ความรักเป็นเรื่องน่าเขิน เป็นเรื่องที่ยุ่งเหยิงทั้งกับร่างกายและหัวใจ
เขารักเราแค่ไหนนะ เราจะแสดงความรักต่อกันแค่ไหนดี ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร
ความรักและคนรักมีภาษาของตัวเอง จริงอยู่ที่แต่ละคนแต่ละคู่ก็มีวิธีสื่อสารในรูปแบบที่เฉพาะตัว แต่เวลาที่คู่รักอยู่ด้วยกันเราก็มักจะมีการแสดงท่าทีปฏิสัมพันธ์กัน ‘อย่างคนรัก’ เป็นการสื่อสารถึงความรู้สึกในใจที่หลายครั้งไม่ต้องมีคำพูดมาเกี่ยวข้อง เราเดินเคียงกัน เขินก็เขินแต่ก็สุดท้ายก็เอื้อมมือเข้าหากัน ฝ่ามือต่อฝ่ามือ แนบสนิท ส่งผ่านความร้อนและชีพจรของสองคนที่เต้นไปพร้อมกัน นึกถึงห้วงขณะที่อยู่ด้วยกันกลับเผลอมองอีกฝ่ายอย่างเนิ่นนาน รอยยิ้มที่อบอุ่นคลี่กระจายอยู่ในอากาศอย่างไม่รู้จบ
ร่างกายกับหัวใจใกล้กันกว่าที่คิด คนรักและความรักถึงจะมีรูปแบบเฉพาะตัว มีการแสดงออกทางความรู้สึกและความสัมพันธ์ที่แตกต่างกันไปตามแต่ละคู่ การแสดงความรักย่อมได้รับผลกระทบจากวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน คนบางชาติอาจจะใกล้ชิดถึงเนื้อถึงตัวกว่าชาติอื่น หรือคู่รักบางคู่อาจแสดงความใกล้ชิดต่อกันน้อยก็ไม่ได้หมายความว่าจะรักกันน้อยกว่าคนอื่น
แต่ก็นั่นแหละ ความรักบางทีก็มีภาษากลางที่สื่อสารความรู้สึกระดับร่างกายออกมา ภาษากายเหล่านี้อาจพอเป็นข้อมูลที่ช่วยให้เรารับรู้ว่าห้วงรักของเรานั้นมันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมั้ยนะ เราจะแสดงออกหรือตอบสนองยังไงดี และสำหรับชาวนกคนโสด เรียนรู้ท่าไม้ตายเหล่านี้ไว้ทลายความนกของตัวเองซะ!
1. เดินจูงมือ
การเดินจูงมือมีนัยทางจิตวิทยาและวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง บางวัฒนธรรมไม่ว่าจะเพศเดียวกันหรือต่างเพศก็เดินจูงมือกันเป็นเรื่องปกติ บางวัฒนธรรมก็อาจจะน้อยหน่อย การเดินจูงมือกันเป็นการเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ผ่านการสัมผัสและความใกล้ชิด นอกจากมนุษย์แล้วในสิ่งมีชีวิตอื่นก็พบการจูงมือเพื่อย้ำสถานะความสัมพันธ์ผ่านการสัมผัสของร่างกาย เราพบการจูงงวง จูงปีก จูงขา เช่น ในช้างและนากทะเล มันสัมผัสกันเพื่อเชื่อมต่อตัวเองกับเพื่อนร่วมสายพันธุ์ ในมนุษย์ การเดินจูงมือให้ความอบอุ่น ความปลอดภัย และการสนับสนุนซึ่งกันและกัน นักวิจัยพบว่าขณะที่เราจูงมือคนอื่นเอาไว้ สมองของเราจะทำงานง่ายขึ้นนิดหน่อยในการรับมือกับเรื่องต่างๆ
2. เลิกคิ้วระหว่างบทสนทนากับสายตาที่ไม่อาจละได้
เป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะเผลอมองอะไรที่สนใจใส่ใจจนลืมละสายตา ถ้าเราเกิดโมเมนต์แบบที่เรามองอีกฝ่ายหรืออีกฝ่ายมองเราค้างเกินสามวินาทีแบบไม่ได้ตั้งใจ การที่จะสนใจจนเผลอมองกันไปขนาดนั้นมันก็ย่อมแปลว่าความรู้สึกข้างในย่อมไม่ธรรมดา นอกจากนี้การแสดงถึงความสนใจต่ออีกฝ่าย ถ้าคิ้วของเราหรือเขาเลิกขึ้นก็อาจจะตีความได้ว่ากำลังตั้งอกตั้งใจและสนใจอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง แต่จริงๆ ถ้าเขินมากๆ หรือสมองกำลังทำงานหนัก การหลบตาก็อาจจะเกิดขึ้นได้เหมือนกัน อันนี้ก็แล้วแต่
3. ไหล่ขยับไปมา
เรามักพูดถึงดวงตา รอยยิ้ม ใบหน้า การกอดอก หรือการไขว้ขาไปมาเวลาพูดถึงภาษากาย แต่หัวไหล่ในฐานะกล้ามเนื้อกลมๆ ที่เคลื่อนหมุนไปมาได้ เป็นพื้นที่ที่เอาไว้ให้แก้มนุ่มๆ ได้พักพิงนี้ก็สามารถสื่อความหมายจากใจได้ไม่แพ้ร่างกายส่วนอื่นๆ
หัวไหล่เป็นส่วนของร่างกายที่อ่อนไหวต่ออารมณ์เป็นพิเศษ เป็นส่วนที่มีเส้นประสาทเชื่อมต่อกับความรู้สึกและการแสดงอารมณ์อย่างลึก นึกถึงเวลาที่เราหัวเราะหรือร้องไห้ หัวไหล่ของเรามักจะเป็นส่วนที่สั่นสะเทือนจากความรู้สึกที่ถาโถมออกมา ดังนั้นลองใช้หรือสังเกตหัวไหล่ที่หมุนเข้าและเปิดออกในขณะที่มีปฏิสัมพันธ์กัน อาการหมุนและขยับไปมาของหัวไหล่สามารถอ่านได้ถึงอาการของความรัก ลองคิดถึงการที่คู่เดทหรือคนรักของเรายืดตัว ผายไหล่เข้าออกตอนที่คุยกับเรา แค่นี้ก็รู้สึกหัวใจป้อแป้ขึ้นมาได้ทันที
4. เอียงคอเล็กน้อย
คนๆ นี้กำลังสนใจเราหรือสิ่งที่เรากำลังพูดถึงแค่ไหน ในภาวการณ์ปกติเราอาจรู้สึกว่าการเอียงคออาจจะหมายถึงความสงสัยแบบกวนตีนนิดๆ แบบ…เฮ้ยเก๋าเหรอ แต่ในความสัมพันธ์ การขยับและเอียงคอเล็กน้อยในขณะที่บทสนทนากำลังดำเนินไปเป็นสัญญาณของความสนใจใคร่รู้และความสนอกสนใจ นึกภาพคู่สนทนาของเราที่เอียงคอฟังเราอย่างสนใจ นอกจากจะเป็นการแสดงความสนใจแล้วยังดึงความสนใจของเราไปยังต้นคอและกระดูกไหปลาร้าที่ชัดเจนขึ้นมาจากขยับตัว ยิ่งถ้าอีกฝ่ายเอียงคอพร้อมกับสายตานุ่มๆ ละก็ โอ๊ย ถ้าไม่อ่อย ไม่ sexy ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว!
5. ทำท่าทางเหมือนๆ กัน
เคยมั้ยเวลาที่อยู่ด้วยกันแล้วเราทำท่าเหมือนกับคนนั้น หรืออีกฝ่ายทำท่าทางคล้ายเราโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่าเราทั้งคู่เป็นกระจกส่องซึ่งกันและกัน ในทางภาษากายอาการดังกล่าวแสดงอิทธิพลของคนทั้งสองที่ถ่ายทอดและสื่อถึงกันและกัน พอเรายื่นมือขวาออกมา อีกฝ่ายก็ทำด้วย เราจิบน้ำ อีกฝ่ายก็จิบด้วย นักสังคมวิทยาเรียกอาการนั้นว่า ‘isopraxism’ เป็นอาการที่คนสองคนมีพฤติกรรมหรือแสดงอาการต่างๆ พ้องและสอดคล้องกัน
อาการดังกล่าวเป็นอาการที่เกิดขึ้นอัตโนมัติเมื่อคู่รักตกหลุมรักซึ่งกันและกัน เป็นอาการทางกายที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของทั้งสองฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้ การแสดงท่าทีพ้องกันเป็นองค์ประกอบสำคัญในการจีบกันที่พบได้ทั้งในมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เช่น นกเป็ดน้ำ นกเพศเมียจะว่ายน้ำไปข้างๆ ตัวผู้และโผกหัวจนตัวผู้ทำท่าตามมัน ในการเกี้ยวพาราสี ทั้งสองจะสลับกันนำและเลียนแบบตามจนกระทั่งตกร่องปล่องชิ้นกันในที่สุด
6. สัมผัสแผ่วเบา
การที่เราเอื้อมมือไปสัมผัสใครซักคนย่อมหมายถึงความรู้สึกที่แรงกล้าถึงคนๆ นั้น ปลายนิ้วเป็นอวัยวะที่เต็มไปด้วยเส้นประสาท เป็นส่วนของร่างกายที่อ่อนไหวต่อความรู้สึก เป็นส่วนที่เราใช้สัมผัส รับรู้ และใช้งานอย่างมากมายในชีวิตประจำวัน สัมผัสที่แผ่วเบาของปลายนิ้วบนผิวเนื้อเป็นการแสดงออกถึงความปรารถนาและความลึกซึ้งต่อกัน การแตะสัมผัสลงบนร่างกายอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบาไม่ว่าจะเป็นที่ไหล่ แผ่นหลัง หรือต้นแขนเป็นการถ่ายทอดความรัก ความอบอุ่น และการสนับสนุนผ่านผิวกายที่ต้องกัน
การสัมผัสนี้ก็ใช่ว่าจะซี้ซั้วไปสัมผัสอะไรเรื่อยเปื่อย แต่ต้องเกิดจากสัญญาณที่เหมาะสมและความยินยอมพร้อมใจจากฝ่ายที่ถูกสัมผัสด้วย ถ้าเจอกันแป๊บๆ หรือไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วจะมาสัมผัสกันมั่วซั่ว อันนั้นจะเข้าข่ายน่าขยะแขยงหรือฉวยโอกาส พอสัมผัสแผ่วเบาไปปุ๊บระวังจะโดนฝ่ามือหรือฝ่าเท้าสัมผัสกลับแบบแรงๆ ซักทีสองทีเพื่อรักษาระยะห่างของสองเรา
7. รอยยิ้มพิมพ์ใจ
ไม่มีอะไรเปิดเผยความรู้สึกง่ายดายเท่ารอยยิ้ม เคยอยู่กับใครแล้วเราสามารถเผยยิ้มออกมาเหมือนคนโง่ๆ หรือยิ้มได้เด็กน้อยคนหนึ่งที่ไม่ต้องคิดอะไรไหม ถ้าเราเจอใครแล้วต่างฝ่ายต่างโยนรอยยิ้มที่อบอุ่นใส่กัน เป็นรอยยิ้มที่จริงใจไม่ต้องควบคุมให้มากว่าฉันต้องดูดีหรือต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ รอยยิ้มที่จริงใจแบบที่ไม่ต้องดูดีเหมือนในโฆษณายาสีฟัน ยิ้มจนเหงือกบานตีนกาแตก เป็นรอยยิ้มที่มาจากหัวใจและไม่ต้องมีการควบคุมใดๆ ถ้าเราอยู่กับใครแล้วความรู้สึกในหัวใจถ่ายเทออกมาสู่กล้ามเนื้อบนใบหน้าได้ตามธรรมชาติ (คือพิมพ์ออกมาจากใจเรา และพิมพ์เข้าไปในความรู้สึกอีกฝ่าย) แค่นี้แหละเนอะคือสัญญาณที่ดีของความรักของทั้งสอง
อ้างอิงข้อมูลจาก