ต้องรู้จักอดทนสิ รอให้ได้ ถ้ารอได้เดี๋ยวสิ่งดีๆ ก็จะตามมาเอง
ฟังดูเป็นแนวคิดที่เราค่อนข้างคุ้นเคยกันดี เราเชื่อว่าความอดทน (patient) คือการที่เรารู้จักอดทนรอ รู้จักยับยั้งความรู้สึกได้ว่าเราอาจจะไม่ได้สิ่งที่เราต้องการในทันทีทันใด โดยรวมแล้วการรู้จักอดทนรอคอยก็ถือเป็นคุณสมบัติเชิงบวก เป็นคุณธรรมที่พึงมีประการหนึ่ง ซึ่ง ‘แบบทดสอบมาร์ชเมลโล’ งานทดลองเชิงจิตวิทยาระดับคลาสสิกได้เคลมว่า การรู้จักอดทนรอคอย เป็นคุณสมบัติสำคัญที่จะชี้วัดว่าเด็กคนนั้นมีโอกาสประสบความสำเร็จและมีพัฒนาการก้าวนำไปแค่ไหน
แต่! เจ้าแบบทดสอบมาร์ชเมลโล บอกเราว่าการอดทนรอเป็นสิ่งที่ควรสมาทาน เป็นคุณธรรมอันดียิ่ง โดยนัยก็แปลว่า การไม่รู้จักอดทนรอถือเป็นบาปอย่างหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดแล้วการอดทนรออาจจะไม่ได้เป็นคุณธรรมโดยสัมบูรณ์ และการทนรอไม่ได้ก็ไม่เชิงว่าเป็นบาปเสียทีเดียว การที่เรา ‘รอไม่ได้’ และต้องการการลงมือทำในทันทีก็ถือเป็น ‘คุณธรรม’ ในตัวเองด้วยเหมือนกัน
เราอาจมองได้ว่าแบบทดสอบมาร์ชเมลโลไม่ได้ครอบคลุมไปเสียทุกเรื่อง เนื่องจากแบบทดสอบมาร์ชเมลโลเป็นการทดสอบที่ ‘บอกให้เด็กๆ รอ’ แล้วจะได้ขนมเพิ่ม พอเทียบกับบ้านเราแล้วก็เห็นได้ว่าชอบมอง ‘ผู้คน’ เป็นเหมือนเด็กๆ เช่นกัน คล้ายจะบอกว่านี่ไง มีอำนาจบางอย่างที่กำลังทำเรื่องดีๆ ให้เราอยู่ เรื่องดีๆ จะต้องมาในอนาคตแน่ รอหน่อยนะ ซึ่งบางครั้งการบอกให้รอจึงเหมือนเป็นการป้องกันการตั้งคำถามและการลงมือทำไปโดยปริยาย
แบบทดสอบมาร์ชเมลโล การรอได้สัมพันธ์กับอนาคตของเรา?
แบบทดสอบมาร์ชเมลโลของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (The Stanford marshmallow experiment) เป็นการทดลองระดับคลาสสิกในช่วงปลายปีค.ศ. 1980-1990 นำโดย Walter Mischel ซึ่งสุดท้ายผลของการศึกษาก็กลายเป็นหมุดหมายที่สถาปนาความอดทนรอให้เป็นคุณธรรมสำคัญที่จะชี้วัดความสำเร็จโดยรวมของเด็กๆ
การทดสอบที่ว่าก็แสนง่าย (แถมผลสรุปก็ดูจะง่ายยิ่งกว่า) คือเอาเด็กๆ อายุประมาณ 4-6 ขวบมานั่งในห้อง วางขนมไว้อันหนึ่งและบอกกับเด็กๆ ว่า ถ้าหนูลูกอดทนรอต่อไปอีก 15 นาทีนะ หนูจะได้ขนมอีกชิ้นหนึ่ง หลังจากนั้นผู้ทดสอบก็เดินออกจากห้องไป ผลการศึกษา(ในครั้งนั้น) พบว่า เด็กๆ ที่มีความอดทนรอ (Delay Gratification) โดยรอกินขนมในอีก 15 นาทีให้หลังได้ มีแนวโน้มจะประสบความสำเร็จมากกว่าเมื่อโตขึ้น วัดจากคุณภาพการศึกษา คะแนนสอบ SAT ที่สูงกว่า หรือค่าน้ำหนักตัวต่อความสูงนั้นก็เหมาะสมกว่า เลยสรุปง่ายๆ ว่า นี่ไง เด็กที่ไม่หุนหัน รู้จักรอความสุขในภายหลังได้ดูจะมีคุณลักษณะนิสัยที่นำไปสู่เรื่องดีๆ เมื่อโตขึ้น
การที่เราเป็นคนอดทนรอในสิ่งที่ควรรอได้ รู้จักยับยั้งว่าความสุขที่มาช้าหน่อยแต่อาจจะใหญ่กว่า แน่ล่ะว่าเป็นคุณสมบัติเชิงบวก แต่เจ้าแบบทดสอบคลาสสิกนี้ย่อมถูกท้าทาย งานทดลองในชั้นหลังจึงพยายามใช้กลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่และมีภูมิหลังทางสังคมที่หลากหลายกว่า ผลของการทดสอบในชั้นหลังพบว่าความเกี่ยวข้องระหว่างการรู้จักอดทนรอไม่ได้สัมพันธ์โดยตรงกับความสำเร็จโดยรวมในอนาคต
กำขี้ดีกว่ากำตด กินไม่กินขนมอาจจะไม่ได้สำคัญขนาดนั้น
การทดสอบและการตีความผลที่บอกว่า เด็กจะกินหรือไม่กินขนม รอหรือไม่รอ เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จในอนาคตกลายเป็นปัญหาเรื่องความเชื่ออย่างหนึ่ง ขนาด Walter Mischel หัวหน้านักวิจัยยังบอกว่าการเอาผลการทดสอบไปบอกว่าเด็กที่ไม่อดทนรอแต่กินขนมเลยนั้นจะนำไปสู่หายนะในอนาคต ถือเป็นเรื่องที่ไม่โอเคสุดๆ
นอกจากการเอาผลการทดสอบไปตีและขยายให้ใหญ่แล้ว ตัวงานศึกษาเองก็ถูกโจมตีเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน หนึ่งในนั้นคือประเด็นเรื่องกลุ่มตัวอย่าง เด็กๆ ที่คณะนักวิจัยนำมาทดสอบเป็นกลุ่มเด็กที่มาจากชนชั้นกลาง เป็นลูกๆ หลานๆ ญาติๆ ในสังคมของนักวิชาการหรือกลุ่มคนที่มีการศึกษาสูง
ดังนั้น ประเด็นเรื่อง ‘การยับยั้งชั่งใจ’ ‘การอดทนรอ’ จึงดูจะเป็นคุณธรรมเฉพาะของชนชั้นกลางและกลุ่มคนที่มีฐานะดี แน่ล่ะว่าเด็กๆ ที่โตขึ้นมาในครอบครัวที่ถึงพร้อม มีบ้านอบอุ่น มีการศึกษาที่ดี ย่อมได้รับการปลูกฝังมาให้รู้จักอดทนรอ แต่ถ้าเป็นเด็กจากชนชั้นยากจน เด็กจากพื้นเพที่มีความขัดสนอาจจะไม่มีแนวคิดเรื่องนี้ บางครั้งความสุขอาจจะเป็นเรื่องที่อยู่ตรงหน้า ขนมหรืออาหารที่มีในมือคือความแน่นอน งั้นก็กินเลยดีกว่า
ที่สำคัญคือในแบบทดสอบนั้น เด็กบางคนก็อาจจะแค่ไม่ได้ชอบขนมหวาน ก็เลยไม่กิน ง่ายๆ เลย
เด็กๆ จากชนชั้นกลางอาจถูกสอนให้เชื่อเรื่อง ‘ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม’ ในขณะเด็กบางกลุ่มอาจเชื่อว่า ‘กำขี้ดีกว่ากำตด’ โอกาสมาก็เอาไว้ก่อน แน่นอนว่า การที่เด็กจะรู้จักรอได้หรือไม่ อาจจะไม่ใช่ตัวชี้วัดเดียวในการบ่งบอกความสำเร็จในภายภาคหน้าไปเสียทั้งหมด
เมื่อเราโตขึ้น ก็เริ่มมีความคิดที่ไม่แน่ใจว่าการอดทนรอจะนำไปสู่เรื่องดีๆ ได้ซะทีเดียว บางครั้งเราจึงต้องมองหาเส้นบางๆ ระหว่างการอดทนรอกับการไม่อินังขังขอบ ไม่ยอมลงมือทำ และบางครั้ง เมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เราอาจจะกลายมาเป็นฝ่ายกระทำการ (active) มากกว่าจะเป็นฝ่ายรับคำสั่ง (passive) หลายครั้งเราจึงต้องชั่งตวงวัดคุณธรรมหลายข้อเข้าด้วยกัน จึงจะตัดสินใจได้ว่าเราควรจะ ‘รอต่อไป’ หรือควรจะเลือก ‘ทำทันที’ เพราะนอกจาก delayed gratification แล้ว เรายังมีประเด็น delayed justice ความถูกต้องต้องทำทันที บางเรื่องก็รอไม่ได้
เพราะตอนนี้เราไม่ใช่เด็กน้อยที่มีหน้าที่รอ รอว่าในอีกปี สองปี สามปีหลังจากนี้ จะมีผู้ใหญ่เอาขนมมาร์ชเมลโลมาให้อีกร้อยอัน และบางทีเราก็ไม่รู้ว่าขนมมาร์ชเมลโลแสนอร่อยที่ผู้ใหญ่บอกให้เรารอมันมีจริงไหม แล้วจะหวานอร่อยจริงหรือเปล่า
แล้วยิ่งถ้าคำสัญญามาร์ชเมลโลนั้น ถูกเลื่อนด้วยตัวมันเองครั้งแล้วครั้งเล่าล่ะ แบบนี้ เด็กน้อยก็อาจจะลุกขึ้นมาล้มโต๊ะ ทุบกระปุกมาร์ชเมลโล แล้วหยิบขนมมากินเองก็เป็นได้
อ้างอิงข้อมูลจาก