ย้อนกลับไปตอนที่เรายังเป็นเด็ก เราจินตนาการภาพตัวเองตอนอายุ 30 ไว้ว่าเป็นยังไงกันนะ
ภาพตัวเองในวัย 30 ที่คิดไว้คงจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เป็นเจ้าคนนายคน มีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันสวยเงาวับจอดอยู่ด้วย แต่งงานและมีครอบครัวที่อบอุ่น แต่ตัดภาพมาที่ความเป็นจริง วัย 30 เป็นวัยที่เรายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเราทำอะไรอยู่ ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานเหรอ ขอยิ้มแห้งให้ตัวเอง 1 ที
ไม่แปลกที่เมื่อเรายิ่งอายุมาก ก็ยิ่งสงสัยในตัวเองว่าที่ทำอยู่นี่ดีพอหรือยัง เราเกิดมาเพื่อทำอะไรกันนะ ทำไมชีวิตเราถึงเป็นแบบนี้ เพราะมีงานวิจัย ที่สำรวจความพึงพอใจในชีวิตของผู้คนใน 145 ประเทศ ทั้งประเทศที่พัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนา งานวิจัยค้นพบว่าความพึงพอใจในชีวิตของเราจะเริ่มลดน้อยลงเมื่อเราย่างก้าวเข้าช่วงอายุ 40 ปี ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลของหน้าที่รับผิดชอบที่เพิ่มมากขึ้น ลูกเล็กก็ต้องดูแล พ่อแม่ก็เริ่มแก่เฒ่า ตัวเราเองก็รู้สึกว่ายังไปไม่ถึงไหน แต่ข่าวดีคือช่วงเวลานี้จะอยู่กับเราไม่นาน แล้วเราจะเริ่มกลับมามีความสุขได้อีกครั้ง หรือที่เรียกกันว่ากราฟตัวยูแห่งความสุขนั่นเอง
โลกนี้ไม่ได้มีพื้นที่ให้สำรวจความชอบ
เมื่อระบบการศึกษาของเราไม่ได้มีพื้นที่ให้เราได้สำรวจตัวเองขนาดนั้น เด็กทุกคนถูกคาดหวังให้ต้องเรียนให้จบมหาวิทยาลัยภายในอายุ 22 ปี เรียนจบแล้วก็ต้องหางานทำให้ได้เลยในทันที ใครที่มีช่องว่างไม่ว่าจะด้วยเหตุผลของการไปค้นหาตัวเอง การเลือกเรียนสายใดสายหนึ่งแล้วรู้สึกไม่ชอบขึ้นมาเลยย้ายสาย ก็จะถูกมองว่าเป็นคนที่ ‘ช้า’ กว่าคนอื่น และต้องพยายามมากกว่าคนอื่นเพื่อให้ ‘ไล่ตามทัน’ ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเลยที่จังหวะการก้าวเดินของเรามันเป็นแบบนี้
สำหรับบางคน ยังไม่ทันรู้เลยว่าชอบอะไร เรียนจบมาแบบจำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ รู้ตัวอีกทีชีวิตก็ส่งมาให้ทำงานนี้ จนตอนนี้ทำมาหลายปีก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองไม่ได้ชอบมันขนาดนั้น แต่จะให้เปลี่ยนยังไง เมื่อก้าวมาทางนี้แล้ว มันถอยได้ที่ไหนกัน
อาชีพของเราเป็นสิ่งที่จะอยู่กับเราไปอีกหลักหลายสิบปี ถ้าไม่มีเวลาให้เลือกให้ดี มันก็อาจกลายเป็นความทุกข์ในใจที่กัดกินตัวเราทีละนิดโดยไม่รู้ตัว เราเลยพบเห็นพนักงานบริษัททั่วไปที่เดินทางมาสแกนหน้าเข้าตึกด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ เหมือนอยากตะโกนออกมาว่า “ฉันก็ไม่ได้อยากมาทำงานเฮงซวยนี่สักเท่าไหร่หรอก” แต่อันจะเปลี่ยนสายงานตอนนี้ก็ดูจะเป็นไปไม่ได้ จะเอาอะไรไปเริ่มใหม่กัน ทั้งภาระหน้าที่ที่กองสุม สภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ แล้วสังคมจะมองยังไงถ้าจะเปลี่ยนงานในวัยขนาดนี้ ไหนจะต้องไปสู้กับเด็กจบใหม่ที่เก่งกว่าเราหลายเท่าอีก
เมื่ออยากเริ่มเส้นทางใหม่
ขึ้นชื่อว่า ‘การเปลี่ยนแปลง’ มันน่ากลัวเสมอ แต่เราขอให้กำลังใจว่า การเปลี่ยนสายงานไม่ได้หมายความว่าเราต้องเริ่มต้นจากศูนย์เหมือนเด็กจบใหม่เสมอไป ทักษะที่เราสะสมมาก็สามารถช่วยให้เราไปสู่สายงานใหม่ที่เราไม่เคยคิดถึงมันมาก่อนได้เหมือนกัน เพราะโลกนี้ไม่ได้ต้องการคนที่เก่งแบบลงลึกแค่แบบเดียวอีกต่อไป เป็นเป็ดที่เรียนรู้อะไรได้เร็วก็เป็นที่ต้องการเหมือนกัน ทักษะที่จำเป็นมีอะไรบ้าง พร้อมเรียนรู้มากแค่ไหน อยู่ที่เรานำเสนอตัวของเราเอง
พอรู้แล้วว่าเราต้องการทักษะอะไรเพิ่มอีก ก็ค่อยๆ ลองเพิ่มทักษะนั้น ฝึกฝนในรูปแบบไหนก็ได้ จะเรียนด้วยตัวเอง ลงเรียนรูปแบบคอร์สเพื่อให้ได้ใบประกาศนียบัตรเสริมความแกร่งให้โปรไฟล์ก็เป็นความคิดที่ดี ซึ่งแผนการเหล่านี้เราสามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย ไม่ต้องลาออกมาทำก็ได้ สะสมไปวันละนิดหน่อย สักวันเราก็จะเก่งขึ้นได้เหมือนกัน
แต่ถึงจะอยากเปลี่ยนเส้นทางชีวิตแค่ไหน ภาระที่มีและข้อจำกัดทางการเงินก็อาจทำให้เราต้องพับแผนเก็บใส่กล่อง จังหวะนี้เราอาจต้องมองโลกในแง่ดีขึ้นสักเล็กน้อย ก่อนอื่นอาจเริ่มจากการศึกษาเงินเดือนของงานสายใหม่ที่เราเล็งเอาไว้ ประสบการณ์และทักษะประมาณนี้ เราน่าจะได้เงินเดือนประมาณไหนกันนะ เมื่อสมมติเงินเดือนที่จะได้รับมาแล้ว ลองใช้ชีวิตกับเงินจำนวนนั้นดูสัก 3 เดือนว่าเราสามารถใช้ชีวิตได้ไหม เงินที่มีสามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายจำเป็นได้ทั้งหมดหรือเปล่า มีส่วนไหนที่เราพอจะลดค่าใช้จ่ายลงได้บ้าง
เท่านั้นเราก็น่าจะพอเห็นภาพแล้วว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรด้วยเงินเดือนประมาณนี้ ซึ่งต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนสายกลางทางนั้นคาดเดาไม่ค่อยได้ เราอาจจะมีรายรับน้อยกว่างานปัจจุบันที่ทำอยู่ เพราะเปลี่ยนสายกระทันหัน หรือถ้าโชคดี เราอาจจะมีรายรับเข้ามาตู้ม! จนพลิกชีวิตเลยก็ได้เหมือนกัน
เราทุกคนมีจังหวะชีวิตของตัวเอง
การเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เราสามารถเปรียบเทียบเพื่อประเมินได้ว่าตอนนี้เราอยู่จุดไหนของชีวิตแล้ว แต่บางครั้งการเปรียบเทียบมากเกินไปก็อาจส่งผลเสียกับเราได้ด้วยการทำให้เรารู้สึกน้อยใจว่าคนอื่นเขาไปไกลกันขนาดนั้นแล้ว เรามัวแต่ทำอะไรอยู่ ทำไมยังไม่ประสบความสำเร็จเหมือนคนอื่นเขาอีก แต่แท้จริงแล้วคำว่า ‘ประสบความสำเร็จ’ คืออะไร และควรคว้ามันมาได้ในช่วงอายุเท่าไหร่ ไม่มีใครบอกได้หรอกนอกจากตัวเราเอง
ช่วงวัย 30 ยังนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิต การจะเปลี่ยนเส้นทางชีวิตตอนนี้ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร บางคนตัดสินใจเปลี่ยนสายงานไปทำอย่างอื่นเลย บางคนเลือกเอางานอดิเรกมาทำเป็นอาชีพแทน บางคนเลือกลาออกมาเริ่มธุรกิจส่วนตัว บางคนเลือกไปเรียนสายอาชีพตามความฝันตัวเองวัยเด็ก บางคนเลือกเก็บกระเป๋าไปเริ่มชีวิตใหม่ในต่างแดน เราไม่รู้หรอกว่าข้างหน้าจะมีอะไร แต่ทุกการเปลี่ยนแปลง ถ้าเราคิดให้ถี่ถ้วนดีแล้วว่าสักวันหนึ่งเราจะไม่ต้องมานั่งเสียดายอะไรเลย ก็จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี
การเปลี่ยนเส้นทางชีวิตในวัย 30 ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นหรอก แล้วสักวันเราจะภูมิใจในตัวเองมากจนคิดไม่ออกเลยแหละ ว่าเราเคยกังวลกับการเปลี่ยนแปลงนี้
อ้างอิงจาก