วันนี้จะทาเล็บสีอะไรดีนะ?
ทุกวันนี้การทาเล็บเป็นมากกว่าความสวยงาม เพราะมันกลายเป็นศิลปะและวิธีแสดงตัวตนของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นเล็บเจลสีเงาวับ เล็บลายสุดชิค หรือกระทั่งเล็บอะคริลิกสุดอลังการ นอกจากนี้ สีเล็บยังสามารถบ่งบอกถึงสไตล์ แถมยังเป็นเครื่องมือเพิ่มความมั่นใจส่วนบุคคลได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ศิลปะการทาเล็บไม่ได้เพิ่งมีหรือเป็นเทรนด์สมัยใหม่แต่อย่างใด เพราะหากย้อนเวลากลับไปเมื่อหลายพันปีก่อน การทาเล็บ ก็มีปรากฏให้เราได้เห็นกันมาเนิ่นนานแล้ว ซึ่งในแต่ละพื้นที่และช่วงเวลาต่างก็ผูกโยงการทาเล็บและวัฒนธรรมธรรมอันแตกต่างกันออกไป
เราเลยอยากพาทุกคนย้อนเวลากลับไปในอดีต เพื่อไปดูกันว่า แต่ละวัฒนธรรมในประวัติศาสตร์ใช้การทาเล็บเพื่อเป็นสัญลักษณ์หรือบ่งบอกอะไรกันบ้าง และการแต่งแต้มสีสันบนปลายนิ้วมือของเรามีความสำคัญต่อแต่ละวัฒนธรรมอย่างไร
วัฒนธรรมอียิปต์โบราณ เพื่อบ่งบอกสถานะและชนชั้น
ในยุคสมัยที่ชนชั้นและสถานะทางสังคมถูกจัดแบ่งกันอย่างชัดเจน ผู้คนจะรู้กันได้ไงว่าใครเป็นใคร แล้วแต่ละคนอยู่ชนชั้นไหนบ้าง?
แต่ความสับสนนั้นจะไม่เกิดขึ้นกับชาวอียิปต์โบราณอย่างแน่นอน เพราะพวกเขาแบ่งแยกชนชั้นกันด้วยสีเล็บมือ ผู้คนที่มาจากต่างชนชั้นกัน ก็จะมีสีเล็บไม่เหมือนกัน ฝ่ายชนชั้นสูงมักนิยมทาเล็บด้วยสีแดงเข้ม ซึ่งเป็นสีที่แสดงถึงอำนาจและยศถาบรรดาศักดิ์สำหรับชาวอียิปต์โบราณ ส่วนชนชั้นล่างก็จะถูกบังคับให้ทาเล็บด้วยสีที่ซีดเซียวกว่า และห้ามไม่ให้ทาสีเข้มเหมือนกับชนชั้นสูง
วัตถุดิบหลักที่ชาวอียิปต์โบราณนิยมนำมาใช้เป็นสีสำหรับทาเล็บ คือ เฮนน่า (Henna) สารสกัดจากพืชที่ใช้ชื่อเรียกเดียวกัน มันมักถูกนำมาใช้เป็นสีย้อมสิ่งของต่างๆ ซึ่งรวมไปถึงเล็บของผู้คนด้วย โดยผู้คนจะทำการนำนิ้วจุ่มลงไปในเฮนน่า เพื่อให้มันเคลือบเฉพาะบริเวณของเล็บ
วัฒนธรรมจีนโบราณ คือสัญลักษณ์ของชนชั้นสูง
ย้อนกลับไปราวๆ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล ในบริเวณแถบลุ่มแม่น้ำฮวงโห อันเป็นสถานที่ตั้งของอารยธรรมจีนโบราณ นักประวัติศาสตร์เชื่อกันว่า น้ำยาทาเล็บ ถือกำเนิดขึ้นมาในช่วงเวลาดังกล่าว โดยมีส่วนผสมหลักเป็นไข่ขาว เจลาติน ขี้ผึ้ง และสีจากกลีบดอกไม้ชนิดต่างๆ
หญิงสาวชาวจีนผู้เป็นชนชั้นสูง มักจะไว้เล็บยาวและนำเล็บมาจุ่มลงในส่วนผสมข้างต้น เพื่อให้เล็บมีความแวววาวและมีสีสันสวยสดงดงาม และในบางครั้งอาจมีการนำเล็บปลอมที่ตกแต่งอย่างประณีตมาสวมทับอีกชั้น เป็นการบ่งบอกถึงฐานะและความมั่งคั่ง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วผู้หญิงที่จะทำเล็บได้ ก็จะต้องเป็นชนชั้นสูงหรือเหล่าขุนนางในวัง เนื่องจาก ชนชั้นล่างหรือชาวนา คงจะไม่สามารถทำงานกลางทุ่งนาได้อย่างเต็มที่แน่ หากเล็บมีความยาวจนเกินไป ด้วยเหตุนี้ การทาเล็บจึงกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นสูงในจีน
ซึ่งสีเล็บแต่ละสีก็ยังให้นิยามความหมายแตกต่างกันไปด้วยเช่นกัน อาทิ สีแดงเชื่อมโยงกับความโชคดี สีดำหมายถึงความมั่งคั่ง หรือสีเหลืองก็จะเกี่ยวข้องกับความเป็นชนชั้นสูงหรือราชวงศ์ ทั้งนี้ ในบางราชวงศ์ของจีน มีการออกกฎห้ามไม่ให้คนทั่วไปทาเล็บหรือใช้สีร่วมกับราชวงศ์ ถ้าฝ่าฝืนอาจได้รับโทษถึงตายได้เลยทีเดียว
วัฒนธรรมบาบิโลน สำหรับใช้ข่มขวัญคู่ต่อสู้
แม้ในปัจจุบันโลกจะหมุนไปข้างหน้ามากแค่ไหน ก็อาจมีบางคนยังมองว่าการทาเล็บเป็นเรื่องความสวยความงามเฉพาะผู้หญิงอยู่ แต่หากย้อนกลับไปในสมัย อารยธรรมบาบิโลน การทาเล็บกลับไม่ใช่เรื่องของสตรี หากแต่เป็นสีสันสำหรับแต่งแต้มให้แก่เหล่าชายชาติทหาร
โดยบรรดานักรบจากอารยธรรมบาลิโลน มักใช้เวลาก่อนออกรบสักเล็บน้อย เพื่อนำสีจากถ่านและแร่ธาตุจากธรรมชาติ มาตกแต่งบนเล็บมือ เพราะเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมทางศาสนาก่อนออกไปรบ อีกทั้งยังเพื่อบ่งบอกถึงลำดับชั้นทางการทหาร โดยสีดำจะเป็นผู้ที่มียศสูงกว่า นอกจากนี้มันยังเป็นสัญลักษณ์สำหรับการข่มขวัญและสร้างความยำเกรงต่อศัตรูด้วย
วัฒนธรรมวิกตอเรีย ที่ห้ามไม่ให้ผู้หญิงทาเล็บ
ขยับมาดูฝั่งยุโรปกันบ้าง กับช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ยุคสำคัญของอังกฤษ อย่าง ยุควิกตอเรีย ซึ่งเป็นยุคสมัยที่เหล่าผู้หญิงจำต้องอยู่ภายใต้กรอบและจารีตความเป็นกุลสตรี การทาเล็บด้วยสีสันฉูดฉาด จึงถูกมองว่าเป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่งในฐานะกุลสตรี
ด้วยเหตุนี้ เหล่าสตรีในยุคสมัยวิกตอเรีย จึงหันไปเน้นที่การรักษาความสวยงามของตัวเล็บแทน ด้วยการขัดสีฉวีวรรณและตะไบเล็บของตนเองให้เป็นทรงรูปไข่หรืออัลมอนด์ พร้อมเคลือบด้วยน้ำยาเคลือบใสที่ทำมาจาก กัมอาหรับ ไข่ขาว และเจลาติน ทั้งนี้ถ้าจะทาสีเล็บก็ต้องเป็นสีซีดๆ เท่านั้น เพื่อให้เล็บออกมาดูมีสีชมพูของเล็บแท้ ราวกับเป็นสาวสุขภาพดี เนื่องจากผู้หญิงในยุคนี้เชื่อว่า การมีเล็บมือที่สวยงามเป็นธรรมชาติ ถือเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นผู้ดี
วัฒนธรรมอินคา กับการใช้เป็นสัญลักษณ์ของเทพเจ้า
อารยธรรมอินคา อีกหนึ่งอารยธรรมอันรุ่งเรืองแห่งดินแดนลาตินอเมริกา ปรากฏวัฒนธรรมและความเชื่อเกี่ยวกับการทาเล็บด้วยเช่นเดียวกัน โดยนักโบราณคดีค้นพบหลักฐานซึ่งบ่งชี้ให้เห็นว่า ชาวอินคาจะทาเล็บสีขาว พร้อมวาดรูปนกอินทรีสีแดงบนปลายนิ้ว แต่พวกเขาไม่ได้ทาเล็บแบบนี้กันทุกวันนะ จะทาเฉพาะในโอกาสสำคัญๆ เท่านั้น
สำหรับชาวอินคา นกอินทรีเปรียบได้กับพลังแห่งภูมิภาคแอนเดียนและสัตว์ผู้เชื่อมโยงมนุษย์กับเทพเจ้าไว้ด้วยกัน โดยมันเป็นตัวแทนสำคัญระหว่าง โลกใต้พิภพ โลกมนุษย์ และสวรรค์ ซึ่งตามความเชื่อดั้งเดิมของอินคา วิญญาณผู้เสียชีวิตจะถูกพาตัวไปยังโลกหลังความตายอันสงบสุขด้วยปีกของนกอินทรี
วัฒนธรรมสยาม ชนชั้นบ่งบอกได้ด้วยสีเล็บ
ท้ายสุดนี้ ไม่ต้องไปที่ไหนไกล เพราะย้อนกลับไปในอดีตของบ้านเรา ก็มีวัฒนธรรมการทาเล็บเฉกเช่นเดียวกับอารยธรรมอื่นๆ แถมยังมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้วด้วย
ข้อมูลนี้มีที่มาจาก ฟร็องซัว-อ็องรี ตูร์แป็ง (François-Henri Turpin) ผู้เขียนหนังสือ ‘ประวัติศาสตร์แห่งพระราชอาณาจักรสยาม’ ตัวเขาได้บันทึกถึงลักษณะเล็บของชาวกรุงศรีฯ เอาไว้ว่า ผู้ชายจะไว้เล็บให้ยาวคล้ายเขี้ยวเล็บสัตว์ เพื่อจำแนกว่าผู้ชายเหล่านี้เป็นคนชั้นสูง ไม่ใช่พวกทาสหรือชาวนา
ทั้งนี้การไว้เล็บยังสืบทอดต่อกันมาสู่ยุครัตนโกสินทร์ แถมในช่วงเวลาดังกล่าว ยังมีการใช้สีมาแต่งแต้มเล็บเพิ่มด้วย โดย สังฆราชปาลเลกัวซ์ (Jean-Baptiste Pallegoix) บันทึกเรื่องเล็บไว้ใน ‘เล่าเรื่องกรุงสยาม’ ว่า ชายหนุ่มและหญิงสาวผู้เป็นชนชั้นสูงมีอันจะกินจะไว้เล็บยาว และใช้ดอกต้นเทียนมาย้อมเล็บให้เป็นสีแดง ด้วยเหตุนี้เอง การมีเล็บสีแดง จึงถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือแสดงถึงสถานะทางสังคมของชาวสยามมาตั้งแต่โบราณ
อ้างอิงจาก