The asylum is a religious domain without religion, a domain of pure morality, of ethical uniformity.
บางทีเราก็เริ่มสงสัย ว่าเราอยู่ในยุคสมัยไหนกันแน่ เมื่อเราตื่นขึ้นมา นอกจากจะเห็นข่าวการจับผู้คนไปใส่ไว้ในคุก เรายังเริ่มเห็นการเอาผู้คนที่ ‘มีความคิดผิดมาตราฐาน’ ซึ่งในที่นี้ก็คือมาตรฐานบางอย่างของสังคม เอาไปแยกเก็บไว้ในสถานกักกัน เอาไปบำบัดในโรงพยาบาล
จริงอยู่ว่าเราอาจจะยังไม่แน่ใจเรื่องสถานะทางจิตใจ-สุขภาพจิตของชายผู้ที่สูญสิ้นศรัทธาบางอย่าง แต่สิ่งที่เกิดก็กลายเป็นประเด็นน่าคิดว่า อะไรคือเส้นแบ่งของความปกติและความเป็นคนบ้า ในสังคมแห่งศิวิไลซ์ ความบ้าขัดต่อความสงบเรียบร้อย ความบ้าเป็นสิ่งที่ต้องถูกจัดการออกจากสังคมเพื่อรักษาระเบียบไว้ ในอดีตคำว่าความบ้าเกี่ยวข้องกับศีลธรรม คนบ้า คนประสาทหลอน หญิงโสเภณี และคนที่ไร้ศีลธรรม กระทั่งผู้สูญสิ้นศรัทธาก็อาจถูกตราหน้าว่าเป็นคนบ้าละถูกนำไปกำกับจัดการ
ในยุคสมัยใหม่ นักคิดเจ้าพ่อเรื่องความปกตินั้นก็ได้เผยให้เห็นว่า ในยุคสมัยใหม่ ช่วงรอยต่อที่ความทันสมัย ความศิวิไลซ์และสถาบันต่างๆ รวมถึงสถาบันทางการแพทย์นั้นต่างถูกสร้างขึ้นเพื่อกำกับจัดการผู้คนอย่างเป็นระบบ ความบ้าเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นให้อยู่ตรงข้ามกับเหตุผล และหลายครั้งความบ้ายังคงปนเปกับคำว่าศีลธรรม คุกและโรงพยาบาลบ้าในยุคแรกๆ จึงเต็มไปด้วยคนที่ในสมัยนั้นมองว่า ‘ผิดปกติ’ กินความกว้างตั้งแต่คนจน คนไร้บ้าน อาชญากร โสเภณี เป็นกลุ่มคนที่รัฐและสังคมมองว่าคนพวกนี้อาจทำอันตรายกับความศิวิไลซ์ ความสงบเรียบร้อย และความปกติ ด้วยการสร้างและจัดการความ ‘ผิดปกติ’ ขึ้นมา
Hospital General ประวัติศาสตร์ของความบ้าที่เปลี่ยนไปตามกาล
ประเด็นกว้างๆ เวลาที่เราพูดถึงมิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault) คือแนวคิดเรื่องวงศาวิทยาของสิ่งต่างๆ สิ่งที่ฟูโกต์พยายามชี้ให้เห็นคือความรู้-ความจริงทั้งหลายเป็นสิ่งที่มีต้นสายปลายเหตุ มีความเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย และแน่นอนที่สำคัญคือเป็นสิ่งที่กำหนด กะเกณฑ์และควบคุมผู้คน โดยกรอบกว้างๆ ที่เราพอจะนึกถึงได้ก็คือคำว่า ความปกติและความผิดปกติ
ฝรั่งเศสถือเป็นประเทศที่บุกเบิกเรื่องจิตเวช ซึ่งแน่นอนว่ายุคแรกๆ ของโรงพยาบาลบ้านั้นไม่ได้สวยหรู แต่กลับเป็นเหมือนพื้นที่ของคนที่ถูกทิ้งขว้างจากสังคม เป็นกึ่งๆ คุก ที่เอาคนที่ทำให้ความศิวิไลซ์มารวมกันไว้ ซึ่ง Hospital General เองก็เป็นพื้นที่สำคัญที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับเมือง กับความศิวิไลซ์ของฝรั่งเศสเองที่ในตอนนั้นเริ่มมีการลากเส้นความปกติออกจากความผิดปกติ มีความพยายามในการรักษาภาพเมืองและสังคมอันสงบเรียบร้อยเอาไว้ ตรงนี้หมายถึงการเกิดขึ้นของโรงพยาบาลและสถานที่กักกันยุคแรกตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 16 องค์ความรู้ตรงนี้ก็ค่อยๆ พัฒนาขึ้นจนมาถึงยุคสมัยใหม่ที่ยังมีกลิ่นอายของศีลธรรมที่เข้าไปกำกับอยู่ในนามของการแพทย์ จนค่อยๆ พัฒนาจนกลายเป็นสายจิตเวชในปัจจุบัน
ฟูโกต์ขุดคุ้ยเรื่องความบ้าไว้ในงานเขียนหลายชิ้น จุดเริ่มหนี่งที่ฟูโกต์พูดถึงคือ ย้อนไปถึงช่วงศตวรรษที่ 16 ตอนนั้นยุโรปเผชิญกับโรคเรื้อน และสังคมยุโรปก็เริ่มพยายามจัดการ แยกแยะคนที่เป็นโรคเรื้อนไม่ให้เอาโรคไปติดกับคนอื่นในสังคม ตอนนั้นด้วยความรู้และสถาบันทางการแพทย์ยังไม่ได้เป็นรูปเป็นร่าง แต่รัฐเองก็พยายามจัดการคนเป็นเรื้อนด้วยวิธีการต่างๆ เช่นเอากระดิ่งผูกไว้ที่คอ หรือบังคับให้ใส่เสื้อผ้าพิเศษ ทำให้คนปกติทั่วไปสามารถหลีกเลี่ยงจะสัมผัสและติดเชื้อจากคนเป็นโรคเรื้อนได้
ฟูโกต์ชี้ให้เห็นว่าโรคเรื้อน ความกลัวโรคเรื้อนที่ตอนนั้นยังเกี่ยวข้องกับมิติทางศาสนา จนเริ่มมีความรู้ทางการแพทย์ มีการสร้างสถานกักกันโรคเรื้อนและโรงพยาบาลขึ้น จากจุดเริ่มนั้นจึงสังคมยุโรปก็เลยเริ่มมีการลากเส้นของความผิดปกติ
มีการคัดแยกเพื่อกักขังความผิดปกตินั้น
ไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อ
และทำให้ความปกติของสังคมปนเปื้อน
รวมถึงพังทลายลงไป
ทีนี้จากโรคเรื้อนที่เป็นโรคทางกายภาพ ความปกติ-ความผิดปกตินั้นในนามของความสงบเรียบร้อยก็เริ่มไปในประเด็นอื่นๆ โรงพยาบาลกลาง หรือ Hospital General นั้นเป็นตัวอย่างสำคัญที่ภาครัฐพยายามรักษาความสงบเรียบร้อยและภาพของความศิวิไลซ์ เรียกได้ว่า ถ้าเราเกิดในยุคนั้น เราทุกคนล้วนเสี่ยงที่จะถูกจับไปขังไว้โรงพยาบาลแห่งนี้ทั้งสิ้น
ในช่วงศตวรรษที่ 17 ฟูโกต์ชี้ให้เห็นว่าตัวโรงพยาบาลจากการทำหน้าที่กักกันโรคเรื้อนแล้ว ยังทำหน้าที่จำกัด ‘เนื้อร้าย’ ของสังคมด้วย ในยุคนั้นฝรั่งเศสเถลิงอำนาจ มีภาพของชนชาติที่หรูหราศิวิไลซ์ ประเด็นเรื่องเศรษฐกิจเลยกลายเป็นแกนสำคัญในการจัดการผู้คน ในยุคนั้นตัวโรงพยาบาลนั้นจากการเป็นพื้นที่ขังคัดแยกคนเป็นโรคเรื้อน ก็เลยรับหน้าที่ใหม่ คือเป็นที่ๆ รัฐเอาคนที่ไม่ ‘productive’ และทำให้ภูมิทัศน์อันเกรียงไกรของฝรั่งเศสแปดเปื้อนมาจองจำเอาไว้
คนกลุ่มนั้นก็ได้แก่ คนยากจน คนไร้บ้าน ถูกนำมาขังรวมกับคนที่ทำผิดทางศีลธรรม คนขี้เกียจ อาชญกรที่ทำให้ความสงบสุขของสังคมเสื่อมเสียไป ในช่วงศตวรรษที่ 17 ถือเป็นรอยต่อ และห้วงเวลาของปฏิวัติทางความรู้ จิตเวชและวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในตอนนั้นตัว Hospital General มีผู้ป่วยและผู้ถูกกักกันมากถึง 6000 คน
ความบ้า ความไร้เหตุผลกับการตกมาตรฐานของสังคม
จริงอยู่ว่าความบ้าเป็นพยาธิสภาพ เป็นอาการที่มีอยู่จริง กระทบกับผู้คนจริงๆ ซึ่งการบำบัดรักษาตามแนวทางจิตเวชร่วมก็เป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ความบ้าในอีกแง่ที่นักคิด นักวิชาการไปศึกษาก็คือความบ้าเป็นสิ่งที่ค่อยๆ ได้รับการสถาปนาขึ้น ความบ้า คนบ้ามีความหมายที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ยุคนึงเรามองคนบ้าว่าเป็นปอบ เป็นผี เป็นพวกเข้าลัทธิซาตาน บางยุคมองขนาดว่าคนที่ไม่เข้ากรอบบางอย่างถือเป็นความผิดปกติเช่นรสนิยมทางเพศที่แตกต่าง การต้องเก็บกดความรู้สึกทางเพศ และอย่างที่ว่าไป บางยุคสมัยคนที่ขี้เกียจ ตะกละ จนก็ถือว่า ไม่ปกติและต้องถูกคัดแยกบำบัดให้กลับมาเป็นปกติดังเดิม
กรอบหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ในยุคสมัยใหม่ ภายใต้วิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์ก็คือกรอบเรื่องเหตุผล เวลาเราเห็นคนบ้า เรารู้สึกว่าคนนั้นบ้าก็เพราะว่าเราไม่สามารถสื่อสารกับคนบ้านั้นผ่านการใช้ภาษาหรือการใช้เหตุผลได้ ดังนั้นโลกสมัยใหม่ก็เลยต้องการจิตแพทย์ที่มาทำหน้าที่สื่อสารและบำบัดรักษาความไร้เหตุผลนั้นเพื่อให้คนบ้าและความบ้านั้นกลับมาฟังก์ชั่นในสังคมได้ต่อไป
ทีนี้กลยุทธ์หนึ่งของการสืบสาวแบบนี้คือ พอเราเห็นว่า เฮ้ยความผิดปกติมันก็ไม่ได้เป็นสัจธรรม เอาแน่นอนไม่ได้ มีการกำกับจัดการบางอย่างโดยมีบางแนวคิดอยู่เบื้องหลัง เช่นการผลิต (productivity) ยุคนึงมองว่าเกย์ หรือกระทั่งการสำเร็จความใคร่นั้นไม่นำไปสู่การผลิตพลเมือง หรือแรงงาน ก็ตราว่าผิดปกติพอๆ กับที่คนจนคนไร้บ้านที่ไม่สร้างประโยชน์ให้รัฐถูกจับไปก่อนหน้า การสืบสาวทำนองนี้ทำให้เราทบทวนตัวเองว่า จริงๆ แล้วเราเองก็ต่างมีความผิดปกติ มีลักษณาการที่ตกมาตรฐานสังคมอยู่ในตัวด้วย ไม่มากก็น้อย
นับจากศตวรรษที่ 16-17 ก็ถือว่าโลกเรามาไกลมากแล้ว การควบคุมผู้คนทั้งในทางร่างกายและความคิดมีความซับซ้อนยอกย้อนมากขึ้นผ่านการสถาปนาทั้งความรู้ ทั้งสถาบันทางสังคมอย่างเป็นระบบทั้งโรงเรียน คุก โรงพยาบาล ความพยายามในการคัดแยก กักกันคนที่ ‘เป็นอันตรายกับสังคม’ ไม่ว่าจะเชิงกายภาพเช่นอาชญากร หรือผู้ป่วยโรคร้ายแรงถูกทำอย่างแนบเนียนและซับซ้อนขึ้น
ซึ่งก็น่าประหลาดใจที่ในศตวรรษที่ 21 นี้นั้น ก็ยังพอจะได้เห็นฟังก์ชั่นของความบ้าในการคัดแยก กักกันโรค ที่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นการกักกันเพื่อสวัสดิภาพของผู้ป่วยเอง หรือกักกันเพื่อป้องกันการระบาดที่อาจส่งผลกับ ‘ความปกติ’ ของสังคม
อ้างอิงข้อมูลจาก