นึกภาพวันพิเศษๆ ออกไปกลางคืนสองต่อสอง บรรยากาศก็เป็นใจ แสงไฟสลัว คืนวันเทศกาลแบบนี้แหละที่มันต้องมีได้มีเสียกันเกิดขึ้น – เป็นวันที่เหล่าเสือสิงห์ทั้งหลายจะได้ออกไปมองหาผู้คนเข้ามาในชีวิต จะค้างคืนกันแค่ชั่วคราวหรือหาความสัมพันธ์ระยะยาวก็แล้วแต่
‘คนนี้มันหน้าม่อ’ หรือ ‘ไปม่อสาวกัน’ ดูจะเป็นคำที่วัยรุ่นพูดกันบ่อยๆ หลักๆ แล้วใช้กับผู้ชาย เป็นคำนิยามว่าไอ้คนนี้มันเป็นคนที่เข้ามาจีบ มาหวังพาขึ้นเตียงเป็นหลัก ไม่ได้จริงจังอะไร เป็นพวกที่เข้าหาชาวบ้านโดยมีเรื่องเพศเป็นวาระหลักในการเข้าหาและสร้างความสัมพันธ์
ดูเหมือนสังคมจะให้สิทธิในการล่ากับผู้ชาย เราเรียกชายหนุ่มที่ใช้สาวๆ เปลืองว่าเป็นเสือ เป็นพวกที่มีเขี้ยวเล็บ แต่ภายใต้ความหน้าม่อเจ้าชู้ไก่แจ้นั้นอาจเป็นอาการจากความขาด จากการไขว่คว้าหาความรักและการยอมรับอย่างไม่รู้จบผ่านการก้าวขึ้นเตียงกับหญิงสาวมากหน้าหลายตา
สปอยล์-ชาย
สังคมโดยทั่วไปค่อนข้างให้อภิสิทธิ์กับฝ่ายชาย ในมิติทางเพศและเพศสัมพันธ์ เราก็มักจะยกให้ผู้ชายเป็นผู้ล่า เป็นฝ่ายที่เข้าหา ป้อยอ และจัดการกับฝ่ายหญิง ดังนั้นเลยไม่แปลกที่สำหรับผู้ชายเอง การไปป้อหญิงก็ถือว่าเป็นกิจกรรมแบบแมนๆ อย่างหนึ่งเหมือนกัน แต่ในทางกลับกัน – ฝ่ายหญิง – ที่ควรจะรักนวลสงวนตัวเป็นคนทำ เราก็จะมีคำร้ายๆ กว่านั้น เอาใช้นิยามพฤติกรรม เบาหน่อยก็คำว่าแรด ถ้ามีนัยเรื่องเพศหนักขึ้นก็นำไปสู่คำโหดๆ กว่านั้น
พวกเจ้าชู้ไก่แจ้ นักล่าที่หวังจะเข้าหาคนนู้นคนนี้ จีบไปเรื่อย และที่สำคัญคือเข้าหาในลักษณะที่ว่า ‘ถ้าได้ก็เอา’ เราเรียกว่าเป็นพวก womanizer การเป็น womanizer สำหรับชายหนุ่มแล้วก็น่าจะถือว่าเป็นความชั่วร้ายที่น่าภาคภูมิใจอยู่บ้าง แบบว่าผู้ชายมันก็แบบนี้ เป็นผู้ล่า และการที่จะล่าได้ ย่อมแสดงให้ถึงความเป็นชายที่ไม่ธรรมดา มีเขี้ยวเล็บ มีอำนาจ ถึงจะรู้สึกว่าเป็นพฤติกรรมที่ ‘เหี้ย’ อยู่ในตัวเอง เป็น womanizer ที่เจ้าตัวก็รู้สึกภูมิใจว่ากูเจ๋งกูแน่อยู่เหมือนกัน
คำว่า womanizer ที่ดูฟังดูคูล ความหมายก็ซ้อนกับคำว่า ‘Promiscuity’ ที่แปลว่ามั่ว สำส่อน ตรงนี้ก็พ้องกับคำและค่านิยมของสังคมไทยพอดี คือเราอาจนิยามผู้ชายที่ชอบมีความสัมพันธ์ไปทั่วว่าไอ้เสือ แต่คำว่าร่านหรือสำส่อนนี้กลับเป็นคำที่มักจะใช้นิยามผู้หญิงที่ทำพฤติกรรมแบบเดียวกัน
ในมิติทางเพศ สังคมค่อนข้างสปอยล์ผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ผู้ชายไปมีสัมพันธ์กับใคร มากแค่ไหนกลับกลายเป็นการเน้นย้ำความเป็นชาย ผู้ชายถูกวางให้เป็นฝ่ายกระทำ แต่ในการแสดงออกของความเป็นแมนผ่านการมีความสัมพันธ์มากๆ ในพฤติกรรมที่ดูเท่ ในคนม่อๆ อาจจะมีปมปัญหาบางอย่างที่อยู่เบื้องหลัง
ความบุบสลายของ womanizer
นึกภาพชายหนุ่มที่เราเรียกว่าคาสโนวา พวกชอบโปรยเสน่ห์ เข้าหาและงาบหญิงสาวเป็นกิจวัตร ภายใต้การใช้ความเป็นผู้ชายและทำลายความรู้สึกของฝ่ายหญิงอย่างสิ้นเปลือง การแสดงออกถึงความเป็นชายอย่างล้นเกิน – จนบางครั้ง ชายหนุ่มที่ชุ่มไปด้วยความสัมพันธ์อันมากมาย กลับมีความแหว่งวิ่นบุบสลายในหัวใจ
sex คือสิ่งที่ถูกนำมาถมปมทางจิตวิทยาอย่างไม่มีวันจบ
แถ่นแท้น เมื่อพูดเรื่องเพศ – เพศสัมพันธ์ – จิตวิทยา พื้นฐานความคิดแบบฟรอยด์ๆ คือต้องว่าด้วยปมที่เกิดจากการ ‘ขาด’ และเกิดจาก ‘พ่อ’ ที่ขาดไปในช่วงวัยเด็ก Jed Diamond นักจิตวิเคราะห์ผู้ศึกษาเหล่าชายหนุ่มเจ้าสำราญเจ้าของหนังสือ The Irritable Male บอกว่าการเป็นนักลวงหญิงเสือสิงห์กระทิงแรดเกิดจากปมทางจิตใจของการขาดพ่อในช่วงวัยเด็ก
จากการศึกษาและสังเกตการณ์ พี่แกบอกว่าพวกพ่อหนุ่มที่จ้องจะกินชาวบ้านมักจะเติบโตขึ้นโดยขาดพ่อ การขาดพ่อในช่วงที่กำลังเติบตึ้นนี้ทำให้ผู้ชายรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ (insecure) ในการเป็นที่ยอมรับของคนอื่น และชายหนุ่มเหล่านั้นก็เลยทดแทนหรือถมความรู้สึกไม่ปลอดภัยและการไม่ได้รับการยอมรับ พูดง่ายๆ คือรู้สึกไม่ได้รับการยอมรับ และในฐานะผู้ชาย จึงยิ่งแสดงความเป็นชายของตัวเอง ด้วยการหาผู้หญิงโดยใช้ร่างกาย – หน้าตา – เสน่ห์ มาเพื่อถมความรู้สึกหรือช่องโหว่ในใจ เพื่อบอกว่านี่ไงเราเจ๋งนะ เราเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ยอมรับเรายัง คาสโนวาทั้งหลายสารภาพว่ามันไม่ใช่เรื่องความหื่น แค่แรงขับทางเพศ แต่ลึกๆ เป็นเรื่องอื่น เป็นเรื่องการได้รับการยอมรับ เป็นการยืนยันตัวตนของตัวเองผ่านการมี sex กับผู้หญิงคนอื่นๆ
วงจรที่ไม่รู้จบของความต้องการที่ถมผิดทาง
‘ความรัก’ และการยอมรับดูจะเป็นสิ่งที่ใครๆ รวมถึงเหล่านักล่าทั้งหลายแสวงหา ปัญหาของการเป็นคนเจ้าชู้ที่แท้จริงแล้วอาการขี้ป้อนั้นเกิดจากการขาดซึ่งความรักและการยอมรับ เป็นการใช้ผู้หญิงและเรื่องบนเตียงเพื่อยืนยันตัวตนของตัวเอง ในที่สุดแล้ววงจรดังกล่าวจึงกลายเป็นวงจรที่ไม่รู้จบ เข้าหาคนใหม่ ใช้ร่างกายเพื่อหาความสุข และจบไป
โดยลึกๆ แล้วชายหนุ่มบางคนก็คิดว่านี่แหละคือการหาความรัก และร่างกายความเป็นชายของตัวเองเป็นสิ่งที่จะแลกมาซึ่งความรักได้ ใช้กำกับจัดการความสัมพันธ์ของตัวเองได้ – ที่แน่ล่ะว่าความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นด้วยการล่าด้วยการเล่นเกม น่าจะไม่นำไปสู่ความสัมพันธ์หรือความรักที่ยั่งยืนได้แต่อย่างใด
เหล่านักล่าทั้งหลาย สุดท้ายจึงสารภาพว่าในที่สุดแล้ว แรงขับที่นำด้วยเรื่องเพศมักจะประกอบขึ้นบนความว่าเปล่าทางอารมณ์ และการร่วมรักกันโดยปราศจากความรักหรือความสัมพันธ์ทางความรู้สึกซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นสิ่งที่ยิ่งทำให้ภายในกลวงโบ๋ สุดท้ายพอมองย้อนกลับไป เหล่าคาสโนว่าเองก็บอกว่าไม่ได้อับอายกับการเป็นนักล่าเท่าไหร่ แต่ในที่สุดความอบอุ่นและความรักที่แท้จริงก็เป็นสิ่งที่สำคัญกว่าการรู้สึกว่าตัวเองเป็นนักล่า
ในโลกที่บอกว่าผู้ชายมีอำนาจและความเป็นชายคืออำนาจ แต่สุดท้ายผู้ชายก็คือมนุษย์คนหนึ่ง ความสัมพันธ์ทางกายย่อมสัมพันธ์กับหัวใจและความละเอียดอ่อนอันซับซ้อน ผู้ชายก็อกหักรักร้าวและต้องการความรักไม่ต่างกัน การล่าสุดท้ายแล้วเราไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิง เราอาจเป็นผู้ถูกล่าไปพร้อมๆ กัน
ไม่ใช่แค่ร่างกายที่ลงทุนไป แต่สุดท้ายหัวใจและความรู้สึก ก็เป็นสิ่งที่เรากำลังเอาลงไปเดิมพันในความสัมพันธ์ของเรา ไม่ว่าเราจะมองหาความรักที่ยืนยาว หรือความสุขข้ามคืน เราต่างกำลังลงอะไรบางอย่างไปเดิมพันอยู่เสมอ ก็ตามคำว่า ‘ได้เสีย’ แหละของแบบนี้ มีได้มีเสีย
…ลงทุนด้วยร่างกายและหัวใจอย่างระมัดระวังทั้งกายและใจ
อ้างอิงข้อมูลจาก