สมัยเรียน ช่วงๆ ใกล้สอบ เรามักจะปั่นรายงาน ทำรีพอร์ตส่ง หรือกระทั่งยืมหนังสือสำคัญๆ จากห้องสมุดมาใช้งาน และแน่นอน เชื่อว่าแทบทุกคนคงจะต้องมีประสบการณ์ ‘ลืมคืนหนังสือ’ ก็ช่วงนั้นมันยุ่งๆ เนอะ หรือบางทีก็ยืมข้ามกันไปข้ามกันมา ไปเช็กสถานะอีกที แทบล้มทั้งยืน ตัวเลขค่าปรับพุ่งจนเข้าใจคนเป็นหนี้นอกระบบ
สำหรับบ้านเรา ถ้าเราลืมคืนหนังสือในระบบมหาวิทยาลัย ยังไงเราก็ต้องรับผิดชอบเนอะ เพราะสุดท้ายเราก็จะเจอปัญหากับการจบการศึกษา แต่เชื่อว่าชาวเจนฯ Y หลายคนที่เกิดทันยุค ‘ร้านเช่าการ์ตูนเฟื่องฟู’ เชื่อว่าคน—ไม่ตั้งใจเป็นคนไม่ดี—หลายคนอาจจะมีหนังสือการ์ตูนที่มีตราประทับร้านติดบ้านอยู่บ้าง แต่บางทีมันก็สุดวิสัยเนอะ ลืมคืนบ้าง หาไม่เจอบ้าง พอเวลามันล่วงเลยไปเราก็พบว่า พระเจ้าช่วย! ค่าปรับการ์ตูน ค่าปรับหนังของเรามันพุ่งทะลุเท่าที่เด็กตัวน้อยๆ จะจ่ายไหว เด็กน้อยอย่างเราก็เลยต้องตัดสินใจประกอบอาชญากรรมโดยไม่เจตนา ก็คือเทสมาชิก ไม่ต้องไปคืน เลิกแล้วต่อกันไปซะเลย
ในต่างประเทศ โดยเฉพาะในอเมริกา ดินแดนที่การเข้าและยืมหนังสือจากห้องสมุดเป็นกิจกรรมที่ทำได้บ่อยๆ มีการทบทวนถกเถียงประเด็นค่าปรับหนังสือ คือมีความพยายามทำความเข้าใจว่า เอ้อ หรือว่าคนรักหนังสือที่เป็นสมาชิกอาจจะมีประสบการณ์เผลอดองแล้วนำไปสู่การตัดสินใจไม่คืนหนังสือเลย แถมพอลองคิดดูก็พบว่าคนที่จะเป็นสมาชิกห้องสมุด ซึ่งก็คือคนที่ยืมหนังสือส่วนใหญ่อาจจะเป็นกลุ่มคนที่อาจจะมีรายได้น้อยสักหน่อย ในการปรับที่เป็นไปได้ว่าจะทำให้คนไม่คืนหนังสือนั้น ห้องสมุดบางที่จึงตัดสินใจยกเลิกค่าปรับหนังสือและพบว่ามีการนำหนังสือมาคืนมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด
จากประเด็นค่าปรับ เถียงไกลถึงเรื่องฟังก์ชั่นของห้องสมุด
ห้องสมุดนี่เป็นดินแดนแสนพิเศษเนอะ แต่นัยหนึ่งเวลาเรานึกถึงคำว่าห้องสมุดเราก็มักจะมีความเกร็งขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราเห็นภาพบรรณารักษ์เคร่งๆ จะทำอะไรก็ต้องระวังกลัวจะเสียงดัง หรือไปเผลอทำอะไรเลอะ ห้องสมุดดูเป็นดินแดนของระเบียบวินัย และแน่นอนว่าค่าปรับห้องสมุดก็ดูจะเป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งระเบียบวินัยนั้น
ในสหรัฐฯ ดินแดนแห่งการถกเถียง ประเด็นเรื่องค่าปรับห้องสมุดเองก็อยู่ในความสนใจ และเหล่าบรรณารักษ์ผู้ซึ่งอยากจะให้กิจการห้องสมุดเฟื่องฟู รวมถึงเป็นพื้นที่แห่งการแลกเปลี่ยนความรู้และการเรียนรู้ตลอดชีวิต เหล่าบรรณารักษ์ที่เราคิดว่าแสนเคร่งกลับดูจะเป็นไปในทางตรงข้าม คือมีการสำรวจคร่าวๆ เป็นโพลออนไลน์ว่า เอ้อ ห้องสมุดควรจะปรับค่าปรับเกินเวลาไหมนะ ในบรรดาบรรณารักษ์ที่ร่วมโหวตกว่า 500 ท่าน คือมีถึง 72% ที่ไม่เห็นด้วยกับการปรับ ภาพของบรรณารักษ์ที่เคร่งขรึมกับกฎระเบียบดูจะอ่อนนุ่มลงในทันใด
นอกจากโพลโดยสังเขปแล้ว ในโลกของการบริการห้องสมุดเองก็มีการโต้แย้งกันอย่างออกรสมีการทบทวนว่าอะไรคือฟังก์ชั่นของค่าปรับล่วงเวลา คือจริงๆ พอเราฟังอธิบายว่าทำไมต้องปรับก็ฟังดูมีเหตุผล มีข้อสังเกตว่าค่าปรับเป็นสิ่งที่เตือนถึงความรับผิดชอบของผู้ยืม ว่าถ้า เอ้อ ไม่คืนตามเวลานะ เราจะมีการลงโทษ เป็นข้อเตือนใจว่าเราต้องรับผิดชอบกับทรัพย์สมบัติของส่วนรวมนะ
ผ่อนปรนกับคนใช้งาน
ที่พูดมาก็มีเหตุผล แต่พอห้องสมุดดำเนินอย่างยาวนานมาจนถึงยุคปัจจุบัน ก็เลยมีการทบทวนและปรับตัวว่า ตกลงแล้วใครคือคนที่ใช้งานและฟังก์ชั่นของห้องสมุด ฝ่ายไม่สนับสนุนการปรับถึงขนาดทวนความคิดว่า หน้าที่ของเราห้องสมุดไม่ใช่การสอนระเบียบวินัยให้กับประชาชนเสียหน่อย แต่เรามีหน้าที่บริการการความรู้ เป็นแหล่งของการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้กับผู้คน
ยิ่งเมื่อมีการทบทวนว่าตกลงแล้วผู้ใช้งานห้องสมุดเป็นใครกันแน่ ก็พบว่าส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้น้อย โดยเฉพาะเด็กๆ จากครอบครัวยากจน และค่าปรับที่เราอาจจะรู้สึกว่าเล็กน้อยสำหรับคนที่ไม่ได้มีฐานะแข็งแรง (และแน่นอนว่าอยากจะแสวงหาความรุ้ด้วยตัวเอง) ก็ดูจะเป็นจุดที่ทำให้คนตัดสินใจเทและอมหนังสือไปโดยปริยาย โดยส่วนใหญ่ยังพบว่าถ้าต้องจ่ายค่าปรับ ผู้ใช้งานนอกจากจะไม่สามารถจ่ายได้แล้ว ยังก่อให้เกิดความอับอายอีกด้วย
จริงๆ กระแสทบทวนเรื่องค่าปรับส่งหนังสือช้าเป็นสิ่งที่ในหลายเมืองใหญ่ทบทวนและทำกันมานานแล้ว บางแห่งมีการยกเว้นค่าปรับให้กับเด็กๆ และในระยะหลังหลายเมืองใหญ่ที่เริ่มทบทวนว่าห้องสมุดเป็นพื้นที่บริการของประชาชนที่มีความต้องการพิเศษก็เริ่มพิจารณาเลิกการปรับไป
นอกจากประเด็นเรื่อนงบประมาณและรายได้แล้ว บางคนก็บอกว่าเนี่ยถ้าไม่ปรับนะ คนก็จะยิ่งดองโดยไม่สนใจน่ะสิ แต่ในทางกลับกัน ห้องสมุดในชิคาโกที่จัดการเลิกการปรับไปเรียบร้อยกลับดูจะให้ผลในทางตรงกันข้าม คือที่ระบบห้องสมุดแห่งเมืองชิคาโก (ซึ่งมีหลายห้องสมุดของเมืองอยู่ในเครือ) ทำการยกเลิกค่าปรับ ผลคือมีอัตราการคืนหนังสือสูงขึ้นถึง 240% เท่ากับเพิ่มขึ้นมหาศาล
ในโลกที่เต็มไปด้วยห้องสมุด และการบริการสาธารณะที่พยายามออกแบบเพื่อคนทุกกลุ่ม การถกเถียงกันดูจะเป็นการถกเถียงกลายๆ ของความคิดแบบเคร่งขรึมกับแนวคิดแบบเสรีนิยมนิดๆ ซึ่งก็ไม่เชิงว่าจะมีฝ่ายไหนที่ผิดหรือถูกไปโดยปริยาย
ย้อนกลับมาที่บ้านเราที่เราเองก็อยากให้มีการถกเถียงบ้างเนอะ แต่เอาว่าขอให้มีห้องสมุดเยอะๆ ก่อน คืออย่างน้อยพอเราเห็นภาพว่า เฮhย ห้องสมุดมันสำคัญ เป็นเหมือนที่เรียนของคนที่ไม่มีเงินซื้อหนังสือแพงๆ เด็กน้อยที่อยากจับหนังสือแบบในคิโนะฯ หรือกระทั่งนักเรียนที่อยากดูหนังสือสวยๆ
ห้องสมุดดีๆ มันจำเป็นเนอะ แล้วค่อยไปเถียงเรื่องค่าปรับกันต่อไป
อ้างอิงข้อมูลจาก