“ผมชอบที่นี่มาก ทั้งธรรมชาติที่สวยงาม ผู้คนที่น่ารัก และผมจะกลับมาที่นี่อีก”
“เราก็รู้สึกว่าควรมาให้ได้สักครั้งจริงๆ”
“เขาก็เหมือนคนไทยแแหละ ที่มีทั้งดีและไม่ดี”
“คือเราก็ไม่ได้เหมารวมนะ แต่เป็นบางคนที่มารยาทไม่โอเค”
ข้างต้นนี้เป็นเพียงเสียงส่วนหนึ่งของชาวบ้านและนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลในพื้นที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้
จากกระแสข่าวที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เกี่ยวกับกรณีของชาวอิสราเอลที่เข้ามาอยู่อาศัยในปาย จนเกิดเป็นคอมมูนิตี้ขนาดใหญ่ รวมถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในพื้นที่
เพื่อหาคำตอบว่าทำไมชาวอิสราเอลถึงเลือกปาย และฟังความเห็นของคนที่อยู่อาศัยในพื้นที่จริงๆ The MATTER ลงพื้นที่สำรวจใน อ.ปาย บริเวณถนนคนเดิน เพื่อพูดคุยกับนักท่องเที่ยว และชาวบ้านที่อยู่อาศัยในพื้นที่เกี่ยวกับเหตุผล และปัญหาที่กำลังพบเจอ
แต่ถึงอย่างนั้น การสัมภาษณ์ก็มีความกังวลหลายอย่าง ทั้งเรื่องของความปลอดภัยและการเปิดเผยตัวตนของผู้ให้สัมภาษณ์ แหล่งข่าวหลายคนให้เหตุผลเนื่องจาก อ.ปาย เป็นเพียงพื้นที่เล็กๆ เท่านั้น หากพวกเขาเปิดเผยตัวตนของพวกเขา เกรงว่าจะมีความเดือดร้อนขึ้นกับธุรกิจของตน เราจึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้นามสมมติในบทความ
ถนนคนเดินปายที่ไม่เหมือนเดิม
คืนวันเสาร์ (22 กุมภาพันธ์) หลังจากที่รถตู้พาเราผ่านถนนนับพันโค้งจนมาถึงปายแล้ว ขณะนั้นเป็นเวลาราวสองทุ่มครึ่ง ถนนคนเดินปายในเวลานั้นเต็มไปด้วยผู้คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นต่างชาติ สองข้างทางถูกประดับด้วยดวงไฟสีเหลืองที่ช่วยทำให้บรรยากาศดูอบอุ่นและเป็นกันเอง

Photographer: Asadawut Boonlitsak
เราเดินสำรวจตามซอกซอยไปเรื่อยๆ จนได้พบกับ มอส (นามสมมติ) ที่นั่งขายรูปภาพอยู่ท่ามกลางคนที่เดินผ่านไปมา เราเลยเริ่มการทักทายและพูดคุยจนได้รู้ว่า มอสเป็นคนเชียงใหม่และขายของอยู่ตรงนี้มาเป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้ว ซึ่งช่วงนี้จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเยอะเป็นพิเศษ โดยเฉพาะชาวอิสราเอล เมื่อพูดคุยกันได้สักพักมอสก็เริ่มเปิดประเด็นสนทนาเกี่ยวกับชาวอิสราเอล เราจึงเริ่มถามต่อถึงผลกระทบที่มอสเคยได้รับ
“ร้านผมอีกร้านที่เป็นร้านขายเสื้อผ้าก็โดนขโมยของไป 2 รอบ ซึ่งจะชอบโดนขโมยพวกของชิ้นเล็กๆ และปัจจุบันก็มีการแจ้งตำรวจและจับตัวส่งขึ้นศาลไปแล้ว รู้ว่าเป็นชาวอิสราเอล อีกครั้งนึงก็โดนขโมยกางเกง ก็เป็นชาวอิสราเอลเหมือนกัน” เจ้าของร้านรูปเริ่มเล่า
เขาเล่าว่า นอกจากเรื่องการขโมยข้าวของแล้ว ยังมีการป่วนเมืองอย่างเช่น การกระโดดถีบประตูบ้านและวิ่งหนี หรือการปัสสาวะไปทั่ว โดยจะชอบเกิดขึ้นหลังจากสี่ทุ่มครึ่งไปแล้ว ซึ่งเป็นเวลาที่พ่อค้า-แม่ค้าในถนนคนเดินเริ่มทยอยกลับบ้านกันแล้วทำให้ถนนเริ่มโล่งและไม่มีคนเยอะเท่าเวลานี้
“สิ่งที่ห่วงคือเรื่องความปลอดภัย อยากให้ตำรวจเขาเคร่งกว่านี้ ช่วงนี้เห็นตำรวจออกมากันเยอะก็จริง ซึ่งตั้งแต่ที่มีกระแสนักท่องเที่ยวก็ไม่ค่อยทำพฤติกรรมแบบนั้นกันแล้ว แปลว่าถ้าตำรวจเข้มกว่านี้ก็อาจจะช่วยแก้สถานการณ์ได้”

Photographer: Asadawut Boonlitsak
ระหว่างทางบนถนนคนเดิน เราได้พบกับ ยัฟฟา และ เลอา นักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล 2 คน ที่มาเยือนปายเป็นครั้งที่ 2 แล้ว ทั้งคู่เล่าว่า เดินทางมาที่นี่ครั้งแรกในปี 2018 และหลงรักที่นี่มาก จนทำให้อยากกลับมาอีกครั้ง
“เราเคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง เมื่อปี 2018 และเรารักมันมาก สถานที่แห่งนี้ชิลมาก และผู้คนก็น่ารัก ไม่แปลกใจเลยที่เราจะอยากกลับมาอีก” เลอาเล่า พร้อมกับ ยัฟฟา ที่เสริมว่า “ถ้ามีโอกาสก็จะกลับมาอีกอย่างแน่นอน”
เราถามว่า รู้จักปายได้อย่างไร และทำไมถึงต้องเป็นที่นี่ การเดินทางที่ยากลำบากไม่ทำให้พวกเขาท้อเลยหรือ ซึ่งก็ได้คำตอบว่า
“เรารู้มาจากในเน็ต ว่ามันน่าเที่ยวมากๆ และเราก็รู้สึกว่าควรมาให้ได้สักครั้งจริงๆ”
เมื่อเราถามพวกเขาว่าเคยได้ยินกระแสข่าวในปายไหม พวกเขาบอกว่า ไม่เคยรู้ถึงเรื่องนี้มาก่อน

Photographer: Asadawut Boonlitsak
บนเส้นทางถนนคนเดินนี้ มีสติ๊กเกอร์-ป้ายโฆษณาจำนวนไม่น้อย ที่มีภาษาฮีบรูผสมปนเปกันอยู่ด้วย ซึ่งสะท้อนถึงการเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม ที่นักท่องเที่ยวจากอิสราเอลเดินทางมา

Photographer: Asadawut Boonlitsak
ดาว (นามสมมติ) เจ้าของบาร์วัย 50 ปีในย่านถนนคนเดิน เล่าให้เราฟังถึงปัญหาที่ตามมา หลังจากมีกระแสนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เยอะจนผิดหูผิดตาว่า ส่วนใหญ่ผู้ประกอบการในปายจะโดนก่อกวน บางคนเข้ามาทานอาหารแล้วไม่ยอมจ่ายเงิน นอกจากนี้ก็ยืมรถมอเตอร์ไซค์แล้วไม่เอามาคืน แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีชาวอิสราเอลเข้ามาในพื้นที่เยอะ แต่ช่วงหลังการระบาดของ COVID-19 กลับเยอะมากขึ้นกว่าเดิม
ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวไทยพีบีเอส รายงานตัวเลข คนอิสราเอลที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ในช่วงมกราคม – ธันวาคม ปี 2567 ที่ผ่านมารวม 281,803 คน ขณะที่ยอดสูงสุดอยู่ที่เดือนธันวาคม 2567 มีชาวอิสราเอลเข้ามาประเทศไทยรวม 31,075 คน
ขณะที่ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน เอกวิทย์ มีเพียร บอกเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า ประชากรของ อ.ปายมีประมาณ 38,000 คน และมีนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลเดินทางเข้ามาเดือนละ 2,000-3,000 คน และพบว่าเป็นการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวและกลับไป
“คนไทยเขาบอกไม่อยากมากันแล้ว เพราะฝรั่งเยอะจนไม่มีที่สำหรับพวกเขา พวกราคาข้าวของในนี้ก็ราคาฝรั่งทั้งนั้น ทุกอย่างมันทำมาสำหรับฝรั่งไปหมดแล้ว” ดาวบอก

Photographer: Asadawut Boonlitsak
เราเดินสำรวจไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเวลาราวห้าทุ่ม ในช่วงเวลานั้นเสียงเพลงและเสียงพูดคุยของนักท่องเที่ยวตามร้าน-บาร์ต่างๆ ยังคงดังเหมือนปกติ ในขณะที่ร้านค้าบ้านเรือนรอบข้างปิดไปหมดแล้ว แม้ว่าจะมีบางร้านที่เบาเสียงเพลงลงก็ตาม ผู้คนยังคงใช้ชีวิตหลั่งไหลไปตามท้องถนน นอกจากนี้ ยังมีการขับรถมอเตอร์ไซค์ด้วยความเร็วและส่งเสียงดังบ้าง ตามที่เจ้าของร้านต่างๆ เล่าให้เราฟัง
เรามีโอกาสได้พูดคุยกับ บรี (Bri) นักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล วัย 28 ปี ที่เราเจอขณะที่กำลังเดินกลับที่พัก ซึ่งเธอบอกว่าเธอมาเยือนปายเป็นครั้งแรกและเธอตื่นเต้นกับมันมาก ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้รู้เรื่องกระแสข่าวที่เกิดขึ้นในปายเช่นกัน
“ฉันมาที่นี่เป็นครั้งแรก ฉันได้ใช้เวลาอยู่ที่นี่มา 5 วัน และฉันชอบมาก ได้ชิล ได้ไปล่องห่วงยาง ได้ไปดูวัดสวยๆ ซึ่งมันสนุกมากจริงๆ แม้ว่าจะมาคนเดียวก็ตาม” บรีเล่าพร้อมกับบอกว่า “ฉันเห็นว่ามันมีข้อมูลอยู่บนอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆ ในปาย ทำให้สนใจที่จะมาสักครั้ง”

Photographer: Asadawut Boonlitsak
ทุน-พื้นที่-นอมินี
06.50 น. ของวันที่ 23 กุมภาพันธ์ เราเริ่มเดินออกมาสำรวจถนนคนเดินในตอนเช้า ภาพที่เราเห็นต่างไปจากเมื่อคืนนี้ราวกับอยู่คนละโลกกัน บ้านเมืองเงียบสงัด มีกองขยะอยู่ตามพื้นถนนบ้าง และมีชาวบ้านออกมาฉีดน้ำล้างพื้นถนนหน้าร้าน-บ้านของพวกเขาเพื่อทำความสะอาด

Photographer: Asadawut Boonlitsak
เราเดินสำรวจจนได้พบกับ ลุงผัน (นามสมมติ) ที่กำลังอุ้มหลานตัวเล็กไว้บนอกและเดินเล่นอยู่หน้าบ้าน เราจึงเริ่มพูดคุยกับลุงผ่อนเกี่ยวกับประเด็นนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในพื้นที่ และก็ได้รู้ว่าตอนนี้กำลังเข้าสู่ช่วงโลว์ซีซั่น (low-season) และนักท่องเที่ยวเริ่มมีจำนวนลดลง
“เขามาแล้วเขาก็กลับ จะเยอะสุดๆ เลยคือช่วง 25 ธันวาคมปีที่แล้ว จนถึงวันที่ 1 มกราคมนั่นแหละ” ลุงผันเล่าและเริ่มพูดถึงปัญหาที่เขากำลังเผชิญ
“เรื่องนักท่องเที่ยวที่ทำเสียงดัง จะว่าชินมันก็…ใช้คำว่า ต้องยอมรับแหละ ทั้งๆ ที่เราคนแก่เนี่ย ถ้านอนดึกมันก็จะง่วง จะมึนหัว เวียนหัว แต่ก็ต้องยอมรับแหละ เพราะบ้านเมืองเรามันเป็นที่ท่องเที่ยว”
ลุงผันเล่าถึงความแตกต่างของนักท่องเที่ยวหลังจากที่ใช้เวลาสังเกตอยู่ตลอดว่า ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นชาวอิสราเอลที่ทำพฤติกรรมไม่ดี
“นักท่องเที่ยวที่กินเหล้าเมาแล้วก็โวยวายเสียงดัง ส่วนใหญ่เป็นอิสราเอลเนี่ยแหละ ตัวแสบเลย ชาติอื่นมีวินัยมีระเบียบนะ เขาสูบบุหรี่เสร็จเขาก็จะดับแล้วก็จะหาที่ทิ้ง แต่กับอิสราเอลกินอะไรก็เขวี้ยงเลย พอตอนเช้าก็จะมีเทศบาลมาเก็บขยะแล้วก็จะมีพนักงานมากวาดถนนทุกเช้า” ลุงผันเล่าก่อนจะขอแยกตัวพาหลานเข้าบ้าน

Photographer: Asadawut Boonlitsak
เราเริ่มเดินต่อจนได้พบกับคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นเจ้าของร้านอาหารนั่งพูดคุยกันอยู่ 3 คน เราจึงเริ่มเปิดบทสนทากับพวกเขาเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว “คนพื้นที่เขาค่อนข้างจะแอนตี้กันนะ อย่างบางทีถ้าเรามีเพื่อนเป็นชาวอิสราเอล เขาก็จะชอบเข้ามาขอเป็นหุ้นส่วน มาเป็นนายทุน กลายเป็นว่าคนพื้นที่จริงๆ เขาไม่ได้ค้าขายอะไรกันแล้ว” ป้าก้อย (นามสมมติ) เริ่มเล่า
ขณะที่เรื่องนายทุน หรือเรื่องนอมินี ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับประเทศไทย เนื่องจากก่อนหน้านี้ เราจะเห็นประเด็นข่าวมากมายของชาวต่างชาติที่เข้ามาลงหลักปักฐานในไทย และเริ่มเป็นเจ้าของธุรกิจต่างๆ ผ่านการใช้นอมินี เช่น ทุนจีนในเชียงใหม่ และห้วยขวาง และทุนรัสเซียในภูเก็ต
ป้าก้อยเล่าต่อว่า ปัจจุบันถนนคนเดินปายเปลี่ยนไปเยอะมากๆ จากเมื่อ 5-6 ปีก่อน จนทำให้คนไม่อยากมาเที่ยวปายกันแล้วเพราะมันไม่มีธรรมชาติหลงเหลืออยู่แล้ว ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลในสมัยก่อนนิสัยดีกว่าสมัยนี้มาก
“เมื่อก่อนจะกินอะไรไม่มีการต่อราคา แต่เดี๋ยวนี้ มาซื้อผัดไทบอกขอลดครึ่งราคาได้ไหม ผัดไทจานละ 50 บาท ขอต่อเหลือ 25 แบบนี้ เราเลยบอกไปว่า ‘งั้นฉันทำให้เธอครึ่งนึงได้มั้ยล่ะ? ทำไมเธอไม่ต่อราคาค่าเครื่องบินที่บินมาบ้างล่ะ?’ และขโมยก็เยอะมาก สูบบุหรี่ทิ้งขยะเต็มหน้าบ้าน”
“คือเราก็ไม่ได้เหมารวมนะ แต่เป็นบางคนที่มารยาทไม่โอเค บางคนจอดรถคุยกันกลางถนนบอกให้หลบก็ไม่หลบ บางคนก็ด่าพนักงานเซเว่น เพราะเขาไม่เข้าใจว่ากฎหมายไทยมันห้ามขายเหล้าหลังเที่ยงคืนอะไรแบบนี้อะ” พี่ผู้หญิงอีกคนที่นั่งข้างป้าก้อยเล่า

Photographer: Asadawut Boonlitsak
ประเด็นการอยู่อาศัยและการเข้ามาตั้งถิ่นฐาน สมบัติ ยะสินธุ์ สมาชิกผู้แทนราษฎรจังหวัดแม่ฮ่องสอน เขต 2 พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์กับ ประชาชาติธุรกิจ ว่า มีชาวยิวมาพำนักอาศัยถาวรในปายไม่ถึง 100 คน โดยจะสลับหมุนเวียนกันเข้ามา อยู่ราวๆ 2 เดือน พอวีซ่าหมดก็ออกไปต่างประเทศเพื่อไปทำวีซ่าและกลับเข้ามาใหม่
ขณะที่การใช้นอมินี ในการประกอบธุรกิจ ไทยพีบีเอส รายงานว่า ชาวอิสราเอลบางคนจะเช่าที่ดินคนไทยในราคาถูกและรีโนเวทเพื่อปล่อยเช่าในราคาสูงกับนักท่องเที่ยวชาติเดียวกัน ขณะที่บางส่วนเปิดธุรกิจโดยใช้นอมินีคนไทย และถือหุ้นในธุรกิจเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายไทย แต่แท้จริงแล้วคือบริหารโดยคนอิสราเอลเอง

Photographer: Asadawut Boonlitsak
หลังจากที่เดินทางมาสำรวจบริเวณ ‘โบสถ์คาบัด’ ที่เคยถูกพูดถึงในข่าว เราได้เข้าไปชมภายในโบสถ์ที่กำลังตกเป็นประเด็น ซึ่งข้างในยังคงอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ราไบ (ในภาษาฮิบรูแปลว่า อาจารย์ – ซึ่งในที่นี้หมายถึง ผู้สอนศาสนา) เราได้พูดคุยเกี่ยวกับกระแสข่าวที่เกิดขึ้นและได้สำรวจรอบๆ โบสถ์
สภาพโบสถ์จะถูกแบ่งออกเป็น 3 โซนหลักๆ ด้วยกัน โซนแรกคือโซนรับประทานอาหารและหากมีการจัดงานเลี้ยงก็จะจัดขึ้นที่นี่ มีโต๊ะ-เก้าอี้จำนวนหนึ่ง, โต๊ะปิงปอง และโต๊ะสำหรับวางชา-กาแฟ ให้บริการผู้ที่เข้ามาในโบสถ์
โซนที่ 2 คือ ห้องสำหรับบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ โดยภายในจะถูกแบ่งออกเป็นห้องที่มีบ่อน้ำดังกล่าว ซึ่งทั้งหมดยังคงอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และโซนสุดท้ายคือ ห้องสวดมนต์ ที่เป็นลักษณะเหมือนบ้านไม้ที่มีชั้นลอยด้านบน โดยจะแบ่งให้ชั้นล่างเป็นชั้นสำหรับผู้ชาย และชั้นลอยด้านบนเป็นของผู้หญิง ซึ่งเวลาทำพิธีทางศาสนาชายและหญิงจะต้องแยกกัน
เมื่อการสำรวจรอบโบสถ์เสร็จสิ้น ราไบได้แนะนำให้เราได้รู้จักกับ คัสกี นักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล วัย 30 ปี ซึ่งปัจจุบันเป็นอาสาสมัครอยู่ที่โบสถ์คาบัดมาได้ 3 สัปดาห์แล้ว ซึ่งคัสกีเองก็รู้เกี่ยวกับกระแสข่าวที่เกิดขึ้น แต่เขาบอกว่า ตัวเขาเองไม่ได้สนใจว่าข่าวจะเป็นอย่างไร
“ผมชอบที่นี่มาก ทั้งธรรมชาติที่สวยงาม ผู้คนที่น่ารัก ผมได้ทำกิจกรรมที่ช่วยให้ผ่อนคลายและทำตัวตามสบาย ซึ่งผมเอนจอยกับมันมาก ผมมีกำหนดการที่จะกลับไปที่ประเทศของผมอีก 10 วันข้างหน้า เพื่อไปแต่งงาน และผมจะกลับมาที่นี่อีกครั้งพร้อมกับภรรยาของผมด้วย”
เสียงเรียกร้องจากชาวปาย
อร (นามสมมติ) หนึ่งในชาวบ้านที่ปาย พูดให้เราฟังถึงประสบการณ์ตรงที่เธอได้รับจากนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล
“เอาจริงๆ ที่เสียงดังอาจจะมาจากฝรั่งเมา แต่ปกติถ้าเราอยากหลับเราก็หลับได้อาจจะเพราะชิน คนที่เข้ามามันก็มีทุกชาติแหละ แต่ไม่เคยเจอที่แปลกๆ หรอก ตั้งแต่ที่ตำรวจเข้มขึ้นร้านค้าอะไรก็ปิดไวขึ้น ผลกระทบที่เราได้คือ ไม่ได้ขายของ” อรเริ่มเล่าพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดังหลังจากบอกเล่าเรื่องผลกระทบที่เธอได้รับ
เธอเล่าต่อว่า ก่อนหน้านี้ที่นักท่องเที่ยวเข้ามาเยอะๆ เธอก็ขายของได้เยอะมาก เนื่องจากชาวอิสราเอลมักจะมากันเป็นกลุ่มใหญ่ พอได้ทานอะไรที่ถูกปากก็จะมีการบอกต่อกันเยอะ และยังช่วยโฆษณาร้านให้เธอด้วย
“อะไรที่เราว่าดี เราก็จะบอกว่าดี แต่ไอ้ที่เราเจอมามันดีไง ถ้าเราเจอไม่ดีเราก็จะแจ้งเรื่องอยู่แล้ว เขาก็เหมือนคนไทยแแหละที่มีทั้งดีและไม่ดี แต่ทุกวันนี้ที่เราขายของได้ก็เพราะพวกเขานี่แหละ และเขาก็ไม่เคยทำตัวไม่ดีใส่เรา”

Photographer: Asadawut Boonlitsak
หมี (นามสมมติ) และส้ม (นามสมมติ) คือคนไทยกลุ่มสุดท้ายที่เราได้พูดคุยด้วย ทั้ง 2 คนเคยเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลใน อ.ปายอยู่บ่อยๆ และได้แชร์เรื่องราวเหล่านี้ให้กับเราฟัง
“ที่เจอมีปัญหาส่วนใหญ่เลยจะเป็นชาวอิสราเอล สมมติมีคนมาโรงพยาบาล 100 คน เป็นอิสราเอลไปแล้ว 60 คน ซึ่งที่เห็นส่วนใหญ่ก็จะรถ(มอเตอร์ไซค์)ล้มมา” ส้มเริ่มเล่าให้เราฟัง ด้วยความที่เธอต้องเข้า-ออกโรงพยาบาลอยู่บ่อยๆ จึงได้เห็นว่าคนไข้ที่มาและมีปัญหาเสียงดังกับหมอมักจะเป็นชาวอิสราเอล
“เขาไม่ให้พยาบาลโดนตัวเขา แบบเหมือนเขากลัว ได้ยินเขาร้องเรียกให้เพื่อนเขาเข้ามาหา จนบางทีเสียงดังรบกวนไปทั่วทั้งห้องฉุกเฉินเลย” ส้มเล่า
“หมอก็จะวุ่นทุกครั้งเลยเวลาเป็นคนชาตินี้”
หมีเสริมว่า เคยมีความพยายามที่จะติดต่อไปยังตำรวจท่องเที่ยวเพื่อให้เข้ามาดูคนไข้โวยวายที่โรงพยาบาล แต่ตำรวจก็มาช้า และบางครั้งก็ไม่มาเลย “เคยเจอเมาอ้วกแล้วโวยวาย สูบกัญชามา หมอกับพยาบาลที่นี่ก็ต้องรับความเสี่ยงกันเอง อันตรายมากๆ”

Photographer: Asadawut Boonlitsak
ซึ่งล่าสุดที่ทั้ง 2 คนเจอคือ กลิ่นบุหรี่และกัญชา แม้ว่าจะหาตัวคนสูบไม่เจอ แต่กลิ่นนี้ได้รบกวนคนที่มาใช้บริการอย่างมาก เนื่องจากบริเวณโถงรับบริการเป็นแบบเปิด และจะต้องมีทั้งพยาบาลและคนไข้ที่รอคิวอยู่ ต้องมาคอยสูดดมกลิ่นควันเหล่านี้
“ที่เคยเจออีกครั้งนึงคือ โวยวายไม่ยอมออกจากห้องฉุกเฉิน จนกว่าจะได้ฉีดยา แล้วก็ไม่พอใจ ตะโกนใส่หมอ คนไข้ในนั้นก็ได้ยินหมดเลย”
ส้มเล่า และบอกอีกว่าแต่ล่าสุดเจ้าหน้าเริ่มมีการเข้ามาจัดระเบียบ ทำให้คนไข้ที่มาโวยวายที่โรงพยาบาลลดน้อยลงเยอะกว่าเมื่อก่อนมาก พร้อมกับเปิดคลิปที่เคยถ่ายได้ช่วงที่ยังไม่มีการจัดระเบียบให้เราดู

Photographer: Asadawut Boonlitsak
ในคลิปดังกล่าว ถูกถ่ายไว้ราวเดือนกว่าๆ แล้ว แสดงให้เห็นชายคนหนึ่งถอดเสื้อและนอนอยู่บนพื้นถนนคนเดิน ขณะที่ข้างๆ คาดว่าจะเป็นกลุ่มเพื่อนของชายคนดังกล่าว นั่งดื่มแอลกอฮอลล์กันอย่างปกติ ไม่ได้สนใจชายคนนี้แต่อย่างใด
นอกจากนี้ยังมีวิดีโออื่นๆ ที่คนในพื้นที่ส่งต่อๆ ให้กัน ซึ่งวิดีโอดังกล่าวแสดงให้เห็นนักท่องเที่ยวที่ทำพฤติกรรมอันตราย เช่น การโหนอยู่ข้างๆ รถที่กำลังขับผ่านถนนคนเดิน หรือแม้กระทั่งการเมาและโวยวายใส่คนรอบข้าง สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า การเข้ามาช่วยเหลือของภาครัฐ ได้ช่วยให้ปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้เบาบางลงจริงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับสิ่งที่ผู้คนในปายบอกเล่า
สิ่งเหล่านี้ อาจจะสะท้อนได้ว่า แม้ว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางเข้ามาจะมาอยู่เพียงช่วงเวลาหนึ่งและกลับไป ทว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ การแก้ไขปัญหา โดยมองเห็นภาพระยะยาวของปาย ในฐานะเมืองท่องเที่ยว ที่ทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นอยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัว
Photographer: Asadawut Boonlitsak
Graphic Designer: Manita Boonyong
Editor: Thanyawat Ippoodom