อยู่ๆ ก็เหนื่อยง่าย หายใจไม่ค่อยออก แขนขาเคล็ดขัดยอก ผดผื่นขึ้นตามตัว หน้ามืดและเวียนหัว ปวดตัวและเจ็บอยู่ข้างใน – ยุคสมัยที่ข้อมูลข่าวสารเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย หากร่างกายเกิดอาการผิดปกติ คุณสามารถเข้าเว็บไซต์กูเกิลเพื่อค้นหาความเป็นไปได้เบื้องต้นได้ในทันที
แม้จะได้คำตอบในอึดใจ แต่เมื่อไล่สายตาทีละบรรทัด ทีละย่อหน้า กระทั่งอ่านจนจบ ตามด้วยการกดลิงค์ใหม่ไปเรื่อยๆ เพื่อหาข้อมูลให้รอบด้าน-ตรวจทานความเป็นไปได้ หลายคนกลับพบกับคำตอบที่ไม่คาดคิด
อาการของคุณมีแนวโน้มเป็นโรคร้ายแรง!
“อย่าไปเชื่อกูเกิลมาก อ่านๆ ไปกลายเป็นมะเร็งตลอด” เป็นคำกล่าวติดตลกที่จริง – แต่คงไม่เสมอไป เพราะข้อมูลเหล่านั้นมีประโยชน์ในเบื้องต้น สุดท้ายเราควรตรวจอย่างละเอียดที่โรงพยาบาลด้วย
หลังจากเรียนจบจากคณะครุศาสตร์ (ภาควิชาศิลปะ ดนตรีและนาฏศิลป์ศึกษา) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณัฐณิชา พิมพ์พาพ์ ศิลปินเจ้าของเพจ ‘พิมพ์พาพ์’ ประกอบอาชีพเป็นครูสอนพิเศษศิลปะและรับวาดรูปให้คนที่สนใจ เวลาผ่านไปราวหนึ่งปี ปลายปี 2560 เธอใช้เวลาพักผ่อนอยู่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน อยู่ๆ ร่างกายก็มีอาการผิดปกติ – ไอมากเป็นเวลานาน หายใจติดขัด ตื่นเช้ามาหน้าบวม และกลืนอาหารได้ลำบาก
‘ทอนซิลอักเสบ’ เป็นคำวินิจฉัยของหมอที่โรงพยาบาลปาย ซึ่งตรงกับคำวินิจฉัยแรกๆ ของหมอที่โรงพยาบาลจุฬาฯ หลังจากกินยาต่อเนื่องราวสองเดือน ปรากฏว่าอาการของเธอกลับไม่ดีขึ้น
“ช่วงนั้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต เอ้ย.. อาการเหมือนวัณโรคเลย” เธอพูดแล้วหัวเราะขึ้นมา
เมื่อกลับไปหาหมออีกครั้ง ฟิล์มเอ็กซเรย์แสดงให้เห็นความผิดปกติบริเวณปอด เป็นก้อนขนาด 11 เซนติเมตร พอทำอัลตร้าซาวน์ก็เจอกับน้ำที่เยื่อหุ้มหัวใจ เมื่อผลการตรวจเป็นเช่นนี้ อาการเหล่านั้นจึงไม่ใช่เรื่องคิดไปเอง
“เราไม่เคยคิดว่าจะเป็นมะเร็งเลย ไม่คิดว่าตัวเองมีความเสี่ยงด้วย” เป็นความคิดของเธอขณะที่ตรวจเจอความผิดปกติทีละนิด จนกระทั่งหมอนำชิ้นเนื้อไปตรวจ แล้วมาบอกว่า “คุณเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองนะ” เธอจึงกลายเป็นผู้หญิงอายุ 24 ปีที่ป่วยเป็นมะเร็ง
หลังจากผ่านขั้นตอนคีโมจนครบ มะเร็งที่ควรหายกลับกำเริบอีกครั้ง เธอจึงเปลี่ยนมาใช้วิธีฉายแสง และปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนการรักษา ถือเป็นระหว่างทางที่ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เลย
โดยส่วนใหญ่ บทสัมภาษณ์ว่าด้วย ‘คนเป็นมะเร็ง’ หากไม่ใช่คนที่รักษาจนหายขาด ก็เป็นคนที่อาการหนักหนาแล้วค้นพบความหมายของชีวิตที่ลุ่มลึก ไปจนถึงเตรียมพร้อมกับความตายที่ใกล้เข้ามา มองจากสายตาของผม สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เธอเลย
บางช่วงเธอกังวล บางช่วงเธอมีกำลังใจ บางช่วงเธอขัดแย้งกับคนใกล้ตัว บางช่วงเธอสับสน บางช่วงเธอเหนื่อย บางช่วงเธอเศร้า บางช่วงเกิดความเข้าใจใหม่ๆ และบางช่วงเธอกลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น
ว่ากันตามตรง นี่แหละภาพชีวิตที่สะท้อนความเป็นมนุษย์
บนเส้นทางที่ยังไม่รู้ตอนจบ สำหรับเธอ มันคือความไม่แน่นอนที่มีความหวัง และสำหรับคนอ่าน มันคือบทเรียนกระจัดกระจายที่มีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง
ตอนมีอาการแปลกๆ แล้วไปตรวจ อาการเป็นยังไง
ปลายเดือนธันวาคม 2560 เราไปเที่ยวปาย อยู่ๆ ก็เริ่มไอ นอนหมอนต่ำๆ ไม่ได้ เพราะหายใจไม่ค่อยออก เราต้องพับหมอนให้สูงๆ ถึงจะนอนได้ เวลานั่งยองๆ ฉี่ก็หน้าแดง หายใจลำบากยังไงก็ไม่รู้ ตื่นนอนมาก็หน้าบวม แล้วบวมผิดปกติ เราเริ่มกลืนอะไรลำบาก เลยไปหาหมอที่ปาย เขาบอกว่าเป็นทอนซิลอักเสบ เลยได้ยาแก้อักเสบมากิน พอกลับมากรุงเทพฯ เรากินจนหมดก็ไม่ดีขึ้น หายเจ็บคอนะ แต่หน้ายังบวมอยู่ บวมมาก และยังหายใจไม่ค่อยออก เลยไปหาหมอที่ รพ.จุฬาฯ เรามีสิทธิ์ที่นั่นในฐานะนักศึกษา ตอนนั้นยังเข้าใจว่าตัวเองเป็นทอนซิลอักเสบ เลยไปหาหมอที่แผนกหู คอ จมูก หมอตรวจโดยคลำคอ ใช้ไฟฉายส่อง แล้วบอกว่าเป็นทอนซิลอักเสบ ตอนนั้นยังไม่ได้เอ็กซเรย์ หลังจากนั้นกินยาไปสักพัก ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ปี 2561 เราเริ่มมีไข้ พอไปหาหมอเลยถูกจับเอ็กซเรย์
ก่อนหน้ามีอาการแปลกๆ ที่ปาย คุณมีอาการอะไรมาก่อนไหม
ตัวอ้วน (หัวเราะ) น่าจะเป็นเพราะเรากินเยอะ ก็เรื่องปกติ (หัวเราะ) แต่เราเป็นคนประจำเดือนมาไม่ปกติตั้งแต่เด็ก เลยรู้สึกอยู่ตลอดว่าตัวเองไม่ได้สุขภาพสมบูรณ์ขนาดนั้น
เอ็กซเรย์แล้วเจออะไร
เจอก้อนในปอด ปกติแล้วปอดบนฟิล์มเอ็กซเรย์เป็นสีขาว แต่ปอดของเรามีก้อนดำๆ ก้อนใหญ่มาก เขาเลยจับแอดมิทคืนนั้น ให้น้ำเกลือ ตรวจอะไรนิดหน่อย แล้วให้นอนดูอาการที่ห้องฉุกเฉินสองสามวันก็กลับบ้านได้ พอกลับมาตรวจใหม่ เขาเอาเครื่องคล้ายๆ อัลตร้าซาวน์มาตรวจ แล้วเจอน้ำที่เยื่อหุ้มหัวใจ เพราะปอดทำงานไม่ปกติ หัวใจเลยทำงานไม่ปกติ ทำให้น้ำไปขัง คืนนั้นโดนจับไปเจาะเลย เป็นครั้งที่สองที่ร้องไห้แล้วโทรหาเพื่อน มันเกินความควบคุมของเรา
ครั้งแรกที่ร้องไห้คือตอนไหน
ตอนกินยามาสองเดือนแล้วไม่รู้ว่าเป็นอะไร ตอนนั้นเอ็กซเรย์มาแล้วหมอบอกว่าไม่มีอะไร เราเลยร้องไห้แล้วคิดในใจว่า ‘เฮ้ย มันเกิดอะไรขึ้นกับเรา ทำไมถึงไม่หาย แล้วต้องกินยาไปถึงเมื่อไร’ หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต เอ้ย.. อาการเหมือนวัณโรคเลย (หัวเราะ) ตอนนั้นเดินร้องไห้เหมือนนางเอกเอ็มวีตรงบันไดแล้วมาเจอพระ ท่านถาม “เป็นอะไร” เราบอก “ไม่เป็นอะไรค่ะ” แต่ก็เดินร้องไห้ต่อนะ (หัวเราะ) เป็นการร้องไห้ครั้งแรก
ช่วงสองเดือนนั้น มันเจ็บ มันปวด มันติดขัดยังไง
ไอ นอนแล้วตื่นมาหน้าบวมก็ยังเป็นอยู่ เรารู้สึกว่าร่างกายแปลกๆ ระบบหายใจไม่ค่อยดี มีครั้งนึงทรมานมาก เราเดินขึ้นบันไดที่อนุสาวรีย์ ขึ้นไปยังไม่ถึงแต่รู้สึกเหมือนจะตาย ไม่มีแรง ขึ้นไปแล้วหายใจเหมือนหมาเลย
เวลาใครมีอาการแปลกๆ หลายคนมักเปิดกูเกิล แต่อ่านไปอ่านมาแล้วเจอว่า คุณมีความเสี่ยงเป็นมะเร็ง ตอนนั้นกลัวอะไรแบบนี้ไหม
ไม่ๆ เราไม่เคยคิดว่าจะเป็นมะเร็งเลย ไม่คิดว่าตัวเองมีความเสี่ยงด้วย เหมือนเรารู้จักมะเร็งไม่มากพอ รู้แค่ว่ากินอะไรดำๆ ต้องเป็นมะเร็ง กินเหล้าสูบบุหรี่ต้องเป็นมะเร็ง
ตอนเห็นก้อนดำๆ รู้สึกยังไง
ตกใจ หมอบอกว่าใหญ่มาก 11 เซนติเมตร ดูในรูปมันเป็นกลมๆ ตอนนั้นไม่รู้สึกว่าเป็นมะเร็งนะ อาจเป็นเนื้องอกก็ได้ ไม่คิดว่ามันร้ายแรง แค่ตกใจว่ามันใหญ่ แต่ไม่ได้ช็อกแบบร้องไห้หรืออะไร
ความรู้สึกแตกต่างจากเจอน้ำที่เยื่อหุ้มหัวใจยังไง
ตอนนั้นตกใจ หมอบอกความเสี่ยงมาน่ากลัว ถ้าเจาะผิด หัวใจอาจเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ หัวใจวายได้ เราก็ถามนะว่าเปอร์เซ็นต์ที่เจาะพลาดเป็นเท่าไร เขาบอกน้อยมาก แต่เราก็กลัวอยู่ดี
ตอนนั้นยังไม่มีคำว่า ‘มะเร็ง’ เข้ามาในหัวเลย
ไม่มีเลย หมอยังหาอยู่ว่าคืออะไร ตอนเจาะเจ็บมาก (ใต้ราวนมข้างซ้าย) ตอนนี้ยังมีรอยอยู่เลย แต่เปิดให้ดูไม่ได้นะ (หัวเราะ) เราไม่คิดว่าตัวเองต้องมาเจออะไรแบบนี้ เราหายใจด้วยตัวเองไม่ได้ มันใกล้หัวใจมาก คืนนั้นทรมานมาก พยาบาลต้องทำความสะอาดร่างกายให้ เราใส่สายออกซิเจน ลุกจากเตียงไม่ได้เลย
หลังจากเจาะอาการดีขึ้นไหม หมอบอกว่าอะไรบ้าง
เขาบอกว่าน้ำออกได้ดี ไม่มีปัญหาอะไร บอกว่าอีกวันจะตรวจชิ้นเนื้อ เลยได้ย้ายไปอยู่อีกห้อง พอผลออกมา หมอมาบอกว่า “คุณเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองนะ แต่ยังบอกชนิดไม่ได้ ก้อนที่ดึงไปมันไม่แน่ชัด”
คืนที่เจาะชิ้นเนื้อยังไม่คิดถึงมะเร็งเลย แต่วันรุ่งขึ้นหมอพูดเรียบๆ ง่ายๆ ว่าเป็นมะเร็งเหมือนเป็นสิว
เขาเป็นหมอวัยรุ่นชื่อเฉลิมชัย แล้วสไตล์เหมือนอาจารย์เฉลิมชัยเลย พูดโผงผาง เดินมาพูดเลย “คุณเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองนะ” (หัวเราะ)
วินาทีที่หมอพูดคำนั้น รู้สึกยังไง
ตอนนั้นยังไม่ช็อก ไม่เสียใจ ไม่เป็นอะไรเลย แปลกไหม เรารู้สึกว่า ‘อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าตัวเองเป็นโรคอะไร’ จะได้รู้วิธีรักษาให้ตรงจุดสักที ต่างกับตอนกินยาไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าจุดจบอยู่ตรงไหน แล้วหมอพูดด้วยว่า “โอ้ย หกเดือนก็หายแล้ว” แล้วบอกด้วยว่ามะเร็งต่อมน้ำเหลือง 90 เปอร์เซ็นต์หายขาดทั้งนั้น
ต่อมน้ำเหลืองอยู่ทั่วร่างกาย แต่ทำไมกรณีของคุณมะเร็งไปอยู่ที่ปอด
ของเราอยู่ที่ปอดได้ยังไงไม่รู้เลยจริงๆ เขาไม่ได้บอกเหตุผล แต่ความเสี่ยงเกิดได้ทั่วร่างกาย เพราะต่อมน้ำเหลืองอยู่ทั่วร่างกาย คนไข้มะเร็งต่อมน้ำเหลืองบางคนเป็นที่ม้าม ที่ตา เป็นแล้วตาบวมออกมาเลย
ตอนนั้นหมอบอกว่าต้องรักษายังไงบ้าง
ต้องให้คีโม 6 ครั้ง ระหว่างรอให้คีโมก็ได้ยาสเตียรอยด์มากินเพื่อกดภูมิไม่ให้ก้อนมะเร็งโตขึ้น แต่กินแล้วหิวตลอดเวลา คึกคัก อยากเก็บของให้เป็นระเบียบ นอนแล้วหัวยังคิดอยู่ตลอดว่าเราอยากทำอะไร บางทีลุกขึ้นมาจดว่าพรุ่งนี้จะทำอะไรต่อ ตอนนั้นนอนยาก แต่ช่วงเช้าสดใสมาก บางทีตีสามตีสี่เราลุกขึ้นมาทำนู่นทำนี่แล้ว
ช่วงนั้นอาการหายใจไม่ออกดีขึ้นไหม
ดีขึ้น มีแรงขึ้นมาบ้าง แต่จะมีอาการเล็กๆ น้อยๆ จากยาที่กิน ร่างกายเหมือนไม่ค่อยแข็งแรง เดินขึ้นบันไดต้องใช้เวลา หูอื้อ มีน้ำในหู มันจะมีผลข้างเคียงจากยาสเตียรอยด์ แต่ตัวก้อนไม่ค่อยมีอะไร หายใจได้
ระหว่างนั้นไม่ได้กังวลอะไรใช่ไหม
ยังอารมณ์ดี ตอนนั้นไม่มีความเครียด ไม่มีอะไรเลย พยายามทำทุกวันให้เต็มที่ วาดรูปทุกวันเลย ด้วยยาสเตียรอยด์ด้วยที่ทำให้ไม่กังวล งานสอนพิเศษก็เลิกไป เพราะการอยู่กับเด็กอาจติดเชื้อโรค เด็กไอ เด็กจาม อะไรแบบนี้
กินอาหารปกติเลยหรือเปล่า
หมอเริ่มห้ามผักสด ผลไม้เปลือกบาง เช่น สตรอว์เบอร์รี องุ่น ไม่ใช่เรื่องสารเคมีอย่างเดียวนะ แต่เวลาเอามาจากดินอาจมีแบคทีเรีย ไม่อยากให้เข้าไปในร่างกาย เพราะอาจป่วยได้ง่าย อาจเกิดโรคแทรกซ้อนนอกจากมะเร็ง
ตอนทำคีโมต้องไปนอนโรงพยาบาลนานไหม
ทำครั้งแรกต้องไปนอน เพราะหมอจะดูว่าแพ้ไหม แต่หลังจากนั้น ครั้งที่ 2 3 4 5 6 ให้คีโมแบบไป-กลับ ให้กลางวัน ตอนเย็นกลับบ้าน ไม่ได้นอนโรงพยาบาล
เวลาพูดถึงมะเร็ง มักตามด้วยคำว่า คีโม ผมร่วง น่ากลัว เล่าให้ฟังหน่อยว่าคีโมคืออะไร
คีโมคือการให้ยาเคมี มะเร็งบางตัวได้เป็นยาเม็ด เคยได้ยินว่าลูคีเมียกินยาเป็นเม็ด แต่ของเราเป็นยาที่ให้ผ่านทางสายน้ำเกลือ แต่ละครั้งห่างกัน 3 สัปดาห์ ทุกครั้งก็จะให้สเตียรอยด์ด้วย แต่เป็นคนละตัวกับที่กินตอนกดภูมิ อันนี้กินแล้วไม่มีอาการอะไร แค่ช่วยเสริมคีโมที่เราได้ เป็นยาขมๆ ธรรมดา หลังจากให้คีโมครั้งแรก ผ่านไปไม่นานผมก็เริ่มร่วง
เสียเซลฟ์ไหม
เราคิดอยู่แล้วว่ามันต้องร่วง เสียเซลฟ์นิดหน่อยตอนร่วงเยอะ ตอนแรกคิดว่าไม่เหมือนในละคร (หัวเราะ) แต่มันหลุดมาเป็นกระจุกจริงๆ เหมือนในละครเลย หลายวันต่อมาก็หวีผมไม่ได้แล้ว หวีแล้วแบบ (ดูมือ) โหว!
การรักษามีแค่นี้เลย
มีไปเช็คอาการ หลังจากให้ยาหนึ่งอาทิตย์ก็ไปให้เลือดบ้าง เช็คว่าเม็ดเลือดขาวต่ำมั้ย เพราะคีโมจะไปฆ่าเซลล์ทุกเซลล์เลย
ระหว่างกระบวนการนี้ หมอได้ตรวจอาการเป็นระยะไหม
หลังจากให้คีโมครั้งที่ 4 ต้องไปทำ CT Scan ตอนนั้นทำแล้วพบว่าก้อนที่ปอดยุบลงครึ่งนึง
ข่าวดีสิ
ใช่ ดีมาก แต่พอทำครั้งที่ 6 แล้ว อาการเหมือนจะดีขึ้น รอเวลาอีกหนึ่งเดือนต้องไปทำ PET Scan เป็นตัวที่ละเอียดกว่า ในตัวเครื่องสแกนจะเห็นเลยถ้ามีตัวมะเร็งเหลืออยู่ อยู่ดีๆ ก็ปวดแขนตรงหัวไหล่ ตอนแรกคิดว่าตัวเองยกของหนักหรือนอนผิดท่า แต่สักพักตรงไหปลาร้าข้างขวาก็บวม จะเห็นไหปลาร้าแค่ข้างเดียว เพราะข้างขวาจะบวม เริ่มกลับมามีไข้เกือบทุกวัน ตอนนั้นก็ตะหงิดๆ แล้ว ผลออกมาเป็นไปตามที่คิดเลย คือก้อนมะเร็งส่วนที่ตายแล้วตอนทำคีโมครั้งที่ 4 (เห็นจากผล CT Scan) มันตายและยุบแค่ตรงกลาง แต่บริเวณรอบก้อนมันขยายขึ้นอีก มะเร็งเลยกลับมาไซส์เท่าเดิม
มันลุกลามเหรอ
ไม่ได้ลุกลาม แต่มันกำเริบ มันโตขึ้นมาอีก และไม่ได้เป็นทรงเดิม แต่ขึ้นมาตรงไหปลาร้าด้วย บวมขึ้นแบบสัมผัสได้ เมื่อก่อนไม่เคยสัมผัสได้ถึงมะเร็งเลย เพราะมันไม่มีการบวมอะไรเลยนอกจากต่อมน้ำเหลืองที่บวมบางที แต่พอทำคีโมเสร็จไป 6 ครั้ง ก็เกิดก้อนตรงไหปลาร้าขึ้นมา ตอนนั้นหมอบอกว่ายาตัวนี้อาจไม่ตอบสนองแล้ว เลยจะลองเปลี่ยนสูตรยาเผื่อว่าจะยุบ เอาจริงๆ หลังจากทำคีโมครั้งที่ 3-4 เรากังวลมาตลอดเลย เริ่มกลัว เพราะครั้งแรกๆ ที่ทำคีโมมันไม่มีอาการอื่นเลยนอกจากผมร่วง ครั้งที่ 3-4 เริ่มมีอาการ ตื่นมาแล้วปวดตัว เป็นไข้ ไม่มีแรง พะอืดพะอม แต่จะเป็นแบบนี้ประมาณอาทิตย์สองอาทิตย์หลังให้คีโม พอดีขึ้น เราก็กลับไปคีโมอีกรอบ เป็นวงจรที่เราเริ่มเบื่อ ไม่ไหวแล้ว
ความกังวลนั้นคล้ายความกังวลตอนไม่รู้ว่าเป็นอะไรไหม
ไม่คล้าย ตอนทำคีโมเครียดกว่า เพราะรู้สึกว่าร่างกายเราอ่อนแอไปหมดเลย
พอรู้ว่าอาการกำเริบ ต้องรักษายังไงต่อ
หมอจะให้คีโมสูตรใหม่ที่แรงขึ้น แต่ตอนนั้นเราอาการไม่โอเค แรงน้อย หายใจไม่ค่อยไหว เหนื่อยมาก หลังจากทำคีโมรอบ 2 ครั้งแรกไปก็กลับมาบ้าน เหมือนอาการจะดีขึ้น แต่ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ กลายเป็นว่าก้อนกลับมาโตอีก หมอเลยนัดมานอนโรงพยาบาลเพื่อจะให้คีโมอีกสูตร ซึ่งคือสูตรสาม แต่หมอคุยกันไปมาก็บอกว่า มันดื้อยาแล้ว ยุบโตยุบโต ร่างกายก็ทรุดด้วย เลยเปลี่ยนเป็นฉายแสง ครั้งละ 10-15 นาที เราฉายแสง 2 ครั้งเช้าเย็น และฉายรังสีเข้มสุดเท่าที่จะทำได้เพื่อฆ่าก้อนที่อยู่ข้างใน ตอนนี้ฉายแสงไป 20 ครั้ง อยู่ในช่วงพักฟื้น เรากลับมาอยู่บ้านได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว ก็รอไปฉายต่ออีก 20 ครั้ง ระหว่างนี้ต้องกินยาป้องกันไวรัสและแบคทีเรีย ระวังแสงแดด เรื่องอาหารการกินก็ระวังเหมือนเดิม
ระหว่างนี้มีตรวจเพื่อดูผลการรักษาไหม
ก่อนกลับบ้านหมอมาคุยด้วยว่ายุบไป 10 เปอร์เซ็นต์ แต่เขาหวังว่าจะยุบไปสักครึ่งนึง เค้าบอกว่าก้อนที่ตายไปแล้วเหมือนมันไม่สลายตัว ปกติคนที่ฉายแสงไปมันจะยุบอย่างเห็นได้ชัด แต่ของเราแปลกกว่าคนอื่น คือมีก้อนที่ตายและก้อนที่แอ็คทีฟอยู่วงนอก วงนอกตายไป 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ตรงกลางเหมือนโดนข่ม หมอบอกว่า ก้อนที่ตายไปแล้วอาจเป็นน้ำ เป็นหนอง คือร่างกายยังไม่ดูดซึม ไม่ขับออกไป หมอคาดหวังว่าช่วงที่พักฟื้นร่างกายจะดูดซึมไป ซึ่งเราลืมถามว่ามันจะดูดไปยังไง คงเป็นกระบวนการของร่างกาย เจอกันครั้งหน้าก็หวังให้ร่างกายดีขึ้น
ตอนหมอพูดว่ารักษาด้วยคีโมดื้อยา ต้องเปลี่ยนมาฉายแสง คิดอะไร รู้สึกยังไง
กังวล ทุกๆ ครั้งที่เกิดการเปลี่ยนแปลง เรากังวลและกลัวตลอด เราสร้างภาพในจินตนาการขึ้นมาระดับนึงว่า พอผ่านจุดนี้ไปร่างกายจะเป็นยังไง แต่พอมันเปลี่ยน เราต้องลบทุกอย่าง กลับไปเริ่มใหม่อีกครั้ง ใจที่เคยสู้ๆ ก็เหี่ยว ต้องกลับมาปรับตัวใหม่อีกรอบกับสิ่งที่ไม่เคยเจอ หมอก็พูดว่า ถ้าฉายแสงครบแล้วไม่ได้ผล อาจกลับไปทำคีโมอีกครั้ง แต่เราคุยกับแม่ว่าไม่อยากกลับไปคีโมแล้ว มันทำร้ายร่างกายเยอะ อาจลองไปสายทางเลือกพวกธรรมชาติบำบัด
ระหว่างการรักษาตัว สถานการณ์ในบ้านเป็นยังไงบ้าง
แม่ต้องดูแลเต็มเวลา ดูแลทุกๆ อย่างจนกลายเป็นความเครียด บางครั้งเผลอระบายอารมณ์ใส่ เขาทำอาหารให้แล้วเราไม่กินหรือกินน้อย เขาก็พูดว่า “อยากตายเหรอถึงไม่กิน” เป็นแม่ที่ไม่ได้แสดงออกว่า “กินเถอะลูก” แต่กลายเป็น “ไม่กินก็ไม่ต้องกิน!”
เรารู้ว่าเขาเป็นห่วง เขารักเรา แต่อีกด้านก็รู้สึกว่า เขาหวังอะไรในตัวเราเหมือนกัน คือหวังว่าลูกจะหายป่วยแล้วกลับมาดูแลเขาได้ แม่ไม่อยากเห็นเราตายก่อน แล้วช่วงที่ผ่านมาเขาทำงานน้อยลง ค่อนข้างเครียดเรื่องเงินด้วย เราไม่มีเงินให้เหมือนตอนทำงานอีก
แม่ทำงานอะไร
เย็บผ้า รับจ้างตัดชุดให้ลูกค้าประจำ ช่วงที่ผ่านมาเลยต้องใช้เงินเก็บ
นอกจากเรื่องคำพูด แม่ทำอะไรอีกบ้าง
แม่พาไปทำบุญ บอกให้สวดมนต์ ที่บ้านบ้าง ที่วัดบ้าง เราก็ทำให้เห็นว่าทำ แต่ในใจคิดเรื่องอื่น (หัวเราะ) มันไม่อินอะ ช่วงนึงเขาไปเจอแม่หมอที่แนะนำให้ซื้อพระไปถวายวัด ช่วงนั้นเลยเสียเงินเยอะ หลังจากนั้นไปเจอพระรูปนึงบอกว่า อย่าไปเสียเงินเสียเวลาให้กับอะไรแบบนี้เลย คิดดีทำดีก็พอ เลยไม่เสียเงินให้กับอะไรแบบนี้แล้ว แต่ในใจเขายังธรรมะอยู่ ยังเชื่ออยู่ว่าการสวดมนต์จะดีขึ้น คุยกับก้อนมะเร็งดีๆ มันจะได้ไม่เกลียดเรา
บ้านเราจะมีแค่มอเตอร์ไซค์ เวลาแม่จะพาเราไปทำบุญ ก็ขี่พาไปถึงวัดเลย ฝุ่นควันมันก็เยอะ แต่เวลาที่เราอยากออกไปข้างนอก ไปสวน ไปห้าง เขาก็ไม่อยากให้เราไป การออกไปข้างนอกมีความเสี่ยงอยู่แล้ว แต่เขาลืมไปว่าออกไปวัดมันก็เสี่ยงเหมือนกัน บางทีมากกว่าไปห้างด้วยเพราะมีควันธูปอะไรเต็มไปหมด
ในมุมดีๆ ล่ะ หลายเดือนที่ผ่านมา คุณเห็นอะไรบ้าง
เขาทุ่มเทเพื่อเราจริงๆ อยากให้เราหายจริงๆ เมื่อก่อนแม่ไม่ทำอาหาร ทำน้อยมาก นับครั้งได้เลย แต่ตอนนี้เขาทำกับข้าวให้สามมื้อ ทำตามคำแนะนำของโรงพยาบาล บางวันยอมให้เรากินตามใจบ้าง ครั้งนึงแม่ซื้อปลาเก๋ามา แพงมาก บอกว่ากิโลละ 700 บาท เอามาทำข้าวต้มให้ ระหว่างที่ต้มก็มีกลิ่น เราบอกว่ามันเหม็นเหมือนผ้าขี้ริ้วแช่น้ำสามวัน แม่ก็ด่าเลย “โหว อุตส่าห์ซื้อมาตั้งแพง มึงไม่กินแล้วยังพูดดูถูกอีกเหรอ” แต่ด่าแบบขำๆ นะ หลังจากนั้นเขาจำขึ้นใจเลย ผ้าขี้ริ้วแช่น้ำสามวัน แล้วเล่าให้ทุกคนฟัง (หัวเราะ)
คุณก็พูดไม่ดีกับแม่เหมือนกัน
ใช่ บางทีเราก็มีอารมณ์กับเขาบ้าง แต่หลังๆ พยายามจะเถียงน้อยลง
มีเรื่องดีๆ เรื่องอื่นอีกไหม
เวลาไปโรงพยาบาล แม่อยู่เฝ้าตลอดเลย ห้องรวมที่เฝ้าไม่ได้ก็ต้องไป-กลับ เวลาเราบอกว่าอยู่ต่ออีกแป๊ปนึงได้ไหม เขาก็อยู่ พูดแล้วจะร้อง (เงียบ…น้ำตาไหล) พอเห็นว่าเขาดูแลเรามากๆ ก็สัมผัสได้ถึงความรักของแม่จริงๆ ถึงเขาจะแสดงออกต่างจากแม่คนอื่น เขารักเรา แต่ก็ด่าด้วย เคยได้ยินคนพูดว่า ‘เราเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ ต้องเปลี่ยนตัวเอง’
เราเริ่มพยายามทำความเข้าใจแม่มากขึ้น แต่เวลาที่เขาพูดอะไรไม่ดี เราก็ยังรู้สึกนะ ไม่ใช่ว่าชินชา แต่พยายามเข้าใจ พยายามไม่เก็บมาคิดให้มากที่สุด เขาเป็นห่วง แต่แสดงความหวังดีแบบแปลกๆ ออกมา
พอเราอารมณ์นิ่งๆ ก็ไม่มองแค่คำพูด แต่มองความหวังดี
ใช่ เรารู้สึกว่า ไม่มีใครทำให้เราได้เท่าแม่จริงๆ เขาทุ่มสุดตัวจริงๆ
มีเรื่องอื่นอีกไหม
ไม่มีแล้ว (หัวเราะ) แค่เรื่องทำอาหารก็ที่สุดแล้ว เพราะที่ผ่านมาแม่ไม่ทำกับข้าวเลย แล้วเขาเหม็นทุกครั้งที่ทำกับข้าว แค่นั้นก็ชัดเจนแล้ว จากคนที่เกลียดการทำกับข้าวแต่ต้องทำกับข้าวเพื่อลูก แล้วการที่เขาแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะอยากดูแลเราให้เต็มที่ เป็นอะไรที่ชัดเจนมากๆ แล้ว
เวลาเปิดโซเชียลมีเดียแล้วเห็นเพื่อนๆ ใช้ชีวิตได้ปกติ ส่งผลต่อความรู้สึกอะไรไหม
บางครั้งเห็นเพื่อนลงรูปในโซเชียลก็รู้สึกแบบ เราเคยอยู่ในจุดที่ไปกับเพื่อนได้ แต่พอป่วยต้องอยู่บ้าน ไปไหนไม่ได้ บางทีก็เศร้านะ อยากเจอเพื่อน ไปกินอะไรอร่อยๆ เราเป็นคนอยู่เพื่อกินเนอะ (ยิ้ม) ก็อยากไปกินอะไรอร่อยๆ มีความสุขเหมือนเดิม
คงวาดรูปได้น้อยลงด้วย
น้อยลง ร่างกายเพลีย หัวสมองไม่ปลอดโปร่ง ไม่มีอารมณ์คิดจินตนาการอะไร เวลาเห็นคนอื่นวาดรูป เห็นไอจีตัวเองไม่เคลื่อนไหวมานาน เราจะรู้สึกว่า… น่าจะวาดรูปได้แล้วนะ รู้สึกแย่ว่าทำไมลืมสิ่งที่รักไป หรือเราไม่รักมันจริงๆ มันมีความสับสนเล็กๆ น้อยๆ บางช่วงเราไม่มีแรง บางช่วงก็สำออย บางช่วงขี้เกียจ เลยไม่ได้เริ่มสักที
คำถามว่าตกลงแล้วชอบจริงๆ หรือเปล่า ได้คำตอบว่าอะไร
ยังชอบอยู่ เวลาที่วาด เรามีสมาธิจริงๆ ทำอย่างอื่นไม่ยาวนานเท่าการวาดรูป เรายังชอบที่จะอยู่กับมัน
คนเคยทำอะไรได้ วันนึงทำไม่ได้แล้ว คุณคุยกับตัวเองยังไง
อดทน พยายามหาทางระบาย ร้องไห้บ้าง คุยกับเพื่อน ไม่ก็ทำอย่างอื่นไปเลย เช่น ดูซีรีส์ เคยคิดว่าถ้าไม่เล่าให้เพื่อนฟัง ความรู้สึกแบบนี้จะหายไปเอง แต่พอไม่เล่า มันก็ยังอยู่ หลังๆ เลยเริ่มพูดไปให้หมดเลย
เล่าเรื่องอะไรบ้าง
เล่าเรื่องร่างกาย เล่าเรื่องความน้อยใจเพื่อนให้เพื่อนอีกคนฟัง เล่าเรื่องแม่
เวลาคุยกับเพื่อน คำพูดแบบไหนที่ทำให้รู้สึกดีขึ้น
การถามต่อว่า “เป็นยังไงนะ” เหมือนเขาอยากรู้เรื่องของเรามากขึ้น สนใจว่าเป็นอะไรจริงๆ บางคนที่เราบ่นไปแล้วเขาบอกว่า “สู้ๆ นะ” ก็จะแบบ..
คำๆ นี้มีปัญหายังไง
มันก็ดีแหละ เขาต้องการให้กำลังใจ แต่มันเหมือน.. เรารู้สึกลึกๆ ว่าเขาไม่ได้สนใจจริงๆ ไม่ได้อยากรู้ว่าเราเจ็บปวดยังไงจริงๆ
ถ้าเพื่อนสักคนมาบ่นระบายความทุกข์ คนที่คุยด้วยควรตอบกลับยังไง
อย่างของเราคืออยากให้ถามต่อว่ามันเจ็บปวดตรงไหน ยังไง โรคที่เป็นมันขนาดไหน เราจะรู้สึกดีที่ได้เล่า มันทำให้สบายใจนะ
เวลาอ่านบทสัมภาษณ์คนเป็นมะเร็งมักมี 2 ทางคือ คนที่หายแล้วแล้วมาเล่าประสบการณ์ กับคนอาการหนักมากๆ มาแชร์ว่าวางใจกับความตายยังไง ทั้งสองทางนี้ไม่ตรงกับคุณเลย คุณกึ่งมีความหวัง กึ่งน่ากังวล เลยอยากรู้ว่าแต่ละวันของคุณตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกยังไง
แค่ตื่นมาแล้วหายใจได้ก็โอเค รู้สึกแบบนี้เลย คืนนี้อยากนอนให้หลับแล้วถ้าตื่นมามีอาการดีขึ้น… รู้สึกดีแล้ว แค่ไม่มีอะไรแย่ลงก็รู้สึกดี
ย้อนไปตอนใกล้เรียนจบปริญญาตรี เคยคิดไหมว่ามาอยากทำอาชีพอะไร
ตั้งแต่เข้าไปเรียนปีหนึ่ง เราเริ่มวาดรูปทำเป็นโปสการ์ดแล้วขายได้ มันสะสมมาเรื่อยๆ ว่าเราอยากขายงานได้จากการวาดรูป หลังจากนั้นก็ทำสินค้าต่างๆ ของตัวเองขึ้นมา
สร้างโปรดักส์จากคาแรกเตอร์ที่สร้างขึ้นมาเหรอ
เราอยากเป็นนักวาด ช่วงนี้มีวาด portrait ตามที่ลูกค้าต้องการบ้าง แต่เราไปโรงพยาบาลบ่อย เลยไม่ได้รับวาดมากเท่าไร หรือก่อนเราป่วยสักพัก เคยมีเอเจนซี่ที่ดูแลศิลปินติดต่อมาที่เพจ (พิมพ์พาพ์) เขาต้องการเอางานของเราไปผลิตเป็นสินค้า เพื่อโปรโมตที่จีนและไต้หวัน รวมไปถึงประเทศอื่นๆ ในเครือ จนต้นปีนี้ เขาติดต่อมาว่าไต้หวันมีงานเดือนเมษายน จะให้บูธเราด้วย ทีแรกตั้งใจว่าจะไป แต่พอรู้ว่าตัวเองป่วย เลยได้แค่ส่งของไปทางไปรษณีย์ เช่น เสื้อเชิ้ต ชุดเดรส และโปสการ์ด ทางเขาก็เอาไฟล์ภาพไปผลิตเป็นของ เช่น กระเป๋าใส่ดินสอ กระจกพกพา เทป (masking tape)
ผลตอบรับเป็นไง
เขาไม่ได้บอกว่าเป็นยังไง แต่ของที่เราส่งไปก็ขายหมด ตอนขายในเมืองไทยขายไม่ได้ ที่นั่นขายหมดเลย ส่วนของที่เขาผลิตจะเป็นล็อตเยอะๆ เลยยังไม่หมด หลังจากนั้นเขาเอาไปขายที่ไหนก็ส่งข่าวบอก
เวลาเห็นคนซื้อ คนใช้สินค้าที่มีภาพวาดของ ‘พิมพ์พาพ์’ รู้สึกยังไง
ดีใจ (เสียงมีความสุข) รู้สึกภูมิใจ มันมีคนสนใจงานเรานะ ยิ่งกว่าตอนที่เห็นงานบนกระดาษอีก ถ้าชอบงานของใครสักคน เราก็อยากใช้ อยากใช้แบรนด์นี้เพราะมีการ์ตูนที่ชอบ
ตอนนี้ยังอยากทำอาชีพนั้นอยู่หรือเปล่า
ยังอยาก แต่เบาบางไป เพราะเราไม่ค่อยได้ทำอะไร
คิดว่าจะกลับมาวาดภาพอีกครั้งตอนไหน
เมื่อไม่มีความกังวลเรื่องการป่วย ไม่กังวลว่าต้องเจอเรื่องเครียด ตอนนี้เลยมีเป้าหมายว่าอยากหายจริงๆ ก่อน อยากให้เหมือนตอนป่วยแรกๆ เพราะไม่รู้สึกว่าป่วยมาก มีแรงทำนู่นทำนี่ แต่ตอนนี้มันเจ็บปวด เลยเหมือนมีข้ออ้างในใจว่ายังไม่อยากเริ่ม
ถ้าวันนึงหมอพูดว่า คุณมีเวลาอยู่ในโลกนี้แค่สามเดือนหกเดือน คุณจะรู้สึกยังไง
เราไม่เชื่อ (ตอบเร็ว) เพราะเราไม่คิดว่าตัวเองอาการแย่ขนาดนั้น แต่ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ เราอาจจะทำทุกวิถีทางให้ตัวเองอยู่ต่อ ต้องลองทำทุกทางก่อน
คุณเตรียมตัวเตรียมใจเรื่องความตายมากน้อยแค่ไหน
ไม่มีความคิดนั้น แต่ได้เจอคนไข้อื่นๆ มีคนหนึ่งอายุสักสามสิบเป็นลูคีเมีย เขาวางแผนงานศพของตัวเองไว้แล้วนะ ไม่เอาพวงหรีด แต่ใช้ช้อนมาทำพวงหรีดแทน เราเลยเริ่มรู้สึกว่าควรวางแผนได้แล้วเหมือนกัน
อยากให้งานศพตัวเองเป็นยังไง
เคยคิดว่าจะไม่เอาดอกไม้สด เพราะเดี๋ยวก็เหี่ยว อยากให้เป็นดอกไม้ปลอมหรือดอกไม้รีไซเคิล ไม่ต้องใช้พลาสติกเยอะเพราะเดี๋ยวก็ทิ้ง เคยมีความคิดเรื่องดอกไม้ในงานศพตัวเอง และอยากให้มีรูปวาดของเราตัวเองอยู่ในงาน รูปอะไรก็ได้ แล้วเราไม่ชอบบรรยากาศเศร้าๆ เพราะทุกครั้งที่เราไปงานศพคนอื่น เราไม่ได้เศร้ามาก เพราะรู้สึกว่าดีแล้วที่เขาจากไป งานศพคือการระลึกถึงใครคนหนึ่ง ซึ่งมันไม่ควรเศร้ามาก
แล้วถ้าวันรุ่งขึ้นหมอบอกว่า คุณหายจากการเป็นมะเร็งแล้ว อยากทำอะไร
โอ้ยยย… อยากกินส้มตำมากเลย อยากกินตำปูปลาร้า เอาพริกสามเม็ดพอ เพราะกินเผ็ดไม่ค่อยได้ แต่ขอกุ้งสดด้วย ลาบปลาดุก และกินชานมไข่มุก ตั้งแต่ป่วย เราได้กินส้มตำนะ แต่เป็นส้มตำสุขภาพดี ไม่มีปลาร้า ไม่เผ็ด มีเส้นมะละกอ และมะเขือเทศที่แม่พยายามล้างให้สะอาด เพราะจริงๆ เค้าไม่ให้กิน ความหวานก็ใช้น้ำผึ้ง รสชาติเลยไม่สุด มันพอถูไถ แต่ไม่ใช่น้ำดำๆ แบบที่เราต้องการ
สมมุติว่าช่วงเช้าไปโรงพยาบาล ช่วงบ่ายกินส้มตำ วันต่อมาอยากไปไหน
จริงๆ ไม่มีสถานที่ในกรุงเทพฯ ที่อยากไป ถ้าใกล้ๆ คงไปแค่สยาม ไปเดินเล่นสไตล์วัยรุ่น อยากไปลิโด้ แต่มันปิดไปแล้ว ที่ผ่านมาไปไหนต้องใส่มาร์ก มันอึดอัด ถ้าไปต่างประเทศ เราอยากไปเวียดนาม เกาหลี ญี่ปุ่น อยากไปตามแผนที่เคยวางไว้ เราเคยวางแผนว่าเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาจะไปเกาหลี ที่นั่นมีงาน Illustration Fair รวมนักวาดภาพประกอบนักออกแบบอยู่ในนั้น เก็บตังค์เตรียมไว้แล้ว แต่ไม่ได้ไปเพราะมาป่วยก่อน
มองว่าตัวเองก่อนป่วย-หลังป่วย เปลี่ยนแปลงไปยังไง
เมื่อก่อนเคยคิดว่า ตายก็ไม่เป็นไร ถ้าใช้ชีวิตสุดแล้ว แต่พอถึงจุดหนึ่ง เรามองรอบตัวมากขึ้น ชีวิตยังมีแม่ มีเพื่อนที่เป็นห่วง เราคิดถึงพวกเขามากขึ้น เลยเริ่มไม่อยากตายแล้ว
คนรอบๆ ตัวเป็นกำลังใจให้เราอยากหาย
พูดเรื่องนี้จะเซนซิทีฟนิดนึง (เงียบ) เราอยากมีเวลาอยู่กับพวกเขา ไปกินข้าว เจออะไรที่อยากเจอ เรายังอยากค้นหาชีวิต มีอะไรที่อยากเรียนรู้แต่ยังไม่ได้เจอ ความรู้สึกเหมือนตอนดูหนัง ฟรีแลนซ์ (ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ) ชีวิตไม่ได้คิดถึงคนรอบข้าง แต่พอป่วยเลยเห็นว่ามีคนรอบข้างอยู่จริง ยิ่งป่วยเรายิ่งเห็นว่าแม่เต็มที่ขนาดไหน คิดกลับกันนะ ถ้าแม่ป่วยเป็นอัมพาต เราจะยังมีโอกาสได้ดูแลเขาไหม ถึงเวลาที่เขาแก่ เราก็อยากดูแล รักกัน ทะเลาะกัน แต่ก็อยู่ด้วยกัน