กลายเป็นไวรัลอีกครั้ง หลังโซเชียลปรากฏโปสเตอร์ลวดลายสดใส คล้ายประกาศยินดีสำคัญ พร้อมข้อความแจ้งการลาออกจากตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพ ด้วย#ขอกราบลาออกจากข้าราชการ จนมียอดแชร์ต่อทางเฟซบุ๊กกว่าครึ่งหมื่น
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โปสเตอร์ลักษณะนี้ได้รับความสนใจ ก่อนหน้าไม่นานฮือฮากันไปแล้ว เมื่อครูผู้ช่วยคนหนึ่งตัดสินใจลาออก และได้มีบอกกล่าวผ่านรูปคล้ายโปสเตอร์ ที่หลายคนอาจนึกถึงป้ายไวนิลที่มักแขวนตามรั้วที่ทำการสำคัญๆ
อะไรคือหลังฉากมุกตลกร้าย ที่ป้ายแสดงความยินดีที่มักถูกใช้ในแวดวงราชการ ทั้งตอนได้รับแต่งตั้งใหม่ ย้ายสังกัด หรือเกษียณอายุราชการ ถูกผันมาเป็นประกาศลาออก The MATTER รวบรวมสารพัดปัญหาของคนทำงานในระบบราชการ ที่ยอมหันหลังให้เส้นทางอาชีพ
หมดแล้ว ยุคทำตามพี่ว่า
‘ทำๆ ไปเถอะนิดเดียว’ กลายเป็นประโยคชินหู ที่ผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคนต้องเจอ และมักตามมาด้วยคำแนะนำให้ทนเอาหน่อย นี่เองที่สะท้อนค่านิยมการให้ความสำคัญกับลำดับชั้น ทำให้หลายคนไม่กล้าแสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะในหมู่ข้าราชการรุ่นใหม่ ที่ถูกปลูกฝังว่าต้องเคารพระบบอาวุโส ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่านั่นยิ่งปิดโอกาสส่งเสริมคนเก่ง คนดี คนที่มีความรู้และความสามารถ
“อย่าให้งานเปลี่ยนเรา แต่เราควรเป็นคนเปลี่ยนงาน” ข้อความในโปสเตอร์ขอกราบลาออกจากข้าราชการ ของอดีตคุณครู สิริมาศ จันทรโคตร เป็นเสียงโต้กลับจากคนทำงาน
เขาได้แสดงความเห็นว่า ระบบที่ออกแบบมาไม่ดีพอ เป็นต้นตอของหลายปัญหา อย่างกรณีของรูปแบบการประเมินผลงาน ที่ยิ่งเพิ่มภาระงานและไม่สมเหตุสมผล แต่กลับไม่มีการแก้ที่ต้นตอ เลือกที่จะใช้วิธี ‘ทำตามคน’ ท้ายที่สุดต่อให้เปลี่ยนสังกัดไป ปัญหานี้ก็ยังตามหลอกหลอนไปทุกแห่ง ลาออกจึงเป็นทางออกเดียว
อยากรวยผิดตรงไหน
“ความดีเราอาจไม่คงทน แต่ความจนเรามั่นคง และคงที่”
“ฉันไม่ได้อยากเป็นคนเก่ง ฉันอยากเป็นคนรวย”
ข้อความของ พว.สุดารัตน์ มงคลธนทรัพย์ ที่ประกาศลาออกจากตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ นอกจากถูกใจคนในโลกโซเชียลแล้ว คงพูดแทนใจข้าราชการหลายคน
สำหรับปัญหาค่าตอบแทนและสวัสดิการที่ไม่เหมาะสมของข้าราชการ บ่นกันระงมในทุกยุคทุกสมัย แม้จะมีความเชื่อว่านี่เป็นกลุ่มอาชีพที่มั่นคงก็ตาม แต่ด้วยโครงสร้างที่ทำให้การปรับค่าตอบแทนต้องผ่านเกณฑ์ที่ยากเหลือเกิน จึงไม่น่าแปลกที่จะไม่สัมพันธ์กับภาวะค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นตลอดเวลา
อย่างกรณีของสุดารัตน์ ที่มองว่าการเลี้ยงตนเองและมีเงินฉุกเฉินสักก้อนก็นับว่ามั่นคงได้ แล้วทำไมต้องเหนื่อยสายตัวแทบขาด เพื่อแลกกับการทำอาชีพที่ว่ากันว่าถูกไล่ออกยากด้วย
แต่นั่นเป็นเพียงทัศนคติที่เธอให้ความเห็นไว้ เพราะเป้าหมายความสำเร็จของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
งานล้นจนไฟมอด
คงไม่มีใครตอบได้ชัดเจนว่า อะไรเป็นที่มาของภาระงานที่มากเกินไป จนส่งผลกระทบต่อเป็นทอดๆ ตั้งแต่ไม่สามารถบริหารได้ ไปจนถึงปัญหาสุขภาพ
อย่างไรก็ดี ในบทความวิชาการที่เผยแพร่ผ่านวารสารสนเทศ เรื่อง ‘ความสุขในการทำงานของข้าราชการไทย’ ได้กล่าวยกปัญหาที่อาจเกี่ยวเนื่องกับภาระงานล้นมือไว้น่าสนใจ ทั้งปัญหาโครงสร้างส่วนราชการที่ไม่คล่องตัว ขาดความยืดหยุ่นและยึดกับกรอบตามอำนาจหน้าที่เป็นสำคัญ รวมถึงปัญหากำลังคนไม่มีคุณภาพ ขาดความคิดสร้างสรรค์และความกระตือรือร้น
ส่งผลให้ท้ายที่สุดภาระงานมักเทหนักไปอยู่ที่บุคลากรที่มีความสามารถ หรือพร้อมปรับตัว
ตัวอย่างอมตะก็อย่างคนที่ฝันอยากเป็นครูสอนหนังสือ แต่เมื่อทำงานจริงภาระที่มากกว่า คืองานเอกสาร งานประเมิน งานจิปาถะ จนกินเวลาเตรียมการสอน
“ถึงไม่ได้เป็นครูในอาชีพ แต่เป็นครูในตัวตน” ซึ่งปรากฏในโปสเตอร์ลาออกของอดีตคุณครู สิริมาศ ก็นับเป็นผลลัพธ์ท้ายสุดของปัญหาเหล่านี้ แทนที่องค์กรจะได้พัฒนาขึ้นในภาพรวม กลับต้องสูญเสียบุคลากรที่เป็นกำลังสำคัญไป
รอแล้วรออีก กว่าจะเบิกอะไรได้แต่ละครั้ง
สำหรับการบริหารงานแบบรวมศูนย์อำนาจ แม้จะมีการมอบอำนาจให้หน่วยงานท้องถิ่นตามขั้นตอน แต่ความเป็นจริงราชการส่วนภูมิภาคก็ไม่สามารถใช้อำนาจได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ขาดความเป็นอิสระในการตัดสินใจ และยังคงยึดทรัพยากรที่ถูกจัดสรรจากส่วนกลาง
อย่างปัญหาที่ทำให้ครูอยากลาออก ตามที่ พล-อรรถพล ประภาสโนบล ผู้เคยรับราชการครู กล่าวไว้ใน Clubhouse เรื่อง ‘ทำไมครูไทย (อยาก) ลาออก’เมื่อช่วงปลายปีที่แล้วว่า
ที่ไหนหาเด็กเข้ามาเยอะได้ ก็จะได้ทรัพยากรมากขึ้น แต่ถ้าโรงเรียนไหนมีเด็กน้อย ก็จะได้ทรัพยากรน้อย กลายเป็นว่าครูต้องแบกรับหนักกว่าปกติ ซึ่งสะท้อนความคิดความเชื่อว่าการแข่งขันเพื่อเน้นทำให้การศึกษามีคุณภาพมากขึ้น
โกงไม่เป็นไร…ใครๆ เขาก็ทำกัน
สำหรับปัญหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น และประพฤติมิชอบในวงราชการ ถือเป็นเนื้อร้ายที่คอยกัดกินประเทศมายาวนาน และดูทีท่าไม่สามารถแก้ไขได้ในเร็ววันนี้ นับวันจึงยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของราชไทยติดลบไปเรื่อยๆ
ออกจากทหารมาเป็นนายกฯ
‘ข้าราชการคือข้าของแผ่นดิน’ นับเป็นมายาคติที่อาจต้องยอมรับว่าเก่าไปเสียแล้ว เมื่อทุกวันนี้หลายคนมองว่า ‘ข้าราชการคืออาชีพ’ ที่ใช้เลี้ยงปากท้องเหมือนอาชีพอื่น และเห็นคุณค่าในตัวเองก็ต่อเมื่อได้ทำงานเต็มศักยภาพ เติมเต็มความหวัง ความฝัน และความสุขไปด้วยกันอย่างสมดุล