คงไม่ต้องพูดกันอย่างอ้อมค้อม เพราะแค่ชื่อของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 ก็เห็นชัดแล้วว่า สำหรับรัฐไทย sex worker เป็นอาชีพที่ต้องปราบปราม ไม่ใช่ควรทำความเข้าใจ หรือควรนับว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งที่ควรได้รับการดูแลและคุ้มครองทางกฎหมาย
ในแง่หนึ่ง กฎหมายที่ผลักให้คนกลุ่มนี้ตกไปอยู่ในซอกหลืบของสังคม ทำให้เการพูดถึงโลกของพวกเขาเหมือนเป็นสิ่งเร้นลับ และสร้างมายาคติขึ้นมากมายไม่ว่า เป็นโสเภณีเท่ากับบาป, เพราะจนเลยต้องมาขายตัว, โสเภณีเป็นพวกติดเซ็กซ์ ลฯล หรือจะกล่าวว่าสังคมไทยมองโสเภณีไม่ใช่คนดีตามมาตรฐานสังคมคงไม่เกินเลยไปนัก
TheMATTER ได้มีโอกาสคุยกับ ศิริ นิลพฤกษ์ หรือ ‘ทาทา’ ผู้ขายบริการทางเพศที่สวมใส่หลายหน้ากาก ทั้งรับจ็อบผู้ค้าบริการทางเพศที่อยู่ในวงการมากมากกว่า 30 ปี ตลอดจนในฐานะเอ็นจีโอผู้ทำงานมาหลากหลายสาขา ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนสิทธิมนุษยชน เธอคิดเห็นอย่างไรต่อมายาคติต่างๆ เหล่านี้ มองสถานการณ์ผู้ค้าบริการในไทยทุกวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง และมีสิ่งไหนที่ยังอยากพูดกับสังคมในวงกว้าง
เล่าให้ฟังหน่อย ตัดสินใจมารับงาน sex worker ได้อย่างไร
ตอนที่เราไปเรียนที่อินเดีย เราฮอตมาก จนทำให้เรามานั่งคิดว่าทำไมเราไม่ใช้ความฮอตของเรา ให้ทั้งสนุกและได้เงินด้วย
ทีนี้พอเรากลับมาเรียนการท่องเที่ยวและการโรงแรมในเมืองไทย แล้วสมัยนั้น มันมีโปรแกรมแชท แบบไม่เห็นหน้ากัน เราก็เลยลองดู ตอนนั้นมันไม่มีแลกรูปด้วยนะ ตอนนั้นมันก็วัดใจทั้งเราและเขาพอสมควร เพราะเราก็ไม่รู้ว่าพอไปถึงเขาจะพึงพอใจเราไหม หรือว่าเราจะพึงพอใจเขาไหม ถ้าเป็นคนแก่เลย ตอนนั้นเราก็ไม่ไหวเหมือนกัน
ครั้งแรกเขาก็เป็นรองอาจารย์โรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่ง ก็คบหากัน พูดคุยกัน ไปมาหาสู่กัน เวลาจะมีอะไรก็เดี๋ยวนัดไปกินข้าวเสร็จแล้วก็ไปโรงแรมกัน เสร็จแล้วก็ลองดูกับคนอื่นว่าจะได้เรตราคานี้เหมือนกันไหม คือตอนนั้น ได้ค่ารถ 1,000 บาท ค่าแรงอีก 2,000 บาท รวมก็เป็น 3,000 บาท
หมายถึงว่าตอนนั้นขายในเรตราคา 3,000 บาท/คืน
ไม่ทั้งคืนด้วย เพราะว่าตอนนั้นเราเป็นนักศึกษาด้วย ก็มีข้ออ้างว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้มีเรียน ไม่ใช่เป็นการขายตัวแบบเต็มเวลา
หลังจากนั้นคุณก็เป็น sex worker มาตลอดเลยหรือเปล่า
พอเราเรียนจบจากมหาวิทยาลัย และเลิกกับแฟนตอนอายุ 25 ปี ชีวิตมันก็เปลี่ยนอีกรอบหนึ่ง เพราะเราตัดสินใจเป็นอาสาสมัครในมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยที่ทำร่วมกับ WWF แล้วก็เลยได้เข้าป่า ทำงานเรื่องช้างป่ามาบุกรุกพื้นที่การเกษตรในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
ช่วงนั้นก็ไม่ได้ขายเลย เพราะป่าเป็นพื้นที่แปลกของตุ๊ด ตุ๊ดมาทำอะไรในป่า แล้วถ้าตุ๊ดมาแล้วจะทำอะไรได้บ้าง เราก็พยายามแบบ เห้ย! กูต้องทำได้สิวะ ทำไมจะทำไม่ได้ เลยพยายามทำอยู่ประมาณ 3-4ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ได้ทำการสายวิชาการมากขึ้น ช่วยเพื่อนทำงานวิจัย เริ่มทำโครงการทำค่าย อยู่จนเข้าอุทธยานทั่วประเทศไทยได้ฟรี
พอเราอยู่ป่าจนอิ่มตัว ประมาณอายุ 30 ปี เราก็ออกมาอยู่บ้านสักพักแล้วก็มีเพื่อชวนไปทำร้านอาหารที่สมุย พอไปอยู่นู้นก็มีแอบขายกับเพื่อนของเพื่อนบ้าง แบบไม่ได้จริงจัง แค่ขอบ้างเถอะเป็นค่าเหล้าก็ได้ หลังจากนั้นคือเราเปลี่ยนจากการขายตัวที่ได้เงิน เป็นการขายตัวแลกกับเหล้าแลกกับความสนุก
หลังจากนั้นพอปี 2557 ก็ได้เจอพี่นที (นที สรวารี – อดีตเลขามูลนิธิอิสรชน ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) เขาก็ดึงมาช่วยกลุ่มอิสรชนเป็นครั้งคราว จนเริ่มลงพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวไปค่ายเยาวชน ค่ายนู้นค่ายนี้ ก็คือกลับมาทำเรื่องสิทธิคนเร่ร่อน สิทธิเด็ก สิทธิ sex worker อะไรหลายอย่างเริ่มเข้ามาเรื่อยๆ
ในฐานะนักสิทธิมนุษยชน ที่เป็น sex worker ด้วย มองนิยามของ sex worker ว่าคืออะไร
ในนิยามของเรา Sex worker คือนักจิตวิทยาที่ดีคนหนึ่ง ที่ช่วยผ่อนคลาย ผ่อนปรน ช่วยทลายความรู้สึกบางอย่างของคนที่มาหาเรา บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องมีเซ็กส์ บางอารมณ์ก็แค่ไปนอนกอด ไปพูดคุย ไปนั่งกินเบียร์เฉยๆ ก็ได้
ทุกวันนี้ สังคมเราทำเหมือนเซ็กส์เป็นเรื่องน่าอายและห้ามพูดถึงในที่สว่าง มองอย่างไรบ้าง
การทำให้เรื่องเซ็กส์เป็นเรื่องน่าอาย พูดไม่ได้ในที่สาธารณะ มันทำให้ผู้ชายที่ไปซื้อถุงยางอึกอักที่จะบอกขนาดของตัวเองกับหมอ ทำให้เกิดความคิดว่าไม่ใหญ่แล้วผู้หญิงไม่ชอบ เลยต้องไปดัดแปลงอวัยวะเพศ หรือเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เอง มันก็สืบเนื่องมาจากสังคมที่ปิดปากเราอยู่แบบนี้
และจริงไหมที่ว่า ไม่ใหญ่แล้วไม่ดี
มันเป็นเรื่องของรสนิยมแต่ละบุคคลเท่านั้นแหละ แต่พอเราคุยกันน้อย สุดท้ายคือมันหาทางออกกันไม่ได้ในเรื่องราวเหล่านี้ เรื่องมันโยงไปหมด กลายเป็นว่าทุกอย่างต้องพูดเบาๆ พอไม่กล้าพูดในที่สาธารณะก็เลยไประบายความอัดอั้นผ่านโซเชียลกันเอง
คุณมองว่าอย่างไร ที่หลายคนพูดว่าคนที่มาเป็น sex worker เพราะสภาพเศรษฐกิจบีบบังคับ
เรื่องราวเหล่านี้มันอยู่ที่ตัวบุคคล โสเภณีร้อยคนมันก็ไม่ได้เหมือนกันหมดหรอก มีหลายคนด้วยซ้ำพร้อมใจมาเป็นเอง แต่บางส่วนโอเค ฉันจนแล้วเห็นเพื่อนขายบริการแล้วได้เงิน เลยอยากย้ายไปอยู่พัทยา อยากไปนวดที่เกาหลี หรือดูไบ มันก็จะมีการตามๆ กันไป
ส่วนหนึ่งหลายคนทำงานแล้วหวังว่าจะได้เจอความรัก ได้เจอคนดีๆ แล้วคนนั้นจะสามารถมาดูแลทั้งตัวเราและครอบครัวได้ มันเลยคล้ายเกิดเป็นค่านิยมว่า มึงต้องขายตัวนะเผื่อได้ผัวฝรั่ง ทำนองนี้
แล้วมีคนที่ได้แฟนจากการทำงานเป็น sex worker จริงไหม
มีค่ะ เรื่องเหล่านี้มีทั้งคนได้และคนไม่ได้แหละ เราก็ไม่อยากพูดว่ามันขึ้นกับดวง แต่มันขึ้นกับจังหวะในช่วงชีวิตมากกว่า คือเขาอาจจะเจอคนนี้ทำให้เขาไม่ต้องทำงานเหนื่อย แปปเดียวก็หลงรักกัน
เอาจริงๆ อย่างเราเองก็ยังหวังนะ เราเป็นคนที่ทำงานหนักมาทั้งชีวิตก็อยากจะสบายบ้าง ไม่ได้อยากมีครอบครัวนะ แต่อยากให้มีคนมาดูแลเรามากกว่า อย่างน้อยๆ ช่วยค่าบ้าน ค่าเหล้า ค่าข้าว ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร เดี๋ยวเรื่องอื่นๆ เราทำของเราเองได้
คิดอย่างไรบ้างกับบางส่วนของสังคมที่มองว่า อาชีพ sex worker เป็นบาป
เราคิดว่าเรื่องบาป-บุญมันไร้สาระ แม้กระทั่งการเป็นกระเทย ก็บอกกันว่าชาติที่แล้วไปลูกผิดเมียเขามา หรือเป็นโสเภณีเพราะชาติที่แล้วทำบาปทำกรรมไว้ มันทำให้ sex worker ต้องนำเงินไปทำบุญ เพื่อที่ชาติหน้าจะได้ไม่ต้องมาเป็นโสเภณี แต่สำหรับเราถ้าจะขายตัวทุกชาติก็ได้อะ เราทำด้วยความสนุก ด้วยความหวังว่าเราอาจจะได้เจอใครสักคน ไม่เจอก็ไม่เป็นไร เรายังมีแรง ยังทำงานได้อยู่
บางคนบอกว่า Sex worker เป็นอาชีพที่ง่าย แค่นอนแยกขาก็ได้เงิน ไม่ต้องทำอะไรเลย
เอาจริงๆ นะ มันโคตรยากที่สุดเลย ขั้นตอนที่ยากที่สุดคือ กว่าจะเล้าโลมได้ บางคืนเราต้องร้องเพลงเป็น 10 เพลงเลยนะ ต้องเต้นแบบเหนื่อยชิบหาย เมามากขนาดไหน เพื่อที่จะให้ลูกค้าเอาเราออก เราก็คิดเอากูออกไปเถอะกูอยากได้เงิน
อาชีพ sex worker ทำให้เจอคนหลากหลายทั้งนิสัยและสัญชาติ เคยเจออะไรที่ทำให้ตกใจที่สุดไหม
มีครั้งหนึ่งลูกค้าเป็นกลุ่มยากูซ่า และตามธรรมเนียมแก๊งค์ มันก็จะให้เลือกตามระบบอาวุโสของแก๊งค์ และทีนี้รุ่นน้องสุดท้องต้องมาเอาเราออกไปข้างนอก แต่เขาไม่ยอม เนื่องจากว่าเราเป็นโอกาม่า (กระเทย) และเขาอาย เลยกลายเป็นว่าเขาถูกกระทืบต่อหน้าเรา เราก็ตกใจแล้วบอกเขา “stop” เขาก็บอกคุณอย่ามายุ่ง มันเป็นเรื่องของแก๊งค์ เพราะถ้าหัวหน้าสั่งลูกน้องมีสิทธิ์อย่างเดียวคือต้องทำตาม
แล้วหลังจากนั้นเป็นอย่างไรต่อ
เราก็ทำอะไรไม่ได้ เลยบอกไปว่าเดี๋ยวเรากลับแล้ว เขาก็มีคนที่พูดภาษาอังกฤษได้มาเจรจากับเรา เขาก็พยายามบอกให้เราสบายใจว่า มันไม่ใช่เพราะเรานะ แต่ระบบของแก๊งค์มันต้องเป็นแบบนี้
สถานการณ์ในตอนนี้ที่ sex worker ยังเป็นอาชีพที่ผิดกฎหมายมันส่งผลอย่างไรบ้าง
ถูกขูดรีดทางศีลธรรม ถูกขูดรีดทางวัฒณธรรม ถูกขูดรีดทางบาปบุญคุณโทษ และก็สุดท้ายมันถูกขูดรีดด้วยอาชีพที่ไม่สามารถจะปฏิเสธได้ในบางที อย่างคนที่ทำงานในร้านอาบ อบ นวด ส่วนมากจะได้ส่วนแบ่ง 70-30 คือเด็กได้ 30 แต่ร้านได้ 70 ซึ่งมันไม่ยุติธรรม เพราะสุดท้ายร้านไม่ต้องรองรับสวัสดิการอะไรให้เด็กเลย อย่างเวลาเด็กป่วยรับแขกจนจิ๊พังก็ต้องเอาเงินตัวเองไปรักษา
แต่ถ้ายกเลิกกฎหมายปัจจุบัน (พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539) และให้หันมาใช้กฎหมายแรงงานกับ sex worker ได้ มันก็จะดีในกรณีของคนที่ขายบริการในอาบ อบ นวด กฎหมายแรงงานมันจะคุ้มครองว่า เจ้านายดูแลลูกน้องดีไหม ถ้าทำงานเกินเวลา มี OT ให้เขาไหม ถ้าป่วยไข้มีวันลาให้เขาไหม คือถ้ามันถูกกฎหมายขึ้นมาจริงๆ กฎหมายแรงงานมันจะมีสวัสดิการรองรับเรื่องเหล่านี้อยู่
ในกรณีของคนที่ขายบริการในอาบ อบ นวด กฎหมายแรงงานมันจะคุ้มครองว่า เจ้านายดูแลลูกน้องดีไหม ถ้าทำงานเกินเวลา มี OT ให้เขาไหม ถ้าป่วยไข้มีวันลาให้เขาไหม คือถ้ามันถูกกฎหมายขึ้นมาจริงๆ กฎหมายแรงงานมันจะมีสวัสดิการรองรับเรื่องเหล่านี้อยู่
นอกจากนี้ พอ sex worker ยังผิดกฎหมายมันทำให้ sex worker หลายคนที่โดนตบตี พอจะฟ้อง เขาก็ทักว่า อ้าวค้าประเวณีนี่ กลับเป็นคนตบไม่ผิด คนขายผิดแทนจาก พ.ร.บ. ค้าประเวณี อีกอย่างคนที่ขายก็ไม่กล้าบอกด้วยซ้ำว่าตัวเองขาย
ตอนนี้สังคมก็เริ่มหันมาพูดคุยในเรื่องสิทธิ sex worker มากขึ้น มองอย่างไรบ้าง
แนวโน้มของกระแสสังคมยังเท่าเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลยเพียงแต่ว่าแนวโน้มของผู้ขับเคลื่อนเริ่มสูงขึ้น แต่ถามเราเอง เรายังมองว่ามันยังมืดมิดอยู่
อย่างที่บอกว่ายังมีคนที่มองว่าโสเภณีเป็นอาชีพที่ต้อยต่ำ เป็นอาชีพที่ไม่มีทางเลือก เป็นบาปกรรม แล้วแม้กระทั่งคนที่ทำงานค้าบริการเองพูดว่า “ฉันไม่อยากถูกกฎหมายหรอก เพราะถ้าถูกกฎหมายเดี๋ยวมีเพดานภาษีขึ้นมาทำอย่างไร ฉันทำงานได้ ต้องจ่ายการเสียภาษีเข้ามาเพิ่มขึ้น” ก็ไปกลัวเรื่องภาษี
แต่ในการชุมนุมคนรุ่นใหม่ก็เริ่มมีการพูดถึงเรื่องนี้กันมากขึ้นนะ
คนรุ่นใหม่เริ่มศึกษามากขึ้นจริง แต่เขาก็ยังไม่ได้เข้าใจจริงๆ เพราะในรูปแบบการทำกิจกรรมหรือทำ work shop ตามม็อบมันสื่อสารแค่เฉพาะกลุ่มคนที่สนใจจริงๆ มันไม่ได้สื่อสารกับสังคมได้ในเชิงสาธารณะ และกลุ่มที่ขับเคลื่อนประเด็นเหล่านี้ก็ยังไม่ได้เป็นกลุ่มที่ใหญ่มาก
โสเภณีไม่ใช่พลเมืองอันดับหนึ่งของประเทศไทย ฉะนั้นมันก็คล้ายๆ กับกลุ่มคนพิการ ซึ่งมีจำนวนไม่เยอะที่มาขับเคลื่อนในประเด็นของตัวเอง แล้วพอมันไม่ใช่ประเด็นหลักแบบเรื่องปากท้อง ฉะนั้น สังคมก็ไม่ได้เข้าใจหรือเล็งเห็นความสัมคัญเท่าไหร่นักหรอก
ซึ่งจริงๆ แล้ว สังคมไม่ต้องสงสาร sex worker หรอก แต่ควรจะศึกษาและเข้าใจพวกเราดีกว่า เพราะไม่ว่าอาชีพไหนมันก็คืออาชีพ คนไม่ว่าคนไหนก็คนเท่ากัน
ถ้าตอนนี้เสียงของคุณสามารถไปถึงทั้งสังคมได้ อยากจะพูดอะไรกับพวกเขา
สังคมต้องหยุดดัดจริตพูดคำว่าสังคมเปิดกว้าง ต้องลองมาดูกฎหมายแต่ละข้อกันก่อนว่ามันครอบคลุมกับทุกคนหรือยัง มันถึงกลุ่มคนชายขอบ กลุ่ม sex worker หรือกลุ่มอื่นหรือยัง ถ้ายัง อย่าเพิ่งพูดคำว่าสังคมเปิดกว้างแล้ว