คืนวันศุกร์แบบนี้ เมื่อวานเป็นวันไหว้พระจันทร์ ขนมไหว้พระจันทร์หลายอันลงท้องไปแล้ว หลายอันยังคงอยู่
ลองเงยหน้ามองท้องฟ้า ดวงจันทร์ลอยอยู่ไกลๆ กลางคืนแบบนี้ พระจันทร์ดูจะมีอิทธิพลกับบรรยากาศและความรู้สึกอยู่มากเหมือนกัน เหมือนตำนานจีนอันเป็นที่มาของวันไหว้พระจันทร์ก็ว่าด้วยเรื่องราวตำนานรักของฉางเอ๋อ เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ พระจันทร์ดูจะเกี่ยวข้องกับความรัก เกี่ยวกับห้วงเวลาที่ดูดดื่มหวานซึ้งเป็นพิเศษ
แต่ในขณะเดียวกันเวลาที่เราแหงนหน้ามองดูดวงจันทร์ ท่ามกลางความรู้สึกลึกล้ำทั้งหลาย ดวงจันทร์ก็ส่งความรู้สึกลี้ลับอย่างประหลาดแผ่ออกมาพร้อมๆ กันด้วย
แน่ล่ะ ด้วยความที่ดวงจันทร์เป็นดาวบริวารดวงเดียวของโลก เป็นวัตถุแห่งท้องฟ้าที่โดดเด่นที่สุดยามค่ำคืน และในทางวิทยาศาสตร์ วงจรต่างๆ ของโลกก็สัมพันธ์กับการโคจรใกล้ไกลที่ทำให้เกิดน้ำขึ้นและน้ำลง รวมไปถึงการสังเกตหน้าตาของดวงจากจากข้างขึ้นสู่ข้างแรม อันเป็นสิ่งที่หลายอารยธรรมใช้เพื่อกำหนดวงรอบของกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์(ซึ่งก็ไปสัมพันธ์กับวงรอบของระบบน้ำบนโลกที่ได้อิทธิพลจากดวงจันทร์อีกที) ดวงจันทร์เลยเป็นสิ่งที่เวรี่สำคัญและปรากฏเป็นตำนานเรื่องเล่าในทุกวัฒนธรรมของโลก
ดวงจันทร์ มักจะถูกวางไว้ให้ตรงข้ามกับพระอาทิตย์ และแน่ล่ะ ดวงจันทร์เป็นสิ่งที่ปรากฏขึ้นในตอนกลางคืน ดวงจันทร์เองก็มีคุณลักษณะสองอย่างและเปลี่ยนไปมา จากเงามืดเป็นแสงสว่าง ด้วยการที่ดวงจันทร์เป็นเพียงแสงสว่างเดียวยามค่ำคืน ดวงจันทร์เลยมีคุณสมบัติเป็นความงามที่ลี้ลับ นัยของความลี้ลับนั้นก็เกี่ยวข้องกับการปลุกเร้าสัญชาตญาณดิบออกมา เราเลยมีเรื่องเล่าแบบที่ว่าในคืนวันพระจันทร์เต็มดวงมนุษย์สามารถกลายร่างเป็นปีศาจ หรือเหล่าแม่มดที่ออกมาอาบแสงจันทร์เพื่อรับพลัง
ถึงเราจะไม่ใช่แหล่งน้ำ แม่มด หรือมนุษย์หมาป่า แต่เอาเข้าจริงดวงจันทร์อาจมีอิทธิพลกับเรามากกว่าแค่ความโรแมนติก
ดวงจันทร์กับความบ้าคลั่ง
ในภาษาอังกฤษเราเรียกดวงจันทร์ว่า moon มาจากภาษาอังกฤษโบราณ เป็นชื่อเรียกเฉพาะของดวงจันทร์ นอกจากชื่อจืดๆ แล้วอีกชื่อของดวงจันทร์คือ Luna มีรากมาจากภาษาละติน คำว่า Lunatic ที่เกี่ยวกับความบ้า คนบ้า ก็มีรากศัพท์มาจากคำว่า Luna นี่แหละ
อาจเป็นด้วยทางความเชื่อที่มีการจัดวางสิ่งต่างๆ เป็นคู่ๆ สีขาวและสีดำ ความสว่างและความมืด กลางวันกลางคืน ความรู้และความลี้ลับ พอจัดๆ แบบนี้ก็คงเริ่มเห็นแล้วว่า ดวงจันทร์ย่อมสังกัดชุดความหมายแบบหลังแน่ๆ
นักปรัชญา (คนนี้นี่เราพูดถึงบ่อย และพี่แกพูดถึงทุกอย่างเลยเนอะ) คืออริสโตเติลบอกว่าพระจันทร์นี่แหละเกี่ยวข้องกับความคลั่งของมนุษย์ จิตสำนึกของเราลดต่ำลง นักปรัชญาโบราณท่านบอกว่านี่ไง เพราะสมองของเราประกอบด้วยน้ำ แล้วดวงจันทร์มีผลกับน้ำบนโลก ดังนั้นน้ำในสมองของเราก็เลยได้รับผลจากแรงดึงดูดของดวงจันทร์เรียกว่า Lunar Effect ด้วย แม้แต่ทุกวันนี้โลกสมัยใหม่และงานศึกษาต่างๆ ก็ยังเชื่อว่าพระจันทร์ โดยเฉพาะวันพระจันทร์เต็มดวงมีผลกับความบ้าคลั่งของมนุษย์เรา เช่นมีการสำรวจว่าอัตราความคุ้มคลั่งของผู้ป่วยจิตเวชเพิ่มขึ้น 1.8% ในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง หรือมีสถิติการก่ออาชญากรรมเยอะขึ้นจากการสำรวจเมือง 3 เมืองในอเมริกา นอกจากนี้ยังมีอัตราอื่นๆ ที่มีการสำรวจแล้วถูกโยงเข้ากับวันพระจันทร์เต็มดวง เช่น อัตราการฆ่าตัวตาย หรือการอุบัติเหตุต่างๆ
แต่ก็มีงานวิจัยอีกจำนวนหนึ่งที่ออกมาบอกว่าไม่จริง
งานศึกษาก็มีคำตอบที่แย้งๆ กันไปมาตามประสาวงวิชาการ
ถ้าเราเชื่ออริสโตเติลหรือคำคมๆ
พระจันทร์มีผลกับโลกทั้งใบ ทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงได้
แล้วนับประสาอะไรกับน้ำใจคน