้ผู้อยู่อาศัยในละแวกใกล้เคียงกับห้างสรรพสินค้าและรถไฟฟ้าอาจมีมุมมองต่อความเจริญและความสะดวกของระบบขนส่งใหม่ที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่หลายคนเห็นตรงกัน คือปัญหาเรื่องของการจราจรที่หนาแน่นมากขึ้น จากการปิดเลนถนนเพื่อก่อสร้างที่ไม่มีความแน่นอน คือวันนี้อาจจะปิดเลนซ้ายสุด อีกสัปดาห์เปลี่ยนไปปิดเลนขวา
ต้องมาลุ้นกันวันต่อวันว่า วันนี้เส้นการเดินรถบนท้องถนนจะเป็นอย่างไร
แล้วเพราะอะไร ปัญหาทั้งเรื่องฝุ่นและการจราจรจึงไม่ได้รับการแก้ไขที่ทันท่วงที? ลภนปัฐน์มองเกี่ยวว่าเป็นปัญหาเรื่องระบบการทำงานของภาครัฐที่รวมศูนย์และไม่กระจายอำนาจอย่างเพียงพอ
“ถ้ามองอย่างละเอียดต้องบอกว่าเขากระจายอำนาจส่วนย่อยไม่มากพอ การที่ทุกอย่างมันล่าช้าเกิดจากการที่ส่วนย่อยไม่มีโอกาสตัดสินใจ ไม่มีอำนาจตัดสินใจในการทำอะไรลงไปเลยทันที ก็ต้องรอไปรอมา”
รถไฟฟ้า ร้านค้า ค่าเช่าที่
นอกจากความสะดวกสบายในการเดินทางที่มากขึ้นเมื่อรถไฟฟ้าเปิดให้บริการ ผู้ประกอบกิจการอย่าง ดิฐ แจ้งศิริเจริญ เจ้าของร้าน Walden Home Café ที่เปิดบริการอยู่ไม่ไกลจากสถานีคลองสานของรถไฟฟ้าสายสีทอง ก็ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจต่อการมาถึงของห้างสรรพสินค้าและรถไฟฟ้า
ดิฐเล่าว่า 2 สิ่งนั้นไม่ใด้เป็นประเด็นสำคัญตอนเริ่มต้นทำร้านกาแฟแห่งนี้ แต่เป็นเรื่องของ ‘อัตราค่าเช่าสถานที่’ ที่ถูกเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่น บวกกับความร่มรื่นของพื้นที่โดยรอบ
ก่อนที่เขาจะเริ่มย้อนเล่าถึงความลำบากที่เกิดขึ้นระหว่างการก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าที่ห่างจากตัวร้านไปประมาณ 100 เมตรว่า ส่งผลกระทบในเรื่องของการตั้งหรือพักวางอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของนั่งร้านหรือกำแพงคอนกรีต

ดิฐ แจ้งศิริเจริญ เจ้าของร้าน Walden Home Café
“รถไฟฟ้ามันสร้างอยู่ตรงนี้ใช่ไหม ตรงนี้มันถูกกั้นเหลือแค่ 2 เลน แล้วก็มีคอนกรีตยาว สรุปคือที่บอกว่าจอดรถได้ มันจอดไม่ได้แล้ว ที่บอกว่าเขียวๆ มันไม่เขียวแล้ว ต้นไม้หายหมด แล้วก็รถเครน รถก่อสร้าง ปิดถนน 2 เลนเลย รถติด กระทบ ไม่มีใครมา ฝุ่น โห เยอะฮะ ก็คือลำบากเลย ส่งผลต่อยอดขายมาก”
สำหรับการเปิดใช้รถไฟฟ้าสายสีทองช่วงปลายปี พ.ศ.2563 ช่วยให้ลูกค้าเข้ามาที่ร้านมากขึ้นหรือเปล่า? ดิฐกล่าวว่า เท่าที่ได้พูดคุยกับลูกค้า ส่วนใหญ่ก็จะเป็นลูกค้าประจำที่ขับรถส่วนตัวมามากกว่า หรือว่าจะใช้ขนส่งมวลชนชนิดอื่นเช่นมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ส่วนของคนใช้บริการที่เดินทางด้วยรถไฟฟ้าสายสีทองมักจะเป็นลูกค้าหน้าใหม่ที่มาเพียงครั้งเดียวในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือว่าลูกค้าวัยรุ่นที่ยังไม่มีรถยนต์ส่วนตัว
อีกผลกระทบของการที่มีห้างสรรพสินค้าขนาดยักษ์และรถไฟฟ้าเข้ามาในพื้นที่ ก็คือมูลค่าของที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อ ‘ค่าเช่าที่’ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จนทำให้ผู้เช่าบางรายอยู่ไม่ได้ ต้องออกจากพื้นที่ไปโดยปริยาย

ร้านอาหารแผงลอยตั้งเคียงคู่กับคาเฟ่ทันสมัย กลายเป็นสิ่งที่สามารถพบเจอได้ตามถนนเจริญนคร
“นี่เขาก็ขึ้นทีละนิดๆ อย่างบ้านข้างๆ เป็นอาม่า เขาก็อยู่ไม่ได้ คือการขึ้นจากเดือนละ 10,000 บาท เป็น 13,000 บาท สำหรับป้าเขาเนี่ย เขารู้สึกว่าไม่เอาแล้ว แต่สำหรับคนนอกแล้วเขาก็ยังมองว่าถูก มีแต่คนมาถาม เพราะว่าป้ากำลังจะเซ้ง แล้วก็ร้านกรอบรูป ร้านอาหารเจก็จะไปเหมือนกัน อยู่ไม่ได้ คือการมาของรถไฟฟ้าทำให้บางธุรกิจไป แต่บางธุรกิจก็มา” ดิฐเล่าให้ฟังถึงความเปลี่ยนแปลงรอบๆ
เมื่อตรวจสอบราคาประเมินที่ดินในละแวกคลองสานจากทางเว็บไซต์กรมธนารักษ์ พบว่าในรอบสิบปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลง ‘เกือบเท่าตัว’ จากราคาประเมินที่ดินปี พ.ศ. 2551-2554 อยู่ที่ 85,000-130,000 บาท/ตร.ว. ในปี พ.ศ. 2555-2558 ขยับขึ้นมาเป็น 100,000-165,000 บาท/ตร.ว. และในรอบราคาประเมินล่าสุดปี พ.ศ. 2559-2562 อยู่ที่ 135,000-250,000 บาท/ตร.ว.
ผู้แทนที่เป็นทุกอย่าง
เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.กรุงเทพฯ เขต 22 (เขตบางกอกใหญ่ คลองสาน และธนบุรี ยกเว้นแขวงดาวคะนอง บุคคโล และสำเหร่) ในฐานะของผู้แทนของประชาชนในพื้นที่ และเป็น ‘คนกลาง’ ในการไกล่เกลี่ยระหว่างเอกชนที่มาลงทุน ผู้รับเหมาก่อสร้าง กับผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ ให้ข้อมูลเบื้องต้นในเรื่องของการร้องเรียนจากภาคประชาชนเกี่ยวกับการก่อสร้างว่า เป็นเรื่องของฝุ่น เสียงดัง การก่อสร้างในเวลากลางคืน เป็นต้น
หลังจากการลงไปพูดคุยกับชาวบ้าน รวมถึงประสานงานกับทางบริษัทก่อสร้างตลอดเวลาที่เข้ารับตำแหน่ง หนึ่งในปัญหาที่ ส.ส.รายนี้พบ คือต่อให้พยายามทุกวิธีเพื่อบรรเทาความเสียหาย แต่การเยียวยาก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที เช่น เมื่อได้รับแจ้งจากทางตึกที่กำลังก่อสร้างว่าจะมีเสียงดังหรือว่ามีการขุดเจาะขนาดใหญ่ การแก้ไขที่อยู่ตรงกลางที่สุดคือการที่ ส.ส. ไปยื่นข้อเสนอให้ประชาชนในชุมชนนั้นย้ายไปพักอาศัยอยู่คอนโดหรือโรงแรมเป็นการชั่วคราวจนผู้อาศัยยินยอมแล้ว แต่กว่าผู้มีอำนาจตัดสินใจในบริษัทที่มาลงทุนจะพิจารณาเพื่ออนุมัติการเยียวยา การก่อสร้างในส่วนนั้นก็เสร็จเรียบร้อย
“มันก็เป็นความรับผิดชอบของโครงการว่า การใช้ระยะเวลาเยียวยาที่นานเกินไป จะทำให้ประชาชนลำบากเกินควร มันไม่มี accountability”

เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.กรุงเทพฯ เขต 22 ซึ่งรับผิดชอบแก้ปัญหาความเดือดร้อนประชาชนในพื้นที่คลองสาน
อีกส่วนที่ทำให้เกิดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง คือความไม่ครอบคลุมของการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA ที่ในปัจจุบัน เป็นเรื่องของการเขียนรายงานก่อนการก่อสร้างว่า ในการก่อสร้างนั้นจะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร มีมาตรการเพื่อป้องกันและแก้ไขผลกระทบเหล่านั้นอย่างไรบ้าง เมื่อมีรายละเอียดครบเงื่อนไขตามที่กำหนดก็สามารถอนุมัติและเริ่มก่อสร้างได้ ซึ่งหากเจ้าของโครงการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด ‘ภาระ’ จะไปตกที่ผู้ได้รับผลกระทบที่ต้องไปเดินเรื่องร้องเรียนกับผู้เกี่ยวข้องต่อไป
รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่า แม้จะมีการเปิดเข้ารับฟังเกี่ยวกับมาตรฐานในการประเมินผลกระทบ ผู้อยู่อาศัยในละแวกนั้นที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการประเมิน EIA ก็อาจจะคิดว่าไม่มีผลกระทบอะไร แล้วต้องเผชิญกับเรื่องเดือดร้อนเมื่อมีการเริ่มก่อสร้างไปแล้ว อย่างเช่นตัวบ้านมีรอยร้าวเป็นต้น
ส.ส.กรุงเทพฯ รายนี้ ยังตั้งข้อสังเกตถึงความไม่ชอบธรรมในเชิงการเมืองของการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีทองที่อนุมัติใต้รัฐบาล คสช. ซึ่งมาจากการรัฐประหาร การไม่มีสภาผู้แทนราษฎร ความไม่เป็นประชาธิปไตย และความไม่โปร่งใสของรัฐบาลนั้นนำไปสู่สภาวะที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ ในระบบการเมืองที่ผู้มีอำนาจไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ความสนใจในภาคประชาชนจึงเป็นเรื่องรอง เช่นปัญหาที่เจอในขณะนี้คือการตามหาเอกสารที่ใช้ประกอบการอนุมัติโครงการการก่อสร้างที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก ทั้งที่โครงการขนาดใหญ่เช่นนี้ควรจะต้องผ่านการพิจารณาอย่างรอบด้านและถี่ถ้วน รวมถึงมีการแสดงเอกสารประกอบการก่อสร้างจำนวนมาก
รถไฟฟ้ากับการพัฒนา (เฉพาะ) พื้นที่
แล้วการมาถึงของห้างสรรพสินค้าและรถไฟฟ้าที่นำพาธุรกิจหน้าใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ในมุมมองของ บารมี ชัยรัตน์ ผู้ประสานงานสมัชชาคนจนเป็นอย่างไร
เขาให้ความเห็นในประเด็นนี้ว่า “การก่อสร้างห้างสรรพสินค้าอาจจะไม่ใช่คำตอบของความเจริญ” สืบเนื่องมาตั้งแต่หลักเรื่องการพัฒนาที่ควรจะผ่านการวางแผนการผังเมืองมาตั้งแต่แรก มีการกำหนดเอาไว้ให้ชัดเจนว่าจุดไหนที่โซนอยู่อาศัย แล้วจุดไหนสำหรับการตั้งห้างสรรพสินค้า ไม่ใช่การสร้างในลักษณะที่ไร้การควบคุมอย่างเช่นที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
รวมทั้งการพัฒนาย่อมมาพร้อมกับการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อรองรับปริมาณของประชาชนที่จะเข้ามา ไม่ว่าจะในระยะสั้นหรือระยะยาว อีกหนึ่งประเด็นที่บารมีชี้คือการพัฒนาพื้นที่ที่ไม่ได้อยู่ใต้การวางโครงเรื่องแผนผังเมืองมาตั้งแต่แรกย่อมเจอกับปัญหาเรื่องการขยับขยายเรื่องสาธารณูปโภค เช่น การให้บริการการประปา ที่ต้องมีการขยายท่อประปาเพื่อรองรับการใช้งานที่มากขึ้นหลังการก่อสร้างตึกขนาดใหญ่เสร็จสิ้นและเปิดการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้าหรือว่าคอนโดมิเนียมก็ตาม
“คุณอาจจะมองเห็นทางกายภาพว่ารถติด แต่จริงๆ เนี่ย มันแย่งการใช้น้ำ เพราะคอนโดสูงมันก็ดูดขึ้นไปหมด ห้างใหญ่มันก็ดูดขึ้นไปหมด มันไม่พอ แล้วก็ต้องมาขยาย ขยายก็ต้องมาขุดถนนอีก อะไรกันอีก ไม่รู้จักจบจักสิ้น”

คอนโดมีเนียมตั้งตระหง่านคู่กับคอมมูนิวตี้มอลล์ในพื้นที่คลองสาน เป็นสิ่งที่สามารถพบเจอได้ทั่วไป โดยจากการสำรวจพบว่ามีคอมมูนิตี้มอลล์อย่างต่ำ 3 แห่งบนถนนเจริญนคร ในเขตพื้นที่คลองสาน
ส่วนการก่อสร้างรถไฟฟ้า บารมีมองว่าการขนส่งสาธารณะเป็นเรื่องที่จำเป็นแน่นอนอยู่แล้ว เพราะหนึ่งในการพัฒนาเมืองเมืองย่อมมีประเด็นเรื่องการบริการด้านคมนาคมเพื่อให้ประชาชนมีความสะดวกในการเดินทาง เมื่อการคมนาคมดี ก็ย่อมดึงดูดให้ประชาชนเข้าไปอยู่อาศัยในละแวกนั้น
อย่างไรก็ตาม คำถามถึงลำดับความสำคัญและความจำเป็นในการก่อสร้างรถไฟฟ้าบนถนนเส้นเจริญนครยังเป็นเรื่องที่น่าสงสัย เมื่อเปรียบเทียบกับถนนเส้นพระรามสองที่มีผู้ใช้บริการบนท้องถนนหนาแน่น แต่แผนพัฒนาโครงการเรื่องรถไฟฟ้ายังไม่ขยับมากเท่าที่ควร รวมถึงคำถามเกี่ยวกับความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องเปิดใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีทอง ทั้งที่ยังสร้างสถานีไม่ครบโครงการ

บารมี ชัยรัตน์ ผู้ประสานงานสมัชชาคนจน
อีกทั้งเรื่องของการออกแบบที่ผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีทองสามารถเดินลงมาแล้วเจอจุดเชื่อมต่อเข้าสู่ห้างสรรพสินค้าได้โดยตรง จะกลายเป็นสร้างความเจริญให้กระจุกอยู่เพียงจุดเดียว เพราะไม่เปิดโอกาสให้พื้นที่โดยรอบได้อานิสงส์ ไม่มีใครที่จะแวะลงมายังพื้นที่รอบข้างที่จะเป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชน
“การพัฒนามันต้องทำให้คนแถวนี้ได้ประโยชน์ ถามว่ามี ICONSIAM เนี่ย ร้านข้างๆ มีคนมาแวะเพิ่มเที่ยวกันมากขึ้นไหม ไม่มี เพราะอะไร มันจอดรถไม่ได้ ใช่ไหม มีรถไฟฟ้า ถึงจะมีรถไฟฟ้ามาช่วยเนี่ย มันทำทางที่ลงปุ๊บ เข้าห้างปั๊บ มันไม่ใช่ทางตรงเข้ามาร้านก๋วยเตี๋ยวข้างล่างที่ไหนเล่า”
ใครหายไปจากสมการ?
ไม่ว่าพื้นที่ใดย่อมต้องการการพัฒนา จากความคาดหวังว่าการเปิดให้บริการของห้างสรรพสินค้าและรถไฟฟ้าจะช่วยพัฒนาพื้นที่ที่เคยเป็นเพียงแหล่งพักอาศัยให้เจริญรุ่งเรืองมากขึ้น กลายเป็นว่าถึงแม้ว่าห้างสรรพสินค้าจะเปิดตัวมาได้ 2 ปีเศษ รถไฟฟ้าสายสีทองจะเปิดใช้มาในระยะเกือบครึ่งปีแล้ว
การเปลี่ยนผ่านให้ย่าน ‘เจริญนคร’ กลายเป็น ‘นครที่เจริญ’ ก็ยังไม่เห็นแม้แต่วี่แวว
ในทางกลับกัน อย่างที่ร่ายมาตั้งแต่ต้นบทความว่า ประชาชนในพื้นที่ก็ต้องเผชิญกับปัญหาการจราจร ฝุ่น เสียงดังจากการก่อสร้างในยามวิกาล
แล้วประชาชนอยู่ตรงไหนในสมการเพื่อสร้างความเจริญนี้? รัฐที่ควรจะมีบทบาทพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนทำอะไรอยู่?
“รัฐคือตัวปัญหาในการสร้างความเจริญ รัฐมันคือรัฐที่รวมศูนย์อำนาจ ถูกไหม พอคุณรวมศูนย์อำนาจแล้วการจัดการทุกอย่างโดยรัฐ รัฐมองเห็นแทนคนอื่นหมด ซึ่งรัฐก็ไม่เห็นหัวคนอื่น ไม่เห็นหัวคนยากคนจน” คือความเห็นของผู้ประสานงานสมัชชาคนจน

บ้านเก่าตั้งอยู่ในตรอกโรงรัง ซอยขนาดรถมอเตอร์ไซค์วิ่งสวน ซึ่งอยู่ติดกับโรงแรมแห่งหนึ่งในย่านคลองสาน
กล่าวคือนอกจากรัฐจะยึดอำนาจเอาไว้ในมือ บริหารงานและตัดสินใจแทนประชาชนตามใจชอบ ไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างแข็งขัน รวมถึงตัวกฎหมายเองเหมือนว่าจะไม่ได้รับใช้ประชาชน จนคล้ายว่ารัฐกลายเป็น ‘ตัวปัญหา’ ในทุกขั้นตอน อีกส่วนที่เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่หายไปการปฏิบัติการสร้างความเจริญในพื้นที่อย่างชัดเจนคือการที่รัฐจัดการทุกอย่างแทน ‘โดยไม่ฟังเสียงของประชาชน’
ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจความคิดเห็นก่อนการก่อสร้าง การเร่งรัดเพื่อบรรเทาเรื่องร้องเรียนระหว่างการก่อสร้าง หรือว่าการแก้ไขปัญหาตามมาภายหลังเพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายมากที่สุด ราวกับรัฐกำลังทิ้งให้ประชาชนต้องเผชิญปัญหาและต้องตามล่าวิธีการแก้ไขอยู่ตามลำพัง
เช่นนั้นรัฐควรทำอย่างไรเพื่อให้การพัฒนานั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนทุกคนอย่างแท้จริง?
บารมีให้ความเห็นว่า วิธีการพัฒนาเมืองในแต่ละพื้นที่ย่อมมีความแตกต่างกันไป หากสิ่งหนึ่งที่ควรมีร่วมกันคือการ ‘กระจายอำนาจ’ ไปยังผู้บริหารในระดับท้องถิ่น ประกอบกับการ ‘มีส่วนร่วม’ ของคนในชุมชน
“กลับไปเรื่องกระจายอำนาจอีกแหละ คือถ้าเกิดเทศบาลหรือว่าองค์กรส่วนท้องถิ่น มันรู้สึกว่า เอ้ย มันต้องจำกัดตึกสูงเท่านั้น จัดการขยะได้ว่าในพื้นที่นี้ไม่ควรจะมีขยะขนาดนี้ ไม่ควรมีห้างสรรพสินค้าขนาดนั้นขนาดนี้ ซึ่งมาจากความเห็นชอบของประชาชนอะไรอย่างนี้ ผมคิดว่ามันจะหยุดการพัฒนา การเติบโตแบบไร้ทิศไร้ทางอย่างนั้นได้ คือต้องกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นดูแล แล้วก็กระจายอำนาจให้ตัวบุคคลสามารถเข้าไปมีอำนาจในการต่อรองกับท้องถิ่น”
เพราะนครที่เจริญไม่สามารถพัฒนาอย่างยั่งยืนได้โดยปราศจากการมีส่วนร่วมของประชาชน