คนคลังศัพท์น้อยลงจริงไหม การเสพสื่อส่งผลต่อคลังคำของผู้คนแค่ไหนบ้าง
กอปร, กัน, แก้มตอบ, เหยเก, คชสาร, ละล่ำละลัก, ทั้งฉิวทั้งขัน, พิพักพิพ่วน, ผรุสวาท, กเฬวราก ฯลฯ ขณะที่ใครหลายคนรู้สึกว่าชุดคำเหล่านี้เข้าใจง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ใครบางคนอาจไม่รู้สึกคุ้นเคย ไม่คุ้นตา ไม่มั่นใจ ไปจนถึงไม่เข้าใจความหมาย
เมื่อเร็วๆ นี้ เกิดการถกเถียงกันว่าด้วยเรื่อง ‘คลังศัพท์น้อย’ หลังมีนักอ่านคอมเมนต์บอกนักเขียนเจ้าของนิยายว่าให้แก้คำผิดจาก ‘กอปร’ เป็น ‘ประกอบ’ พร้อมตำหนิว่าทำไมไม่ตรวจสอบนิยายก่อนเผยแพร่ เขียนผิดหลายจุดจนช่างหงุดหงิดกวนใจซะเหลือเกิน! แต่ด้วยคำว่า ‘กอปร’ คือคำที่สะกดถูกต้องอยู่แล้ว คอมเมนต์นั้นจึงแปรสภาพกลายเป็นลานทัวร์โดยปริยาย ระหว่างรถทัวร์เข้าลาน ปัญหา ‘คลังศัพท์น้อย’ ถูกหยิบมาแลกเปลี่ยนและพูดถึงท่ามกลางดราม่านี้ด้วย หลายคนตกอกตกใจว่าทำไมนักอ่านเดี๋ยวนี้คลังศัพท์จำกัด หลายคนตั้งคำถามกับการศึกษาไทยไปจนถึงทักษะการอ่าน ซึ่งข้อคิดเห็นเหล่านี้ทำให้เราอดสงสัยไม่ได้ว่า คนคลังศัพท์น้อยจริงไหมนะ?
คนเดี๋ยวนี้คลังศัพท์น้อยลงจริงหรือไม่? เราอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้อย่างไร? The MATTER ชวนหาคำตอบจาก อิสระ ชูศรี นักแปลและนักวิจัยอิสระด้านภาษาศาสตร์ ไปด้วยกัน!
คนเดี๋ยวนี้คลังคำศัพท์น้อยลงจริงไหม?
เป็นธรรมดาที่ในชีวิตจริงเราอาจไม่ค่อยได้พูดชุดคำสไตล์ กอปร, กเฬวราก, … บ่อยอะไรขนาดนั้น เพราะภาษาที่ใช้ในงานวรรณกรรมมักให้คุณค่ากับคำที่หลากหลาย แตกต่าง และมักต้องการผลลัพธ์ทางความรู้สึกเป็นหลัก ขณะที่เวลาผู้คนใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน ก็มักมีจุดหมายเพื่อการเข้าใจความหมายที่ตรงกัน หรือเข้าใจได้โดยง่าย
ฉะนั้นการจะวัดคลังศัพท์ของแต่ละคน อาจไม่สามารถตัดสินได้โดยง่ายเพียงการวัดว่าคนคนนั้นเข้าใจคำว่า ‘กอปร’ ‘กเฬวราก’ หรือ ‘เหยเก’ หรือไม่ เช่นเดียวกับที่อิสระอธิบายว่า เราไม่มีทางรู้เลยว่าคนยุคปัจจุบันคลังศัพท์น้อยลงจริงไหม จนกว่าจะเกิดการทดสอบเพื่อยืนยันขึ้นมาจริงๆ
นักวิชาการด้านภาษาศาสตร์ บอกว่า สิ่งที่ยืนยันได้ คือ แต่ละคนจะมี ‘mental lexicon’ ที่แตกต่างกัน
อิสระบอกว่า mental lexicon คือศัพท์วิชาการที่เป็นเหมือนคลังคำศัพท์ในภาษาซึ่งบุคคลหนึ่งมีสะสมไว้ และจะดึงมาใช้เมื่อพูด อ่าน หรือฟัง ซึ่งสอดคล้องกับที่งานวิจัย ‘ระบบความหมายของคำในภาษาไทยของผู้พิการด้านการมองเห็นและผู้พิการด้านการได้ยิน’ โดยนิสิตปริญญาเอก จุฬาฯ ที่นิยามว่า mental lexicon คือที่รวบรวมความรู้เกี่ยวกับคำของมนุษย์ ทั้งความรู้ที่นำไปสู่การเข้าใจความหมายของคำแต่ละคำ และความรู้ว่าคำนั้นๆ แตกต่างจากคำอื่นๆ อย่างไร
กลับมาที่ปัญหาคลังศัพท์น้อยลง อิสระระบุว่า ไม่สามารถยืนยันได้เลยว่าใครมีคลังน้อยหรือมากอย่างไรหากไม่ทำการทดสอบจริงจังว่าใครรู้หรือไม่รู้ศัพท์อะไร เพราะโดยพื้นฐานแต่ละคนจะมี mental lexicon ที่ไม่เท่ากันอยู่แล้ว เช่น เด็กเล็กอาจมีคลังศัพท์น้อยกว่าผู้ใหญ่ ขณะที่คนสูงวัยก็อาจมีคลังคำที่แปลกแตกต่างจากคนหนุ่มสาว
อย่างไรก็ดี อิสระชี้ว่า เราอาจใช้วิธีการสังเกตทางอ้อมถึงปมคลังศัพท์น้อยได้ว่าคำศัพท์นำเข้า (input) ผ่านสิ่งที่เขาอ่านกันในชีวิตประจำวันคืออะไร เช่น คนรุ่นใหม่อ่านหนังสือน้อยลง ใช้สมาร์ทโฟนมากขึ้น ก็เลยอาจจะไม่ค่อยได้อ่านหนังสือหรือสัมผัสคำบางประเภทแบบที่คนรุ่นก่อนอ่าน
กราฟด้านบนไม่ใช่กราฟอธิบายคณิตศาสตร์ชวนงง จะว่าไปก็เท่เหมือนกันที่กราฟนี้สามารถช่วยอธิบายให้เข้าใจถึงพฤติกรรมการใช้ภาษาได้ อิสระส่งกราฟนี้ให้เรา ก่อนจะอธิบายถึงแนวคิดว่าด้วยเรื่องคำศัพท์ที่เราใช้
ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์คนนี้บอกว่า ส่วนใหญ่คำที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน (common) อาจมีเพียง 20% เท่านั้น แต่เป็นชุดคำ 20% ที่ถูกใช้บ่อยมาก ขณะที่ชุดคำอีก 80% ที่เหลืออาจถูกใช้น้อยครั้งกว่า เปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย คือ หากเราอ่านเรียงความ 1,000 คำ ก็อาจจะเจอว่ามีคำซ้ำๆ ในเรียงความถึง 200 คำ ส่วนที่เหลืออีกก็อาจจจะปรากฎเพียงแค่ 1-2 ครั้งเท่านั้น
“เวลาเราพูดว่าคนรุ่นใหม่และรุ่นเก่ามีคำศัพท์ไม่เท่ากัน มันคือการพูดถึงคำที่ใช้น้อยครั้งกว่า หรือก็คือพวกกลุ่มคำ 80% ซึ่งหากเอาพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถานมากางแล้วมี 60,000-70,000 คำ คุณใช้ไม่ถึง 10,000 คำในชีวิตจริง”
“ดังนั้น เวลาเขาเถียงกันว่าคลังศัพท์น้อย มันคือการเถียงบนคลังที่ใช้น้อยกว่า การจะบอกว่าไม่รู้ความหมายของคำไหนเท่ากับรู้ศัพท์น้อยจึงพูดยาก” อิสระ กล่าว
ซึ่งทฤษฎีคลังศัพท์ 80-20 ที่อธิบายไป ภาษาอื่นก็เป็นเหมือนกันนะ ไม่ว่าจะจีน อังกฤษ ก็มีคำที่ใช้บ่อยเหมือนกัน โดยคำพวกนี้อาจพบได้ในซูเปอร์มาร์เก็ต ระหว่างเดินทาง ดูทีวี ขณะที่คำอีกกลุ่มก็อาจจะพบในภาษาเขียน หนังสือเก่า ตำรา หรือกลอน
นอกจากนี้ อิสระอธิบายด้วยว่า การสะสมคำศัพท์ที่มีความเฉพาะเจาะจงหรือละเอียดลออก็จะขึ้นกับสภาพภูมิหลังของแต่ละบุคคลหรือแต่ละกลุ่มอายุด้วย และเป็นไปได้ด้วยว่าคนแต่ละรุ่นจะมีศัพท์ common ที่ไม่เหมือนกัน เช่น คนรุ่นใหม่อาจรู้ศัพท์เทคโนโลยีหรือศัพท์สมัยนิยมมากกว่าคนอีกรุ่น
“คำศัพท์จะยากหรือง่ายขึ้นอยู่กับภูมิหลังหรือความรู้ที่ได้รับการอบรมมาของแต่ละคน สมมติว่าคุยกับหมอเรื่องข้าวแกงก็จะคุยรู้เรื่อง แต่เมื่อไหร่ที่ย้ายไปคุยเรื่องโรคปอด คุณอาจไม่มีคำศัพท์ที่มีความเจาะจงไปคุย ซึ่งคำเฉพาะเจาจงแต่ละคนก็อาจจะมีมากมีน้อยไม่เหมือนกัน”
“คนรุ่นใหม่มีคลังศัพท์ภาษาต่างประเทศที่ใช้ปนกับภาษาไทยเยอะกว่า เพราะเขาฟังทั้ง k-pop ทั้งเพลงภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันเยอะกว่า และมันก็ถูกเอามาใช้ในการเขียนทวิต เขียนอะไรต่างๆ ที่ก็ทำให้ระดับความรู้ภาษาต่างประเทศของพวกเขาสูงกว่า ซึ่งมันมีส่วนในคลังศัพท์ภาษาไทยด้วย เพราะมันใช้ปนกันอยู่แล้ว และถ้าหากเอาคำศัพท์มาประมวลรวม ก็อาจจะคลังศัพท์มีมากกว่าคนรุ่นเก่าก็ได้” อิสระ บอกกับเรา
‘ปัจจัยนำเข้า’ ที่เปลี่ยนแปลง สู่คำศัพท์ที่เปลี่ยนไป
เราถามอิสระว่า หรือปรากฏการณ์นี้คือหนึ่งในสิ่งที่เป็นพลวัตของภาษาที่เป็นปกติ? เขาตอบกลับว่าการบอกเช่นนั้นก็อาจจะกำปั้นทุบดินเกินไป พร้อมชวนตั้งข้อสังเกตว่า คำศัพท์นำเข้า (input) ที่ผ่านการเรียนรู้ภาษาไทยของคนแต่ละรุ่นนั้นแตกต่างกัน ซึ่งนั่นอาจทำให้คลังศัพท์ของแต่ละคนแตกต่างกันด้วย
เราแลกเปลี่ยนกันว่า นี่อาจเกิดจากการเสพวัฒนธรรมป็อปที่แตกต่างกันก็ได้ เช่น คนในอดีตอาจมีคลังศัพท์ด้านกำลังภายในจากวรรณกรรมกำลังภายใน แต่คนรุ่นใหม่อาจไม่ค่อยรู้จักคำศัพท์เหล่านั้น เพราะไม่ได้เสพวรรณกรรมทำนองนั้นแล้ว
หรืออาจจะเพราะการใช้งานในชีวิตจริงที่แตกต่างกัน อิสระยกตัวอย่างถึงร้อยกรองหรือสุภาษิตในฐานะคำศัพท์นำเข้า โดยเล่าว่าเขาโตมากับยุคที่คุณตาสอนให้ถ่อมตัวผ่านโคลงโลกนิต ขณะที่คนรุ่นคุณแม่ที่แม้จะไม่ได้สอนผ่านกลอนแต่ก็สอนผ่านการเปรียบเปรยการถ่อมตัวกับต้นข้าว สิ่งนี้สะท้อนว่าในอดีตพวกกลอนทั้งหลายเคยถูกใช้งานจริงในชีวิตจริง แต่กับคนรุ่นใหม่ที่อยากจะสอนให้ลูกถ่อมตัวก็คงต่างออกไป ขณะที่ในห้องเรียนยุคปัจจุบัน อิสระตั้งข้อสังเกตว่า ระหว่างที่เด็กเรียนกาพย์กลอน พวกเขาก็อาจตั้งค่าในใจแล้วว่านี่คือภาษาสำหรับห้องเรียน ไม่ใช่ภาษาสำหรับชีวิตประจำวัน สิ่งเหล่านี้ทำให้คลังคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับกลอนเริ่มเลือนลาง
กอปรกับคำเปรียบเทียบเองก็อาจใช้น้อยลงในหมู่เด็กรุ่นใหม่ด้วย เพราะพวกเขามีวิธีเรียนภาษาที่หลากหลายกว่า เช่น หนังสือประกอบภาพ ฉะนั้น คลังคำเปรียบเทียบเชิงจินตนาการหรืออุปมาอุปมัยก็อาจจะลดลงและถูกใช้งานน้อยลงในแง่การเป็นศัพท์นำเข้า
เรายกตัวอย่างถึง ‘นิยายแชท’ ว่าส่งผลอะไรกับคลังคำคนในยุคนี้หรือไม่ อิสระเล่าว่า ด้วยความที่นิยายแชทเป็นวรรณกรรมรุ่นใหม่ที่เน้นบทสนทนามากกว่าการพรรณา ซึ่งส่วนใหญ่แล้วศัพท์ที่หลากหลายมักอยู่ในส่วนของการพรรณา คล้ายกับการที่เราได้คำศัพท์นำเข้าจากละครที่ก็มีแต่บทสนทนา ไม่ได้มีคำพรรณา ดังนั้น คลังคำศัพท์พรรณาก็อาจจะลดลง แต่คำลักษณะภาษาพูดก็อาจจะหลากหลายกว่าบทสนทนาในวรรณกรรมเก่าก็ได้
ผลกระทบของการมีคลังศัพท์น้อย
แม้จะยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าคนปัจจุบันคลังศัพท์มากหรือน้อยอย่างไร แต่ผลกระทบจากการคลังคำจำกัดอาจมีผลต่อการสื่อสารอารมณ์ได้ ตามที่อิสระเชื่อว่าหากมนุษย์สามารถพูดถึงอารมณ์ที่จัดการยากได้อย่างเข้าใจชัดเจน จะยิ่งทำให้มีความสงบใจมากขึ้น
“ภาษาเกี่ยวกับถ้อยคำ ถ้อยคำเกี่ยวกับความหมาย ความหมายเกี่ยวกับความคิด ฉะนั้น ถ้าเราสามารถจัดแจงอารมณ์ด้วยความคิดได้ มันก็จะสามารถควบคุมได้มากขึ้น” อิสระ กล่าว
นอกจากปัญหาเรื่องการสื่อสารอารมณ์ อิสระยกตัวอย่างถึงปัญหาด้านความเข้าใจและการสื่อสารกับคนอื่นด้วย โดยยกตัวอย่างว่า หากเรารู้เพียงวิธีการสื่อสารด้วยคำที่เราคุ้นอย่างเดียว หากต้องคุยกับคนที่มีชุดคำต่างจากเราละ มันอาจจะนำไปสู่ความไม่เข้าใจ หรือเข้าใจคลาดเคลื่อนได้
นักวิชาการด้านภาษาศาสตร์ จึงเชื่อว่า หากใครมีชุดคำศัพท์ที่เยอะ ก็จะสามารถสื่อสารและทำความเข้าใจได้กับคนหลากหลายกลุ่มได้เช่นกัน
เมื่อถามว่าอะไรคือแก่นของภาษาที่เราควรต้องรักษาไว้ อิสระตอบกลับว่า หลักของภาษาคือการใช้เพื่อสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน นำมาสู่การยอมรับและร่วมมือกัน สร้างความเป็นพวกเดียวกัน และไม่ก่อให้เกิดความแตกแยก เข้าใจผิด ดังนั้น หากอ่านวรรณกรรมแล้วไม่เข้าใจ หงุดหงิดโกรธเคือง นำมาสู่การทะเลาะกัน นี่อาจไม่ใช่แก่นของภาษา
“‘ตำรวจภาษา‘ ชอบไปเซ็นเซอร์คำพูดคนอื่น ห้ามใช้คำพูดแบบนั้น ห้ามใช้คำแบบนี้ ถ้าคุณสนใจภาษา คุณเห็นแล้วก็ต้องทำความเข้าใจก่อน ไม่ใช่ตัดสินก่อน ดังนั้น ถ้าเราเห็นปรากฎการณ์ทางภาษา ก่อนที่จะตัดสินบนฐานของค่านิยมของตัวเอง ลองทำความเข้าใจก่อนว่าคนที่เขาใช้แบบนั้นเขาใช้เพื่อความหมายอะไร เขาต้องการบอกอะไร”
อิสระทิ้งท้ายกับเราว่า “อย่าใช้ภาษาขิงกัน” เพราะการพยายามจับผิดคนอื่นอาจทำให้เราพลาดที่จะได้เรียนรู้ความหลากหลายและงดงามของภาษา ฉะนั้น ไม่ว่าคุณจะคิดว่าคำเก่าๆ มัน ‘เห่ย’ หรือ ‘เจ๋ง’ ก็ตาม โปรดอย่าขิงกัน!