เวลาที่อยากจะเปลี่ยนตัวตนเป็นอะไรที่ชิคๆ คูลๆ โดยเฉพาะเปลี่ยนแบบเป็นหมู่คณะ ก็ไม่แปลกที่เราจะเลือกจากภาพจำทางประวัติศาสตร์บางอย่างที่มันมีรูปแบบที่ชัดเจน
ชุดเขียวๆ ดาวแดงๆ ยกมือขึ้นทำความเคารพ แต่ก็แบบ เอ๊ะงงๆ ว่า นี่มันเป็นเครื่องแบบจากทางจีนนะ ส่วนท่าทางนี่มาจากฝ่ายนาซี คนละพื้นที่นี่หว่า จำได้ลางๆ ก็จับ Mix & Match กันไป
ชิค คูล ตัวตนชัดเจนกันไปเนอะ แต่ที่รัก reference ผิดอะ แล้วไอ้การแต่งกายล้อเลียนเนี่ย บางช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์มันเป็นเรื่องความอ่อนไหวกับความรู้สึกคน ยิ่งเราๆ อยู่ในระบบการศึกษา ก็ต้องมีความรู้บ้างเนอะ ทั้งรู้ประวัติศาสตร์ และก็รู้ว่าอะไรควรไม่ควร หรืออาจจะเถียงว่าเฮ้ย เราไม่ได้อยู่ในบริบทประวัติศาสตร์ยิวที่ถูกนาซีฆ่า จะยกมือทำท่าเป็นลัทธินาซีก็ไม่เห็นเป็นไร
อืม การศึกษาเป็นเรื่องของความรู้และความรู้สึกรู้สาเนอะ คิดและรู้สึกเยอะๆ หน่อยก็น่าจะดี
เอาล่ะ ไม่เป็นไร ชุดเท่ดี มีสไตล์ชัด The MATTER เลยอยากชวนมาดู เรื่องควรรู้ถ้าคุณอยากเป็นยุวชนแดงหรือ Red Guard
Cultural Revolution
ชุดเขียวๆ หมวกดาวแดง ก็เท่ดี แต่เบื้องหลังเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์จีนที่รุนแรงพอสมควร Red Guard นิยามง่ายๆ ก็คือเป็นกองกำลังสำคัญที่เหมา เจ๋อตง ใช้เป็นกลไกสำคัญในการปฏิวัติวัฒนธรรม ไอ้การปฏิวัติวัฒนธรรมก็ตามรอยเท้าเหมาที่ต้องการเปลี่ยนประเทศจีนไปตามแนวทางของคอมมิวนิสต์ แต่ปัญหาของเหมาในการดำเนินแนวนโยบายช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมมันสุดโต่งและถอนรากถอนโคนไป คือพี่แกเล่นโค่นขุดรากจีนเป็นพันๆ ปี แล้วสถาปนาไปสู่ระบอบที่ไม่มีชนชั้นทางสังคม สิ่งที่เหมาเล็งเห็นก็คือ ใช้วัยรุ่นนี่แหละ (แหม่ พลังคนรุ่นใหม่เนอะ) เป็นกลไกการจัดการระบบเก่าๆ ซะ
เฮียเหมาจริงๆ ก็เก่งนะ เพราะกลุ่มยุวชนแดง พอได้ฟังแนวคิด ไปจนถึงเหมาเองในช่วงปี 1966 มีการส่งจดหมายไปรับรองและสนับสนุนคนหนุ่มสาว จนมีการจัดตั้งเป็นกองกำลังขึ้นเริ่มจากในมหาวิทยาลัยและสถานศึกษาต่างๆ ในด้านหนึ่งกลุ่มวัยรุ่นทั้งหลาย…ซึ่งก็คงมีบ้างแหละที่ถูกกดขี่อยู่ในจารีตครอบครัว (คือ ก็ต้องยอมรับว่าครอบครัวจีนโบราณก็ไม่ได้เป็นอย่างละครบ้านนี้มีรัก) พอได้ฟังไอเดียที่เป็นอุดมคติของเหมาหรือของมาร์กซ์ จากการถูกกดขี่จากประเพณี จากการบังคับกดขี่ภายในครอบครัว ก็รู้สึกว่ามันอาจดีก็ได้ ทำไปทำมากลุ่มวัยรุ่นยุวชนแดงเลยกลายเป็นลักษณะของการคลั่ง คือเป็นโคตรติ่งเหมาและพร้อมทำทุกอย่างตามเหมา
To rebel is justified
การปฏิวัติหรือการขัดขืนเป็นเรื่องชอบธรรมเป็นคำขวัญของยุวชนแดงช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม แหม่ฟังดูเป็นคำที่แสนจะเหมาะกับวัยรุ่น โดยพื้นฐานความคิดแบบคอมมิวนิสต์ คือการพยายามขจัดแนวคิดของระบบทุนนิยมที่ให้ความสำคัญกับลำดับชั้นและการกดขี่ขูดรีดต่างๆ นานา ขจัดออกไปให้หมด ซึ่งคำว่าทุนนิยมและนายทุนในความหมายของทางมาร์กซ์ ไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องการประกอบกิจการอย่างเดียว แต่รวมไปถึงแง่มุมอื่นๆ ในชีวิตประจำวันที่มันแฝงไว้ด้วยวิธีคิดแบบทุนนิยม รวมไปถึงแนวคิดจากระบบเก่าๆ รากเหง้าจารีตทั้งหลาย ดังนั้นพวกผลผลิตจากยุคเก่าทั้งหลาย รวมไปถึงผู้หลักผู้ใหญ่ นักคิดนักเขียนที่ไม่ได้ยึดมั่นในแนวทางคอมมิวนิสต์ พวกนี้จะถูกเล่นงานอย่างรุนแรง เช่น เผาทำลาย หรือลากพวกครูอาจารย์พ่อแม่ คนเฒ่าคนแก่มาประจาน ให้คุกเข่า ด่าทอไปจนถึงทุบตีด้วยข้อหาว่าเป็นนายทุน เป็นพวกทุนนิยม
ซึ่งนั่นแหละผลคือมันกลายเป็นลัทธิ เต็มไปด้วยความเกลียดชัง คลุ้มคลั่งและการทำลายล้าง
A Little Red Book
การเอาเครื่องแบบทหารมาใส่เป็นเครื่องแบบประจำของกลุ่ม Red Guard ด้านหนึ่งก็แสดงให้เห็นการปฏิเสธรากเหง้าวัฒนธรรม ไปสู่การแต่งกายที่เหมือนกันหมด ประมาณว่านี่คือโลกใหม่ ทุกคนเสมอกัน ภาพของยุวชนแดงอย่างที่เราเห็นในโฆษณายุคนั้น เป็นวัยรุ่น ใส่ชุดทหาร หมวกมีดาวแดง มักถูกวาดให้มีสีหน้ามุ่งมั่นขึงขังมีพลัง มักมีปลอกแขนสีแดง แขนเสื้อมักถูกวาดให้พับขึ้นแสดงถึงการเอาการเอางานและการทำงานหนัก และมีสัญลักษณ์สำคัญคือหนังสือสีแดงเล่มเล็กๆ พกติดตัวอยู่เสมอ
หนังสือปกแดงเป็นสัญลักษณ์สำคัญยิ่งกว่าเครื่องแบบอีก เป็นเหมือนไบเบิลที่ยุวชนแดงต้องพกติดตัวไว้เสมอ ว่างๆ ก็เอามาพลิกอ่าน หนังสือที่ว่าจริงๆ คือสรรนิพนธ์เหมา เป็นหนังสือรวมงานเขียนและคำปราศรัยของท่านประธานนั่นเอง การแสดงความภักดีต่อท่านก็ใช้วิธีชูหนังสือเล่มแดงขึ้น
Four Olds
ในการปฏิวัติวัฒนธรรมมีสิ่งสำคัญที่เหมาบอกว่าเนี่ยต้องขจัดไปให้หมด เรียกว่าของคร่ำครึ 4 อย่าง (Four Olds) กระบวนการกำจัดของเก่าแก่ที่ว่ามีการใช้คำที่รุนแรงประมาณว่าเราต้องทำลายปีศาจที่เกาะกินและเป็นพิษต่อความคิดและสติปัญญาเราชาวจีนมานับพันปี ซึ่งของเก่าๆ ที่ว่าก็ประกอบด้วยประเพณีเก่าๆ วัฒนธรรมเก่าๆ นิสัยหรือพฤติกรรมเก่าๆ และความคิดเก่าๆ
ไอ้การจำกัดความเก่าที่ว่ามันก็วิบัติเลยเพราะสุดโต่งเกิน เล่นทำลายหมด ไม่เอาอะไรไว้เลย ไม่ประนีประนอม แล้วก็จัดการด้วยความรุนแรง
Tiananmen Fan Meeting
สุดยอดแห่งความตระการตา ถ้าอยากรู้ว่าประธานเหมาเก่งแค่ไหน คือพี่แกนอกจากจะมีลัทธิและฐานแฟนคลับแล้ว ความซุปตาร์ไม่ธรรมดาคือมีการจัดแฟนมีทติ้งด้วย ในวันที่ 18 สิงหาคม 1966 มีการจัดอีเวนต์ โดยท่านประธานปรากฏโฉมและพบปะกับเหล่า Red Guard ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน วันนั้นเลยเป็นวันโคตรประวัติศาสตร์ เพราะถนนทุกเส้น รถไฟทุกสายพร้อมมนุษย์วัยรุ่นต่างมุ่งสู่เทียนอันเหมิน เกิดเป็นภาพวัยรุ่นจำนวนมหาศาลชูหนังสือสีแดงเล่มน้อย เฮียเหมาเองที่ไม่ได้ใส่ชุดทหารสีเขียวนานแล้วก็ปรากฏตัวในชุดสีเขียวมะกอกตามความนิยมของเหล่า Red Guard มีการพบปะและโบกมือให้
โดยในวันนั้น ที่เทียนอันเหมินมีวัยรุ่นยุวชนแดงมาร่วมกว่า 8 แสนคน
The Heritage of Red Guard
วิธีการของเหมามันก็เป็นเรื่องการเมืองที่เหมาใช้รักษาอำนาจเพื่อนำไปสู่การใช้แนวคิดคอมมิวนิสต์ แต่ความซวยคือพอใช้วิธีการแบบลัทธิ สร้างความคลั่ง ในที่สุดมันก็นำไปสู่ความรุนแรงจนกระทั่งหมดความชอบธรรมในที่สุด ในแง่หนึ่งภาพของคอมมิวนิสต์ที่บ้านเรากลัว แบบว่า รากเหง้า พ่อแม่ ครูอาจารย์ ศิลปะวัฒนธรรม ศาสนา พวกนี้ไม่เอาเลย เป็นผีคอมมิวนิสต์ที่พวกเสรีนิยมวาดให้เรากลัวก็ยังคงเป็นเงาลางๆ หลอกลอนเราอยู่
จริงๆ วิธีคิดแบบมาร์กซ์ที่วิพากษ์ระบบทุนนิยม รวมไปถึงแนวคิดเชิงวิเคราะห์วิจารณ์ต่างๆ เช่นการวิเคราะห์อุดมการณ์ไปจนถึงการลดความเหลื่อมล้ำและการกดขี่ต่างๆ ก็เป็นวิธีคิดที่มีประโยชน์ในโลกของทุนนิยมและเสรีนิยม คือ มันไม่ได้ดีไปทั้งหมดและไม่ได้แย่ไปทั้งหมด ทั้งโลกเสรีนิยมและสังคมนิยม ไปจนถึงอนุรักษ์นิยม ปัญหาอยู่ที่ความสุดโต่งมากกว่า
Once upon time: Red Guard Confession
ปัจจุบันมีเหล่ายุวชนแดงที่ยังมีชีวิตอยู่ สื่อเช่น BBC ไปพูดคุยกับยุวชนแดง เมื่อเหล่าวัยรุ่นเลือดร้อน อายุ 14-15 ย้อนกลับไปดูสิ่งที่ทำลงไป ในตอนนั้นสิ่งที่เกิดเช่นการใส่ไคล้ว่าครูคนนี้เว่ยเป็นพวกทุนนิยม และมีการใช้ความรุนแรงทั้งต่อร่างกายและจิตใจ
Yu Xiangzhen หนึ่งในยุวชนแดงตอนนั้นบอกว่าตัวเองได้เล่นงานครูไปคนหนึ่ง และสารภาพว่าในตอนที่สาดโคลนและประจานครูนั้น ไอ้ข้อกล่าวหาไม่ได้เป็นเรื่องจริงเลย สุดท้ายพอผ่านช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมไป จึงกลับไปขอโทษขอขมา และทั้งชีวิตของเธอก็ถูกหลอกหลอนด้วยความรู้สึกผิดจากการกระทำดังกล่าวมาโดยตลอด