หลายเดือนที่ผ่านมานี้ เรามักจะเห็นกลุ่มคนหลากหลายวัย ที่มารวมตัวกันเพื่อออกกำลังกายร่วมกันในรูปแบบต่างๆ ตามสวนสาธารณะ และตามจุดต่างๆ ในเมือง
แม้ก่อนหน้านี้ สังคมจะหยิบยกเรื่อง Longevity ไปจนถึงคำถามที่ว่า สุขภาพดีๆ นั้นฟรีจริงไหม ขึ้นมาถกเถียงกัน ทว่าสิ่งเหล่านี้ย่อมเชื่อมโยงกับ ‘เมือง’ และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ด้วยเช่นกัน ซึ่งนำไปสู่คำถามที่ว่า แล้วเมืองจะปรับตัวเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตได้แค่ไหน?
ก่อนอื่นเราอยากชวนทุกคนมาทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้กันก่อน
พนิต ภู่จินดา รองศาสตราจารย์ประจำภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายกสมาคมนักผังเมืองไทย บอกกับ The MATTER ว่า ปรากฏการณ์นี้คือ ‘การขยับร่างกาย’ (Physical Activity) ซึ่งเกิดขึ้นทั่วโลก โดยเราต้องเข้าใจว่าในอดีต มนุษย์เป็นสัตว์ที่อยู่ในพื้นที่ชนบท-เกษตร และใช้แรงงาน
แต่เมื่อมนุษย์เริ่มใช้ชีวิตอยู่ในเมืองมากขึ้น สิ่งที่เป็นปัญหาคือ การขยับร่างกายที่ลดน้อยลง ซึ่งขัดกับหลักชีวะวิทยาทำให้เกิดเป็นภาวะเนือยนิ่ง (Sedentary Behavior) “ก็เหมือนกับตอนนี้ที่คุณนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศนี่แหละ”
นักวิชาการรายนี้แบ่งการขยับร่างกายก่อนเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ (COVID-19) ไว้ 3 ประเภท ได้แก่ 1. การขยับร่างกายจากการทำงาน, 2. การขยับร่างกายจากการเดินทาง และ 3. ตั้งใจไปออกกำลังกาย ในขณะที่การขยับร่างกายสองอย่างแรกมันลดลงอย่างมาก เนื่องจากเรามีการทำงานจากบ้าน (WFH) รวมถึงการนำเอา AI และเครื่องจักรมาช่วยมากขึ้น ทำให้สิ่งที่เพิ่มขึ้นคือ การขยับแบบที่สาม หรือการตั้งใจไปออกกำลังกายนั่นเอง

Photographer: Asadawut Boonlitsak
ทีนี้ปัญหาคืออะไร?
“ปัญหาคือโครงสร้างเมืองของเรา ถ้าเราบอกพื้นที่ที่เราจะขยับร่างกาย หรือออกกำลังกายได้ เช่น สวนรถไฟ มันไกลจากบ้านคุณไหม?” เขาตั้งข้อสังเกต
“ประเด็นหลักๆ คือต้องเป็นคนที่จิตใจอยากจะออกกำลังกายจริงๆ ถึงจะตะเกียกตะกายไปวิ่งตามสวนลุมฯ สวนรถไฟ หรือสวนเบญฯ ได้” พนิตตอบพร้อมกับอธิบายว่า สวนใหญ่ๆ เหล่านี้เป็นสวนที่ไม่ได้สามารถเข้าถึงได้ทุกคน ซึ่งสิ่งที่ควรทำคือการทำสวนขนาดเล็กที่กระจายไปทั่วเมือง
“สวนที่ให้คนกลับมาบ้านแล้วเปลี่ยนชุดออกไปใช้ได้อย่างเหมาะสม”
“เราไปจับมาตรฐานระดับองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่จะต้องมีพื้นที่สีเขียวไม่ต่ำกว่า 9 ตารางเมตรต่อหัว ซึ่งกรุงเทพฯ เคยมีประมาณ 5 ตรม.ต่อหัว ตอนนี้ขยับมาเป็น 6 กว่าๆ แล้ว ซึ่งวิธีการคือ การไปเพิ่มสวนขนาดใหญ่ เช่น สวนหลวง ร.9 ขนาดหลายร้อยไร่ เพื่อให้ตัวเลขหารมันเพิ่มขึ้น
แต่ว่าสวนขนาดนี้ ยิ่งเป็นสวนใหญ่เท่าไหร่ก็ยิ่งไกลบ้านมากเท่านั้น จริงไหม? กลายเป็นว่า ยิ่งไกลบ้าน คนที่อยากจะออกกำลังกายจริงๆ ถึงจะพยายามไป ส่วนคนที่ไม่ได้มีจิตใจอยากจะออกกำลังกายเท่าไหร่ หรือคนที่ไม่อยากเสียเวลาเดินทาง ก็ไม่มีสวนไหนที่อยู่ใกล้บ้านพวกเขาเช่นกัน” พนิตอธิบายต่อ

Photographer: Asadawut Boonlitsak
อย่างไรก็ดี เมื่อว่ากันตามหลักการแล้ว สวนไม่ได้มีเพียงประเภทเดียว สวนมีหลายประเภท หลายขนาด หลายการออกแบบ ทั้งตำแหน่งพื้นที่ที่มีแยกย่อยตั้งแต่สวนชุมชน สวนละแวกบ้าน ไปจนถึงสวนระดับมหานคร ซึ่งสิ่งที่นักวิชาการผังเมืองรายนี้พยายามทำอยู่นั้นคือ ‘สวนละแวกบ้าน’ แม้ว่าจะยังไม่ได้รับการสนับสนุนก็ตาม
“นอกจากสวนละแวกบ้านที่อยู่แถวหมู่บ้านจัดสรร ใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็อาจจะเป็นสวนชุมชนที่มีสนามกีฬาได้มาตรฐาน ต่อมาก็เป็นสวนของเมือง และก็สวนในระดับมหานคร ซึ่งตอนนี้เรามีแต่สวนระดับมหานคร เราไม่มีสวนประเภทอื่นอย่างเหมาะสมเลย แล้วทุกคนก็จะสร้างสวนระดับมหานครทั้งนั้น”
“สิ่งที่ผมพยายามทำคือการไป Fill-in สวนละแวกบ้าน สวนที่พ่อแม่อุ้มลูก จูงหลาน เข็นรถเข็นเด็กมาวิ่ง มาหัดเดิน มีสนามเล็กๆ ให้ครอบครัวมาทำกิจกรรมร่วมกัน” พนิตเล่า

Benjakitti Forest Park, Bangkok Thailand (Shutterstock)
แต่ก่อนหน้านี้เราก็เคยได้ยินนโยบาย ‘สวน 15 นาที’ มาแล้ว หรือว่าสิ่งนี้ยังไม่ตอบโจทย์?
นายกสมาคมนักผังเมืองไทย บอกว่า โครงการสวน 15 นาที เป็นสิ่งที่ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พยายามให้เกิดขึ้นในแต่ละเขต โดยจะให้นักออกแบบไปช่วยคนของสำนักสวนในแต่ละเขต “บางเขตก็ให้ความร่วมมือ แต่บางเขตที่เรื่องไม่เดินเลยมันก็มี มันก็เลยไม่เวิร์ก”
เขายังบอกด้วยว่า จากการศึกษาผังเมืองกรุงเทพฯ มานั้น ‘เขตชั้นใน’ ของเมือง เช่น บริเวณเกาะรัตนโกสินทร์มีสวนสาธารณะสำหรับออกกำลังกายค่อนข้างน้อย ในขณะที่ ‘ฝั่งธนบุรี’ ก็หาสวนสาธารณะยากมาก โดยสวนที่มีก็จะอยู่แถวพุทธมณฑลสาย 2 ไปเลย

Photographer: Asadawut Boonlitsak
เมื่อถามว่าจะแก้ปัญหานี้ยังไงดี?
พนิตตอบว่า ประเทศไทยเองก็มีพื้นที่ที่ ‘เหมาะสม’ อยู่เยอะเช่นกัน แม้จะไม่ใช่พื้นที่สีเขียวก็ตาม
“พวกพื้นที่ของรัฐ เช่น ลานจอดรถ หลังจาก 4 โมงเย็นที่รถออกหมดแล้วจะเก็บไว้ทำไม? ให้ประชาชนมาเตะบอล เล่นวอลเลย์ได้ คืออย่าไปมองว่าจะต้องเป็นที่ที่เป็นสวนตลอดไป หรือต้องเป็นสีเขียวเท่านั้น มันตรงไหนก็ได้ นึกภาพที่ที่พวกผมเตะบอลโกลรูหนู หรือที่เราเล่นกระโดดยางตามซอย มันมีพื้นที่แบบนี้เยอะแยะเลยนะ แต่เรากลับไม่ใช้มัน พวกลานจอดรถที่ต่างๆ ไปขีดสี ตีเส้นให้เขาเตะบอลได้หลังจากเลิกงานแล้ว แทนที่จะปิดรั้ว ก็เลื่อนเวลาและเปิดไฟให้เขาก็แค่นี้”
ทว่าปัญหาของบ้านเราคือที่ดินของรัฐและเอกชนนั้นแยกกัน หากเราอยากได้พื้นที่ส่วนรวมเพิ่มมากขึ้น บางคนก็อาจจะเสนอว่า “ก็เอาที่ดินรัฐสิ” ซึ่งจริงๆ แล้วหลายประเทศร่วมมือกับภาคเอกชน โดยแบ่งพื้นที่ของเอกชนมาใช้เป็นพื้นที่ส่วนรวม เพราะเราต่างรู้อยู่แล้วว่าพื้นที่ของรัฐอย่างเดียวมันไม่พอ หรือมีพอแต่ก็อยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะให้ทุกคนเข้ามาใช้งานได้
ดังนั้น การนำมาตรการภาษีมาแลกเปลี่ยนกับพื้นที่ ก็เป็นสิ่งที่พนิตพยายามชี้ให้เราเห็นว่า ทั้งรัฐและเอกชนต่างจะได้อะไรกลับไป “เช่น การยกเว้นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างและอื่นๆ ก็เป็นเรื่องปกติที่โลกเขาทำกัน จริงๆ แล้วประเทศไทยก็มีระบุอยู่ในกฎหมายผังเมือง ตั้งแต่ปี 2495 เพียงแต่เราอาจไม่รู้ เพราะเขาใช้คำว่า ‘ที่อุปกรณ์’ ซึ่งแปลว่าที่ของเอกชนที่ใช้เพื่อการสาธารณะและก็มีการจ่ายเพื่อทดแทน”

Lumpini Park, Bangkok Thailand (Shutterstock)
อนาคต: ส่วนตัวจะเล็กลง ส่วนรวมจะใหญ่ขึ้น
พนิตเล่าว่า ทิศทางที่ชัดเจนมากต่อจากนี้คือโลกจะมี คนเมือง เพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่โลกมีคนเมืองราว 50% จะขยับขึ้นเป็น 70% ในอีกประมาณ 20 ปีข้างหน้า โดยที่ประเทศไทยเองก็จะเป็นแบบนั้นเช่นกัน ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อคนเมืองมากขึ้นราคาที่ดินในเมืองก็จะดีดตัวสูงตาม
“ทีนี้ รูปทรงของเมืองก็จะเปลี่ยนไป นึกภาพว่าถ้าเรามีบ้านเดี่ยวที่มีสวนในบ้าน เราก็จะไม่ได้สนใจสวนสาธารณะนอกบ้านแล้ว เพราะเรามีสวนของเรา แต่ด้วยการบีบคั้นของการมีคนอยู่ในเมืองมากขึ้น เปรียบเทียบอย่างกรุงเทพฯ มีบ้านเดี่ยวอยู่ 10 ล้านหลัง แต่ปารีสมีบ้านเดี่ยวอยู่แค่ 10,000 หลัง ต่างกัน 1,000 เท่า
คุณจะมานั่งทับที่ที่มีมูลค่าสูงไม่ได้ และเขาก็มีมาตการภาษี ใครมีบ้านเดี่ยวก็เสียภาษีจนอ้วกแตก เพราะงั้นต่อไปในอนาคตส่วนรวมจะใหญ่ขึ้น ส่วนตัวจะเล็กลง แล้วการใหญ่ขึ้นมันจะกระจายไปทั่วทุกพื้นที่มากขึ้น แต่โครงสร้างของเมืองเรามันยังไม่ได้ตอบตรงนั้น” พนิตเล่า
นอกจากนี้ เขายังยกตัวอย่าง เมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส ที่สามารถกลายเป็น เมือง 15 นาที ได้ โดยมี 4 องค์ประกอบสำคัญนั่นคือ Work, Live, Learn และ Play โดยทุกอย่างจะต้องอยู่ในระยะเดินเท้า หรือปั่นจักรยานไม่เกิน 15 นาทีจากบ้าน ซึ่งทุกอย่างที่ว่านั่นก็คือ ศูนย์กลางชุมชน แหล่งงาน ที่ออกกำลังกาย โรงเรียนเด็ก ฯลฯ
“แบบพวกองค์ประกอบในชีวิตประจำวัน จะต้องอยู่ในระยะที่เดินได้ ซึ่งบ้านเรามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น”