หากคนที่คุณรักหายสาบสูญไป คุณจะทำอย่างไร จะเฝ้าตามหาและต่อสู้ไปจนถึงเมื่อไหร่?
นับเป็นเวลา 6 เดือนกว่าแล้ว หลังจากที่ ‘วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์’ หนึ่งในผู้ลี้ภัยทางการเมืองหายตัวไป กลางกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา นำไปสู่ #saveวันเฉลิม และโปสเตอร์ตามหาความเป็นธรรมให้กับบุคคลสูญหายที่ปรากฎขึ้นอีกมากมายในพื้นที่ชุมนุม
หลังจากที่วันเฉลิมหายตัวไป สิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ พี่สาวของเขา ผู้ซึ่งไม่เคยออกมาเคลื่อนไหวประเด็นทางการเมืองในก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้ต้องเดินทางไปองค์กรต่างๆ เพื่อทวงถามความเป็นธรรมให้กับน้องชายของตัวเอง ทั้งยังเดินทางไปยังกัมพูชา เพื่อเข้ารับการไต่สวนที่ศาลแขวงประจำกรุงพนมเปญ ในวันที่ 8 ธันวาคมนี้
The MATTER ติดต่อไปพูดคุยกับสิตานัน ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับวันเฉลิม ด้วยความหวังว่า วันเฉลิม เธอและครอบครัวจะได้พบเจอกับความยุติธรรมเสียที
ในฐานะที่เป็นพี่น้องกัน ช่วยเล่าเรื่องของวันเฉลิมให้ฟังหน่อย
เขาเป็นเด็กน่ารักเนาะ พูดเก่ง แล้วก็เป็นเด็กที่มีความฉลาดและมีความรักในความยุติธรรมสูงมาก ซึ่งเขาไม่ชอบเห็นอะไรที่ไม่ยุติธรรม เขาก็จะพูดตรงๆ พูดด้วยเหตุผลนะคะ ต้าร์เป็นคนพูดอะไรจะใช้เหตุผลในการสื่อสาร เราก็ไม่คิดว่าจะมีบุคคลใดที่กระทำกับเด็กที่.. พูดง่ายๆ ต้าร์เป็นคนที่ไม่ได้ฮาร์ดคอร์หรืออะไร ต้าร์เป็นคนที่ออกแนวตลก ในแนวที่พูดจาฉอเลาะมากกว่า
เขามีความสนใจมาทางด้านการเมืองอยู่แล้วหรือเปล่า?
ทางครอบครัวเรา หรือส่วนตัวเราไม่ได้ยุ่งกับเรื่องทางการเมืองเลย ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ แต่น้องชายเราเขาเป็นนักกิจกรรม เขาก็เรียนรัฐศาสตร์ที่มหา’ลัยรามคำแหง มันทำให้เขาสนใจเรื่องของการเมืองการปกครองอยู่แล้วโดยส่วนตัวของเขา แล้วยิ่งเขามาเจอเหตุการณ์บ้านเมืองเราที่มันผิดปกติ ไม่ใช่รูปแบบประชาธิปไตย คือมีการรัฐประหาร แล้วเขาก็ได้ทำการวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมืองอย่างเข้มข้น ซึ่งเราก็เห็นตามคลิปต่างๆ หรือเห็นตามสื่อต่างๆ ที่เขาออกมาวิพากษ์วิจารณ์ เราก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร เพราะเรามีความรู้สึกว่าทุกคนมีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง ซึ่งสามารถกระทำได้ เราไม่ไปก้าวล่วงเขา
ตอนอยู่ไทย เขาเคลื่อนไหวยังไงบ้าง
อยู่ที่ไทยเขาก็เคลื่อนไหวเป็นเรื่องปกติของเขา เขาก็วิพากษ์วิจารณ์ของเขา มีรณรงค์ให้คนไปเลือกตั้ง คือเขารักในประชาธิปไตย แต่สิ่งที่เขาออกมาวิพากษ์วิจารณ์เพราะว่าเขาเห็นว่า ในประเทศไทยมันไม่ได้มีประชาธิปไตยจริงๆ แม้กระทั่งการโกงการเลือกตั้ง เราว่าทุกคนทราบแต่ไม่พูด เหมือนอย่างเราก็พอทราบ แต่เราก็ไม่พูดเพราะไม่ใช่เรื่องของเรา แต่กับน้องชายเรา ไม่ได้ ถ้าเขาเห็นว่าไม่ถูกต้อง เขาก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ จนทำให้เขาต้องลี้ภัยมาอยู่ที่กัมพูชา
นี่คือสาเหตุที่ทำให้เขาต้องลี้ภัย?
สิ่งที่เขาต้องลี้ภัยเพราะว่าเขาไม่ได้ไปรายงานตัวกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตอนนั้นคือเกิดรัฐประหารแล้ว แล้ว คสช.ก็เรียกคนไปรายงานตัว หนึ่งในนั้นก็มีชื่อของวันเฉลิมด้วย แต่วันเฉลิมไม่ได้ไปรายงานตัว เขาเลือกที่จะหนีออกนอกประเทศ
เขาได้พูดอะไรกับเราก่อนจะลี้ภัยไหม
คือตอนนั้นมันฉุกละหุกมาก แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่รู้ จากที่เราทราบมา เขาบอกว่าเขาไม่ปลอดภัย ก่อนที่เขาจะบิน เขาโทรไปบอกแม่ว่า ต้าร์ต้องหนีนะ ไม่ต้องเป็นห่วง ต้าร์ต้องลี้ภัย แต่จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาเราก็ได้ทราบว่า เขาโดนการคุกคาม มันเป็นสาเหตุที่เขาต้องหนี
ช่วงแรกๆ ที่เขาย้ายไปอยู่กัมพูชา ได้พูดคุยอะไรกันไหม
จริงๆ เราเองก็สับสนนะว่าระหว่างที่เขาหนีไป เขามาอยู่ที่กัมพูชาเลย หรือว่าไปที่อื่นก่อน มีช่วงว่างที่ไม่ได้ติดต่อกันอยู่ 2 ปี ตรงนี้เรายังสับสนอยู่ แต่หลังจากนั้นมา อันนี้เราทราบแน่นอนว่าเขาอยู่ที่กัมพูชา
หลังจากที่เขาหายไป 2 ปี ก็พูดคุยกันตามปกติ ถามสารทุกข์สุขดิบว่าเป็นยังไงบ้าง เขาก็บอกว่าต้าร์สบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง ต้าร์ก็ทำธุรกิจของต้าร์ อยู่ที่นั่นมีอะไรให้ทำ ตอนนั้นเขาก็บอกไม่ต้องกังวลนะ เขาอยู่ในที่ที่ปลอดภัยแล้ว
แต่เราก็เป็นห่วง เตือนน้องเสมอว่าให้ดูแลตัวเองด้วย ในเมื่อเขาอยู่ต่างแดนก็ไม่เหมือนประเทศไทยที่มีญาติพี่น้องคอยดูแล เขาไปอยู่ที่นู่นตัวคนเดียว เขาก็ต้องดูแลตัวเองให้มากขึ้น เราก็เตือนเสมอ
เขาเคยคุยกับเราว่า ถ้าเขาจะลี้ภัยไปฝรั่งเศส จะเป็นยังไง เราก็คุยกับเขาว่า เขาอยากไปจริงๆ ไหม แต่บทสรุปคุยกันไปคุยกันมาเขาก็บอกว่า ถ้าเขาไปอยู่ฝรั่งเศสเขาก็ไม่รู้จะทำอะไร เขาคิดว่าเขาอยู่กัมพูชามีอะไรให้ทำเยอะกว่า เลยตัดสินใจว่าจะไม่ลี้ภัยไปฝรั่งเศส อยู่ที่กัมพูชาต่อ
วันที่เขาหายไปเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ช่วงบ่าย วันที่ 4 มิถุนายน เหมือนเขาไปคุยธุระมา เขาก็บอกว่าเดี๋ยวจะอัปเดตกันหลังจากที่เขาประชุมเสร็จ เราโทรไปเขาก็ไม่ได้รับ เขาโทรมาเราก็ไม่ได้รับ เสร็จแล้วสักพักเขาก็โทรกลับมาแล้วบอกว่า ประชุมเสร็จแล้ว เดี๋ยวต้าร์ซื้อลูกชิ้นก่อน
หลังจากที่บอกว่าซื้อลูกชิ้นก่อนเขาก็คุยกับเราได้นิดเดียว มันก็เหมือนมีเหตุการณ์ เราไม่มั่นใจว่ามันเป็นอะไร แต่เสียงเหมือนกับเกิดอุบัติเหตุ เราก็เข้าใจว่าเขาเกิดอุบัติเหตุ เป็นเสียง ตึงๆๆ เข้าใจว่าเขาอาจจะซื้อลูกชิ้นเสร็จแล้วเดินข้ามถนนโดนรถชน ตอนนั้นนะคะ แล้วก็ได้ยินเสียงว่า “โอ๊ย! หายใจไม่ออก โอ๊ย! หายใจไม่ออก” ตลอดเวลา จนกระทั่งเสียงนั้นขาดไป มันไม่มีคำอื่นเลยนอกจากคำว่า โอ๊ย! หายใจไม่ออก
เราก็คิดว่าเขาประสบอุบัติเหตุ ก็บอกว่า “ต้าร์ ทุบหน้าอก ทุบหน้าอก” อย่างนี้ตลอดเวลาที่อยู่ในสายกันประมาณ 16-17 นาที ทำไมเราถึงได้ยิน เพราะว่าน้องชายเราเขาใช้บลูทูธคุยอยู่ เพราะฉะนั้น เราคิดว่าคนกระทำการอาจจะไม่ทราบว่าเขาใช้บลูทูธอยู่
หลังจากนั้น ทราบได้ยังไงว่าไม่ใช่อุบัติเหตุแบบที่เข้าใจ
หลังจากนั้นเราก็ติดต่อเขาไปหลายครั้ง หลังจากที่สายเขาตัดไป มันก็ไม่มีอะไรตอบกลับ ซึ่งเราก็ เอ๊ะ คิดว่าเขาเกิดอุบัติเหตุหรือเปล่า เขาเป็นอะไรหรือเปล่า เราก็เลยพยายามนึกแล้วโทรหาเพื่อนเขาที่เคยอยู่ที่กัมพูชา ให้เขาช่วยถามว่า ตอนนี้ต้าร์ประสบอุบัติเหตุหรือเปล่า ช่วยให้คนไปดูให้หน่อย เขาก็บอกได้ๆ หลังจากนั้นผ่านไปประมาณ 20 นาที เขาก็บอกว่า “ให้ทำใจดีๆ นะ ต้าร์ถูกอุ้ม”
พอวันเฉลิมหายไป ชีวิตประจำวันของเราเปลี่ยนไปยังไงบ้าง
เปลี่ยนไปมาก จากหน้ามือเป็นหลังมือเลย เราออกมาเรียกร้องทุกอย่าง ออกมารณรงค์เพื่อตามหา แล้วก็ออกมาผลักดันเรื่อง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการอุ้มหาย ตอนนี้ เหตุการณ์บ้านเมืองหลังจากที่วันเฉลิมหายไป ก็มีน้องๆ ที่ออกมาเรียกร้องให้วันเฉลิม จนบางคนก็โดนคดี หรือตอนนี้ก็ติดคุกไป เราก็เลยพยายามทำในด้านกฎหมาย เพื่อจะไม่ให้มีน้องๆ หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งถูกกระทำแบบ 9 รายที่ผ่านมา
เข้าใจว่า เป็นคนเดียวในครอบครัวที่ออกมาเคลื่อนไหว
คือที่บ้านเขาก็อยากให้สู้ แต่ด้วยหน้าที่การงานของน้องอีกสองคน แม่เขาก็ขอไว้ จริงๆ การออกมาเรียกร้องตรงนี้ ไม่มีใครไม่กลัวนะ แล้วสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับครอบครัวเรา มันถือเป็นอะไรที่สะเทือนใจ แม่ก็ไม่อยากให้ใครโดนกระทำแบบนี้อีก แต่เราก็บอกแม่ไปว่า เขาคือน้องชายเรา แล้วเราสนิทกันมาก เราอยากเรียกร้องความยุติธรรมให้กับทางครอบครัวเรา หรือให้กับรายก่อนหน้าที่เขาถูกกระทำมา
ถามว่าทุกคนอยากไหม อยากออกมาต่อสู้นะ แต่ด้วยกระบวนการยุติธรรมของบ้านเรา ถ้าให้พูดกันตรงๆ ปัจจุบันนี้เราว่ามันไม่มีความยุติธรรมแล้ว เราไม่สามารถเชื่อมั่นในศาลตุลาการได้ ไม่อาจเชื่อมั่นในความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายได้ มันก็ต้องออกมาเรียกร้อง ต้องออกมารณรงค์อย่างนี้
เราถือว่ากรณีของวันเฉลิม เป็นเรื่องโชคดีที่คนได้ตระหนักแล้ว เรารู้ว่ามันไม่ควรจะเกิดขึ้น แล้วทำให้ทุกคนตื่นตัว และตาสว่างขึ้นว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ไม่ใช่แค่รายที่กระทำในต่างแดนนี้ แต่ยังมีผู้สูญหายในไทยอีกมากโดยที่พวกเราประชาชนไม่เคยได้รับรู้
ณ ปัจจุบันมันทำให้ทุกคนได้ตื่นแล้ว รู้แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย เราไม่ควรจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้อีกต่อไป
ตอนนี้ ทางครอบครัวว่ายังไงบ้าง
จากที่วันเฉลิมหายไป แม่ก็ไฟเขียวให้เราเดินหน้าทางนี้นะ แต่น้องบางคนก็ยังรับราชการอยู่ อีกคนก็ทำงานเอกชน เลยยังยั้งอยู่บ้าง แต่จริงๆ เรากับน้องชายคนนี้ก็คุยกันตั้งแต่วันแรกแล้วว่าจะออกมาสู้ แต่แม่ขอไว้
ตอนนี้ ผ่านมา 5-6 เดือนแล้ว น้องก็รู้สึกว่าทนไม่ได้แล้วเหมือนกัน เราก็เริ่มออกมาเคลื่อนไหว ไปม็อบ ไปร่วมชุมนุมต่างๆ เราว่าทุกคนเหลืออดกับการถูกกระทำด้วยการกดขี่เราไว้ มันเป็นสิ่งที่เรายังคงเห็นกันอยู่ ถึงแม้ว่าเราจะออกมาเรียกร้อง เขาก็ยังคุกคาม แล้วอ้างว่าเราใช้ความรุนแรง ซึ่งฝั่งม็อบแค่สาดสี แต่เจ้าหน้าที่ยิงแก๊สน้ำตาใส่น้องๆ เขามองว่าเรารุนแรง ไม่ได้มองว่าตัวเองคือผู้กระทำ จุดนี้ทำให้เราอยู่เฉยๆ กันไม่ได้แล้ว ต้องออกมาแล้ว
อย่างที่เล่าว่า ชีวิตประจำวันเปลี่ยนไป ในด้านการทำงานเป็นอย่างไรบ้าง
ตอนนี้เราไม่ได้ทำงานเลย จาก 6 เดือนที่ผ่านมาในช่วงที่น้องหายไป เราก็ต้องออกมาตามหา มารณรงค์ พูดง่ายๆ ว่ามาเรียกร้องความยุติธรรมนั่นแหละ จนเหมือนเป็นงาน full-time ไปแล้ว
จากตอนแรก เราไม่รู้จักทวิตเตอร์เลย ก็ต้องมาโหลดทวิตเตอร์ ต้องไปหาข้อมูลต่างๆ ในโลกออนไลน์เยอะขึ้น มาหาข้อมูลเกี่ยวกับ 8 รายที่สูญหายมาก่อนหน้านี้ ก็ต้องกลับมาดูว่า ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องมันเกิดจากอะไร เหตุผลคืออะไร ต้องมาตามข่าวทั้งหมด กระทั่งมีม็อบต่างๆ เกิดขึ้นมา เราก็ต้องไปทุกที่ ไปทุกม็อบ ไปซัพพอร์ตน้องๆ ไปดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่ามันเกิดอะไรขึ้น พูดง่ายๆ ก็ไปสังเกตการณ์ ไปดูทุกอย่าง ไปหาข้อมูลแล้วก็ไปหาความจริง
มันทำให้มุมมองของเราที่มีต่อประเด็นสังคมต่างๆ เปลี่ยนไปเยอะไหม
ประเด็นที่เราเสียใจมากที่สุด คือประเด็นที่น้องเราเคยพูดว่า เมื่อก่อนเราเลือกที่จะปิดหูปิดตาเกี่ยวกับเรื่องการเมือง ทั้งๆ ที่เรารู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย แต่เราเลือกที่จะช่างมัน มันเป็นเรื่องไกลตัว ไม่เกี่ยวกับฉัน เราว่ายังมีบุคคลอีกเยอะแยะ ที่ละเลยและเลือกจะปิดหูปิดตาไม่ยอมรับความจริงกับการกระทำของรัฐบาลที่เกิดขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคดีของคุณบอส คดีศรีพันวา คดีของปารีณา ซึ่งถ้าถามเรา มันไม่ถูกต้อง ทำไมเศรษฐี ทำไมคนรวยไม่ถูกดำเนินคดี แต่บางคนทำเหล้าสาโทกินเองตามบ้านนอกก็โดนจับ ซึ่งกับพวกที่กระทำความผิด เปลี่ยนเฮโรอีนเป็นแป้งบ้าง โคเคนที่จับได้ก็บอกว่าเป็นสาร เป็นปุ๋ยบ้าง
เราโมโหตัวเองและเสียใจมาตลอดว่า เมื่อก่อนทำไมเราไม่เปิดหูเปิดตา เราเลือกที่จะหลับหูหลับตาให้พวกรัฐบาลเผด็จการมากระทำแบบนี้ จนถึงทุกวันนี้ มันทำให้เรากลับมาคิดว่า เราปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปไม่ได้อีกแล้ว แล้วคิดว่าประชาชนคนไทยควรลุกขึ้นมาต่อสู้กับรัฐเผด็จการได้แล้ว ไม่ใช่ให้เขาครอบงำเราแบบนี้ตลอดไป
เหมือนเมื่อก่อนเรามองว่ามันเป็นเรื่องไกลตัว แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว
ใช่ และเราไม่ควรจะละเลยด้วย เราไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ถูกกระทำต้องโดนคุกคาม เราก็โดน แล้วทุกคนก็บอกว่า คุณออกไปเรียกร้องทำไม คุณออกไปต่อสู้ทำไม คุณถึงโดนคุกคามไง
ยกตัวอย่างกรณีน้องผู้หญิงที่ออกมาพูดเรื่องโดนครูคุกคามแล้วออกมาพูด น้องเขาเป็นผู้เสียหาย แต่กลายเป็นว่า คนไปด่าว่าน้องเขาออกมาประจานตัวเอง ซึ่งจุดนี้เราคิดว่า มุมมองและวิธีคิดของคนไทยควรจะเปลี่ยนได้แล้ว เราไม่ควรจะให้เขากระทำเพียงฝ่ายเดียว เราต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ได้แล้ว
ได้พูดคุยกับครอบครัวของผู้สูญเสียก่อนหน้านี้ไหม
เราได้คุยกับครอบครัวของเหยื่อผู้สูญเสียเหมือนกัน ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่พอเจอกันก็ได้คุยกัน คุยเหมือยคนในครอบครัว เพราะว่าเขากับเราต่างเป็นผู้สูญเสียเหมือนกัน มีทั้งคุณแม่กัญญา แม่ของ ‘สยาม ธีรวุฒิ’ (นักจัดรายการวิทยุใต้ดินชื่อดังที่สูญหายไป) เราก็คุยกันบ่อย เป็นผู้ถูกกระทำเหมือนกัน เลยเข้าใจกัน
กรณีของสยาม เขาไปแสดงละครเรื่องเจ้าสาวหมาป่า แล้วเขาก็ต้องลี้ภัย แต่มุมของเรากับแม่เขา ก็ยังไม่เข้าใตว่ามันผิด ม.112 ได้ยังไง เราไม่เข้าใจว่าการที่เขาแสดงละครหรือน้องเราวิพากษ์วิจารณ์ทางด้านการเมือง ซึ่งเป็นแค่ความคิดเห็นของคนแต่ละคน มันต้องกระทำด้วยการอุ้มหายหรืออุ้มฆ่ากันเลยเหรอ เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นในสังคมไทยแล้ว เพราะว่าทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกอยู่แล้ว มันก็ไม่ควรจะทำกันหนักหนาสาหัสขนาดนี้
ตอนนี้กำลังดำเนินการอะไรอยู่บ้าง
ตอนนี้ก็ทำตามกระบวนการทางกฎหมายของที่นี่ (กัมพูชา) ที่เขาเรียกเรามา เราก็รอวันขึ้นศาล หลังจากนั้นมันขึ้นอยู่กับกระบวนการของเขาว่าจะตัดสินไปในทิศทางไหน หรือจะทำอะไร เราก็สามารถทำได้ประมาณนี้
วันเฉลิมหายไปได้ 6 เดือนแล้ว เรื่องของคดีมีความคืบหน้ายังไงบ้าง
ความคืบหน้าของคดีคือตรงนี้แหละ ที่ศาลเขาสอบปากคำเราหรือมีการติดตามในเรื่องนี้ เราถือว่าคืบหน้าเป็นอย่างมากแล้ว สำหรับในกรณีทั้งหมดที่ผ่านมาของผู้ลี้ภัยทางการเมืองที่ถูกบังคับให้สูญหายหรือการทรมาน อย่างน้อย 8 ราย การที่เขาเรียกเรามาสอบปากคำ ถือว่าเป็นความสำเร็จของเราในระดับหนึ่งที่สามารถทำให้ทางกัมพูชาเขารับเป็นคดีได้ และเป็นโอกาสที่จะทำให้เราได้รู้ว่าเรื่องมันเป็นยังไง
ที่เขาเรียกเรามาสอบปากคำ เรามองว่าเขาคงทำการสืบสวนสอบสวนบางอย่างด้วย แต่ว่าด้วยความที่มันเป็นเรื่องระหว่างรัฐกับรัฐ มีความเปราะบางระหว่างประเทศ เขาจะทำอะไรก็ต้องระมัดระวัง เหมือนกันกับเรา และสิ่งที่เราดีใจมาถึงทุกวันนี้ คือเขารับให้เรามาขึ้นศาลก็ดีแล้ว
กว่าเราจะมาถึงวันนี้นะ กว่าที่เราจะทำอะไรซึ่งทำให้ทางการกัมพูชายอมรับว่า มันมีกรณีของวันเฉลิมหายไปจากที่นี่นะ มันเป็นสิ่งที่พวกเราพยายามมากๆ ถึงการที่เขาจะยอมรับ แล้วให้เรามา เพราะก่อนหน้านี้ ช่วงแรกเขาก็ปฏิเสธทั้งทางการไทย และ UN มาโดยตลอด เราถึงได้ดีใจว่าเราทำมาถึงขั้นนี้แล้ว
สิ่งที่เราต้องการคืออะไร ทำไมต้องเดินทางไปถึงกัมพูชา
ที่เรามาเรียกร้องถึงที่นี่ เพราะอยากให้เรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย ถ้าทางการกัมพูชาจะปฏิเสธว่าวันเฉลิมไม่ได้อยู่ที่นี่ แล้วก็ไม่ได้หายไปจากที่นี่ ก็แล้วแต่ดุลพินิจของเขา แต่ทุกเขาก็รับรู้อยู่แล้วว่า วันเฉลิมอยู่ที่นี่ หลังจากนี้ถ้าทางการเขาไม่ประทับรับฟ้องเรา หรือดำเนินการสืบสวนสอบสวนต่อ เราก็มีหลักฐานบางประการที่เราเอามายื่นที่นี่แล้ว ถ้าทางนี้เขายังบอกว่าไม่มีอีก เราก็จะเผยแพร่ให้ทุกคนได้รับรู้ว่า จริงๆ แล้ววันเฉลิมเขาอยู่ที่นี่
เห็นว่ารณรงค์เรื่อง ‘พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย’ ด้วย คิดว่ากฎหมายฉบับนี้จะมีความสำคัญอย่างไรบ้าง
พ.ร.บ.นี้มันสำคัญมาก เพราะว่าจากที่เราทราบมาตั้งแต่คุณทนายสมชาย นีละไพจิตร ที่โดนอุ้มหายไปเมื่อนานมาแล้ว คนกระทำก็ยังไม่ถูกลงโทษ มันทำให้เขาสามารถกระทำกับใครก็ได้ เราเลยอยากมาผลักดันเรื่อง พ.ร.บ.นี้ให้รับเป็นกฎหมายจริงๆ เพื่อจะป้องกันและปราบปรามผู้ที่สั่งกระทำ หรือผู้ที่ลงมือกระทำ
ตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้ มันยังไม่มี พ.ร.บ.นี้ ทำให้เขากระทำการกับใครก็ได้ โดยเฉพาะช่วงนี้ เป็นช่วงที่ทุกคนมีโอกาสและมีการสุ่มเสี่ยง ไม่ว่าแกนนำหรือประชาชน หรือบุคคลใดที่ออกไปร่วมชุมนุม เราเลยอยากให้ ร่าง พ.ร.บ.นี้ผ่าน เพื่อจะป้องกันให้ได้ระดับหนึ่ง แม้ว่าไม่มาก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้
ถ้าเกิดว่าเรามี พ.ร.บ.นี้ คิดว่าจะช่วยแก้ปัญหาบุคคลถูกบังคับสูญหายได้มากน้อยแค่ไหน
พ.ร.บ.นี้ไม่มีอายุความ เราก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหน แต่ว่าถ้ามีกฎหมายนี้ ผู้กระทำหรือผู้สั่งกระทำจะต้องเกรงกลัวบ้าง เพราะมันจะมีระบุในข้อกฎหมายเลยว่า ผู้สั่งการหรือผู้กระทำต้องมีความรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ แต่ก่อนหน้านี้ไม่มีเลย นิรโทษกรรมกันตลอด แม้กระทั่งตอนรัฐประการ ผู้กระทำ ผู้สั่งการ คุณได้รับยกเว้นหมด กฎหมายของบ้านเรามันเอื้อกับผู้มีอำนาจ ซึ่งเรามองว่าไม่ถูกต้อง แล้วเราก็ตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวกันตลอดเวลา
จากกระแสของม็อบที่ออกมาเคลื่อนไหว เราก็จะเห็นว่าจะมีการชูป้ายที่เขียนว่าตามหาวันเฉลิมตลอด รู้สึกอย่างไรบ้าง
ตั้งแต่วันแรกแล้วที่น้องๆ ออกมาเรียกร้องให้ช่วยกันด้วย #Saveวันเฉลิม จนกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนเรียกร้องกัน ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ แล้วมันก็เพิ่มแรงทวีคุณขึ้นเรื่อยๆ ถ้าถามตัวเรา เราก็ดีใจว่าทุกคนตื่นตัว ทุกคนเห็นว่าการกระทำมัน เรียกว่ามันไม่ควรจะเกิดขึ้นกับใคร ซึ่งมันทำให้เราคิดว่า ถ้าน้องชายเราได้รับรู้ เขาก็จะดีใจว่า ประชาธิปไตยที่เขาเรียกร้องมาตลอด มันใกล้จะเป็นความจริงแล้ว มันขับเคลื่อนกันได้
เราว่า ตอนนี้มันไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยแล้ว คนไทยในต่างแดน ทุกคนก็ออกมารณรงค์ในเรื่องนี้ ทำให้เราดีใจและภูมิใจ สำหรับสิ่งที่วันเฉลิมเขาต้องการ มันเป็นสัญลักษณ์ที่เขาอยากเห็นมันมาตลอดระยะเวลาที่เขาลี้ภัยไป
แต่ก็มีหลายคนที่บอกว่า คนที่หายไปส่วนใหญ่แล้วก็หาไม่เจอเลย
ถามว่าในมุมของเรา ด้วยความที่เขาเป็นน้องเรา เราก็ยังหวังอยู่ก็ยังอยากให้เขาปลอดภัย มีชีวิตรอด แต่ก็อย่างที่บอกแหละ มันก็ผ่านมานาน 6 เดือนแล้ว เราไม่รู้หรอกว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่มี แต่เราก็ต้องทำให้ดีที่สุด จะมองว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้เสียสละก็ได้ แต่ก็เราก็ไม่อยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับใครอีก
ไม่อยากให้ต้องมีผู้เสียสละแบบนี้อีก เราอยากขอให้กรณีวันเฉลิมเป็นกรณีสุดท้าย
บางคนก็มองว่า ผ่านไปตั้งหลายเดือนแล้ว จะยังสู้ไปทำไม จะตามหาไปจนถึงเมื่อไหร่
เราโดนมาตั้งแต่แรกเลย เขาบอกว่า “คนหายไปแล้ว จะไปเรียกร้อง ไปตามหาให้เปลืองเงิน เปลืองเวลาทำไม” เราโดนเยอะมาก แต่เราคิดเสมอว่าถ้าเราไม่ตามหา มันจะติดใจเราไปตลอดชีวิต ว่าเราสามารถทำได้ เราสามารถตามหาน้องเราได้ เรามีหลักฐาน แต่ทำไมเราไม่ทำ
กับอีกหนึ่งเหตุผลที่เราลุกออกมาสู้จนถึงวันนี้ เพราะเราเป็นห่วงน้องๆ แกนนำหลายๆ คนที่สุ่มเสี่ยงว่าจะถูกบังคับให้สูญหาย หรือกระทั่งเราเองก็เสี่ยงมากเหมือนกันว่าจะโดนแบบที่น้องชายโดน ซึ่งตรงนี้แหละที่เราต้องผลักดัน ไม่ว่าอะไรที่เราคิดว่าสามารถเป็นเกราะให้น้องๆ ได้ เราก็ต้องทำให้ถึงที่สุด คุณก็รู้ว่าในประเทศไทยตอนนี้ สถานการณ์เขาจะใช้รัฐประหารหรือเปล่าเราก็ไม่รู้ นี่เป็นสิ่งเดียวที่เราสามารถทำให้โลกรู้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย
ก่อนที่เราจะมากัมพูชา ก็มีอัยการระหว่างประเทศบางท่านมาคุยว่า เราจะไหวไหมกับการต่อสู้คดี มันอาจจะยืดไปถึง 2 ปีนะ เราจะต้องใช้เวลาตรงนี้ ต้องเดินทางไปมา แล้วถึงเวลานั้นเขาอาจจะยกฟ้องก็ได้ เขาอาจจะบอกว่าไม่มีมูลก็ได้ เราจะไหวไหม เราก็บอกว่า ไม่เป็นไร เราถือว่า เราทำดีที่สุดแล้ว เราไม่อยากให้เขาจับแพะนะ เพราะเราตามหาความจริง แต่ถ้าเขาปฏิเสธที่จะค้นหาความจริงก็ไม่เป็นไร ต้องเข้าใจก่อนว่า เราไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ เราเป็นบุคคลธรรมดา เป็นประชาชนตาดำๆ เราก็ทำเท่าที่ทำได้ แต่เหนือจากนั้นก็คงเป็นหน้าที่ของรัฐแล้ว ถ้าเขายกฟ้องก็ไม่เป็นไร แต่เรื่องการรณรงค์เราก็ยังทำต่อ เราก็ยังตีแผ่เรื่องของเราไปเรื่อยๆ
ที่พูดไว้ก่อนหน้านี้ว่า แต่ก่อนไม่ได้สนใจเรื่องการเมืองเลย แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว อยากจะบอกอะไรถึงคนที่ยังมองว่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องไกลตัวเขาอยู่ไหม
คนเรามีหลายประเภท เมื่อก่อนไม่ใช่ว่าเราไม่รู้นะ แต่เราเลือกที่จะไม่รู้ มีคนบางประเภทที่รู้แต่ก็ไม่อยากรับรู้ กับบางประเภทที่ไม่รู้อะไรเลย ซึ่งเรามองว่า เขาไม่ได้ศึกษาหาข้อมูลมากกว่า หรือเขาอาจจะไม่ได้รับข้อมูลอย่างที่เรารับรู้ ก็เลยมองว่า เดี๋ยวอีกไม่นานคนก็จะเริ่มรู้มากขึ้น เหมือนกับที่เราเคยเป็น
จริงๆ ตอนนี้เราว่าก็มีคนที่รู้เยอะขึ้น และมีมุมมองเปลี่ยนไปเยอะแล้วนะ นับจากเหตุการณ์ที่วันเฉลิมหายไป บางคนก็เลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่เขาเชื่อมาก่อนหน้านี้ กับบางคนเลือกที่จะรับฟังมากขึ้น เราถึงบอกว่า ตอนนี้เราไปบอกให้ใครเขามาเชื่ออย่างที่เราเชื่อไม่ได้หรอก มันก็ต้องขึ้นอยู่กับเขา ที่จะเปิดใจรับฟังข้อมูลบางอย่างที่เขาไม่เคยรู้ คือเรามองว่าประเทศไทยกล่อมหรือพูดฝังหัวมานานแล้ว จะให้เปลี่ยนแปลงภายในวันนี้พรุ่งนี้ ก็คงไม่ได้ แต่เราถือว่าการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ที่วันเฉลิมหายไป 5-6 เดือน ถือว่ามันมหัศจรรย์มากแล้ว
จากกระแสการเคลื่อนไหวในตอนนี้ คิดว่ามีความหวังมากน้อยแค่ไหนกับการเปลี่ยนแปลงประเทศนี้
จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน จะได้ประชาธิปไตยเต็มใบหรือไม่ คงตอบยาก แต่ ณ วันนี้ เรามากันไกลมากแล้ว ทุกคนได้รู้แล้วแหละว่ามันเกิดอะไรขึ้น และเราว่ามันจะไปไกลกว่านี้อีก ไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้
ถามว่าเรากลัวไหม กลัว แต่ถามว่าจะหยุดไหม คงไม่หยุแล้วแหละ มันเลยจุดนั้นมาแล้ว เลยจุดที่เขาจะกักเราไว้แล้ว มันรอเวลาที่จะระเบิดแค่นั้นเอง สิ่งที่เขาทำกับเรามันปิดหูปิดตาใครไม่ได้อีกแล้ว
ทุกคนพร้อมจะเดินหน้า ไม่มีถอยหลัง คุณลองไปถามแกนนำสิว่าเขาจะถอยหลังไหม ไม่หรอก มีแต่เดินหน้า ยิ่งคุณกดเขา เขายิ่งเดินหน้าสู้ต่อ ตอนนี้ ประเทศไทยเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงแล้ว ถอยหลังไม่ได้แล้ว