“ป้าคิดว่าเงิน 200 บาท มันไม่เท่ากับพันล้านหมื่นล้านที่จะเสียไป” ละม่อม คนในจังหวัดสมุทรปราการ ระบุ
เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เป็นวันเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ซึ่งถือเป็นการเลือกตั้งท้องถิ่นที่สำคัญ อย่างไรก็ดี จังหวัดที่ได้รับการพูดถึงบ่อยครั้ง หลังผลการเลือกตั้ง อบจ. ออกมาแล้ว คือ ‘สมุทรปราการ’
ซึ่งผู้ที่ได้รับชัยชนะครั้งนี้คือ สุนทร ปานแสงทอง เครือข่ายตระกูลอัศวเหม ที่ลงแข่งในครั้งนี้หลังจาก ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม และ นันทิดา แก้วบัวสาย ตัดสินใจวางมือทางการเมือง หลังพ้นตำแหน่ง นายก อบจ. ปี 2020-2024
ดังนั้นความสนใจที่ผู้คนมีให้แก่สมุทรปราการ อาจเกิดจากผู้ที่ได้รับชัยชนะ ถูกจัดว่าเป็น ‘บ้านใหญ่’ ในพื้นที่ หรือด้วยเหตุผลที่สมุทรปราการเป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่ อยู่ใกล้กรุงเทพฯ และได้รับงบประมาณต่อปีจำนวนมาก แต่ผู้คนกลับรู้สึกว่า “จังหวัดนี้ไม่ถูกพัฒนามากพอ”
The MATTER จึงพูดคุยกับชาวสมุทรปราการถึงสภาพความเป็นอยู่ และความคาดหวังต่อการแก้ปัญหาที่พวกเขากำลังประสบ นอกจากนี้เรายังพูดคุยกับ พนิดา มงคลสวัสดิ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมุทรปราการ เขต 1 พรรคประชาชน เพื่อขยายภาพสมุทรปราการให้เด่นชัดยิ่งขึ้น
เสียงจากคนสมุทรปราการ
ศูนย์ประสานงานการเลือกตั้ง อบจ.สมุทรปราการ เปิดเผยว่า มีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 1,081,043 คน โดย อัยญ์วารินทร์ นักเต้นคาบาเร่ต์ อายุ 47 ปี ก็เป็นหนึ่งในนั้น
เธอเล่าย้อนไปในช่วงแรกที่มาอาศัยอยู่ในสมุทรปราการว่า เรารู้สึกว่าตอนนั้นไม่มีอะไรเลย ไม่เจริญ ถนนก็ยังไม่เจริญ เหมือนต่างจังหวัด แต่พออยู่ไปเรื่อยๆ ก็มีการพัฒนาขึ้น แต่การพัฒนาล่าช้ากว่าจังหวัดนนทบุรี ที่ถือถูกจัดเป็นพื้นที่ปริมณฑลเหมือนกัน
“ปัญหาในจังหวัดที่เรารู้สึกว่าต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงได้แล้ว คือ ปัญหาจากโรงงาน ทั้งเรื่องฝุ่นหรืออัคคีภัย ที่มักจะได้รับการแก้ไขเมื่อเกิดปัญหาเท่านั้น แต่ไม่มีการแก้ไขในระยะยาว”
เธอเสริมเหตุผลว่าทำไมถึงมองว่า สมุทรปราการถึงพัฒนาอย่างเชื่องช้า “เราคิดว่าเกิดจากการคอรัปชั่น และเวลามีการเลือกตั้งใดๆ ก็ตาม ก็ยังมีการซื้อเสียงกันอยู่ ซึ่งเกิดขึ้นในการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วย”
ที่ผ่านมา คนที่ได้รับเลือกตั้ง เช่น อบจ. ไม่ได้พัฒนาสมุทรปราการขนาดนั้น และผลการเลือกตั้งที่ออกมาล่าสุด ยังแสดงให้เห็นว่า ‘บ้านใหญ่’ ยังคงมีอิทธิพลในจังหวัดสมุทรปราการ
อัยญ์วารินทร์ ชี้ว่า คนสมุทรปราการโดยเฉพาะผู้สูงอายุ เข้าไม่ถึงข้อมูลประชาสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งเท่าที่ควร เช่น พื้นเพของผู้สมัคร นโยบายที่ผลักดัน ทำให้เวลามีคนมาซื้อเสียง และบอกให้เลือกเบอร์อะไร พวกเขาก็จะเลือกเบอร์นั้นๆ
เธอปิดท้ายว่า “สมุทรปราการยังมีอะไรอีกหลายอย่าง อย่างเป็นจังหวัดที่สามารถทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ แต่ด้วยการพัฒนาระบบพื้นฐานต่างๆ ที่ล่าช้า ทำให้คนนอกเข้ามาไม่ถึง”
ขณะที่ ละม่อม อายุ 73 ปี แม่ของอัยญ์วารินทร์ ที่อยู่สมุทรปราการมา 10 กว่าปี ระบุว่า “สำหรับป้าแล้ว สมุทรปราการสมัยก่อนไม่ได้แย่ แต่ในปัจจุบันมองว่า ปัญหาฝุ่นละอองจากโรงงานเป็นปัญหาที่ใกล้ตัว แต่ก็ไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสม”
เธอพูดต่อว่า ที่ผ่านมาไม่มีการลงมาพูดคุยว่า จะแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างไร ทว่ามักจะมาถามไถ่หรืออธิบายว่าจะแก้ปัญหาต่างๆ อย่างไร ในช่วงเลือกตั้งเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ละม่อมย้ำว่า เธอเป็นแม่บ้าน ไม่ได้ออกไปทำงานข้างนอก ดังนั้นจึงอาจไม่ค่อยรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นโดยรอบจังหวัดอย่างแท้จริง แต่ยอมรับว่าเรื่องฝุ่นละอองเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกว่าเป็นปัญหาใกล้ตัว
นอกจากนั้น เธอยังมีการพูดถึงการซื้อสิทธิขายเสียงให้ฟังว่า บริเวณแถวบ้านมีการแจกจ่ายเงินจำนวน 200 บาท เพื่อให้เลือก อบจ. คนหนึ่ง “ป้าก็รับไว้นะ แต่ไม่ได้เลือกเบอร์ดังกล่าว เพราะป้าคิดว่าเงิน 200 บาท มันไม่เท่ากับร้อยล้านพันล้านที่จะสูญเสียไปหลังจากนั้น”
ถัดมาที่ นวรัตน์ อายุ 48 ปี ผู้ทำงานเย็บผ้าที่บ้าน และอาศัยอยู่ในสมุทรปราการเข้าปีที่ 17 เริ่มเล่าภาพจำที่เธอมีต่อจังหวัดสมุทรปราการให้ฟังว่า เมื่อก่อนเป็นที่นี่เหมือนต่างจังหวัด ถนนยังเป็นลูกรัง ยังไม่มีการพัฒนาเท่าไร แต่พออยู่มาเรื่อยๆ ก็เริ่มพัฒนาขึ้น มีหมู่บ้าน มีตลาดสด มีรถเมล์ มีสองแถว ซึ่งหากเทียบกับ 10 กว่าปีที่แล้ว ตอนนี้ก็ถือว่าดีกว่า
อย่างไรก็ดี นวรัตน์ย้ำถึงปัญหาที่อยากให้ได้รับการแก้ไขเสียที ซึ่งก็คือ ปัญหายาเสพติด ที่เธอมองว่าทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน รวมถึงปัญหาฝุ่นควันด้วย ที่รุนแรงขึ้นกว่าแต่ก่อน
“ตอนไปเลือกตั้ง อบจ. เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ไม่ได้คาดหวังอะไรเลย แต่ยอมรับว่าผลลัพธ์ที่ออกมานั้น คงเกิดจากความรู้สึกของคนในพื้นที่ที่มองว่า ถ้าคนดูเข้าถึงง่ายเวลาพวกเขามีปัญหาอะไรก็ตาม พวกเขาก็จะเลือกคนนั้น”
“แต่ก็อยากให้ผู้ที่ได้รับเลือก ลงมาพบปะประชาชนให้มากขึ้น ลงมาพูดคุยปัญหา และทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ให้ได้ เพราะที่ผ่านมาพอเลือกตั้งเสร็จ มักจะหายไปเลย” นวรัตน์ กล่าวปิดท้าย
ส่วน พิกุล อายุ 55 ปี เพื่อนบ้านที่อยู่ละแวกเดียวกับ นวรัตน์ ระบุว่า สมุทรปราการสมัยก่อน ไม่ค่อยเจริญ ตอนนี้เจริญมากขึ้น ทั้งถนนหนทาง ตลาด และการใช้ชีวิตที่ดีขึ้น
สำหรับเธอแล้ว ปัญหาที่เธอคิดว่าต้องรีบแก้ไขคือ ปัญหายาเสพติดที่ขณะนี้ระบาดหนัก โดยเฉพาะกับเยาวชน “ครอบครัวของเด็กพยายามหาทางแก้ไข แต่ด้วยสิ่งแวดล้อมรอบด้านทำให้ปัญหานี้ยังอยู่”
ทั้งนี้ พิกุล บอกว่า การที่เธอออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง อบจ. ที่ผ่านมา เพราะคาดหวังในการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากคนเหล่านี้ถือเป็นหัวเรือ ที่จะทำให้ประชาชนมีชีวิตที่สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ
สมุทรปราการในสายตาของ สส.ในพื้นที่
ผึ้ง–พนิดา มงคลสวัสดิ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมุทรปราการ เขต 1 พรรคประชาชน กล่าวว่า สำหรับเธอแล้ว สมุทรปราการไปได้มากกว่านี้ หากดูจากตัวเลขงบประมาณ มันสามารถทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลง เห็นการพัฒนาที่เป็นรูปธรรมได้
“4 ปี หนึ่งหมื่นล้านบาท มันเป็นจำนวนที่สูง เราเลยคาดหวังกับการเลือกตั้ง อบจ. มาก เพราะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ในระดับจังหวัด ถ้าตั้งใจทำ คิดว่าทำดีกว่านี้แน่นอน”
เธอระบุถึงสิ่งที่สมุทรปราการรอรับการพัฒนาและแก้ไข ว่าปัญหาที่ต้องแก้มีเยอะอยู่เหมือนกัน ทั้งในแง่ของสาธารณสุข ที่ยังมีไม่เพียงพอในอำเภอ บางพื้นที่ไม่มีโรงพยาบาลรัฐมารองรับประชาชน ซึ่งบางจุดสามารถพัฒนาเป็นโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้ได้ ดังนั้นระบบสาธารณสุขต้องถูกปรับปรุงเพื่อรองรับ ‘สังคมผู้สูงอายุ’ ในสมุทรปราการ
ในส่วนของการศึกษา ไม่มีโรงเรียนไหนอยู่ภายใต้สังกัด อบจ. เลย เพราะฉะนั้นครอบครัวที่มีรายได้ต่ำ ที่ควรได้รับการศึกษาหลักสูตรที่มีประสิทธิภาพ ที่ อบจ. ต้องสนับสนุน ก็ไม่มีให้เห็นเลย
พนิดา เสริมว่า ตอนนี้มีโรงเรียนที่มีคุณภาพอยู่บ้างก็จริง แต่เด็กๆ ต้องแข่งขันเพื่อเข้าเรียน หรือต้องเสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง “และเด็กเล็กที่เติบโตมาในสังคมอย่างเขตของผึ้งเอง กลับไม่มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในตำบลรองรับ”
ดังนั้นพ่อแม่ชนชั้นแรงงาน อาจต้องส่งลูกกลับต่างจังหวัด หรือใช้บริการศูนย์เด็กที่เป็นในรูปแบบคุณป้าแถวบ้าน คุณลุงแถวบ้าน หรือใช้บริการบ้านที่รับฝากลูก
“อย่างน้อยๆ ศูนย์เด็กเล็กต้องมีสักแห่งต่อหนึ่งอำเภอ หรือต่อตำบลก็อาจจะเป็นไปได้ด้วยซ้ำ หากใช้งบประมาณของรัฐได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ”
นอกจากนี้ สส.สมุทราปราการ เสริมว่า ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมในสมุทรปราการ ถือเป็นปัญหาที่หนักที่สุด “ภูเขาขยะเป็นโจทย์ที่ท้าทายอย่างมาก และท้าทายมานานแล้ว แต่ไม่มีคนเข้าไปทำอะไรอย่างจริงจัง”

บ่อขยะแพรกษาใหม่ ตั้งอยู่ด้านหลังของที่ทำการ อบต.แพรกษาใหม่ จังหวัดสมุทรปราการ
เราต้องมาคิดกันว่า มันจะถล่มมาวันไหน ถ้าไม่สามารถขจัดขยะทั้งระบบในจังหวัดอย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีปัญหาโรงงานระเบิดและไฟไหม้บ่อยครั้ง
“โรงงานอุตสาหากรรมสารเคมีอยู่รายรอบตัว เราจะจัดการและรับมืออย่างไร หรือจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นครั้งเป็นคราว ซึ่งสุดท้ายมักเป็นบทเรียนอย่างที่เราเห็น ที่กลายเป็นประเด็นในสังคมอยู่สักพัก และสุดท้ายก็จะหายไป ขณะที่ปัญหาทุกอย่างยังคงเดิม”
เธอย้ำว่ามันถึงเวลาที่ต้องสร้างศูนย์ตอบโต้ภัยพิบัติได้แล้ว ในจังหวัดที่มีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ขนาดนี้
สุดท้ายคือ เรื่องเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชน ซึ่งเศรษฐกิจในสมุทรปราการซบเซาลงอย่างมาก ในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดคำถามที่ตามมาก็คือ เราจะใช้เครื่องจักรเศรษฐกิจตัวไหน ที่จะทำให้ประชาชนมีเศรษฐกิจในชุมชนที่ดีขึ้น มีพื้นที่ขายของ ได้นำพาเม็ดเงินไหลเข้าจังหวัด
“นอกจากนั้น ปัญหายาเสพติดก็เป็นปัญหาที่หนักมากเช่นกัน หากเราจะรอการจัดการจากรัฐส่วนกลางอย่างเดียว ผึ้งมองว่ายังไงก็ไม่ถึง เพราะมีแต่คนในพื้นที่หรือตำรวจในชุมชนเท่านั้นที่รู้ว่า บ้านไหนมีคนติดยาเสพติด บ้านไหนขายยา”
พนิดา ระบุว่า ต้องนำงบประมาณที่จะมาปูพรมเพื่อตรวจให้เราเจอ เพื่อคัดแยกและนำคนที่ติดยาเสพติดไปรักษา ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถทำได้ แต่ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของผู้นำ
“สิ่งเหล่านี้มันเป็นโอกาสต่างๆ โอกาสใหม่ๆ ของสมุทรปราการ ที่ อบจ. สามารถทำได้ มีอำนาจในการทำ มีงบประมาณที่เพียงพอที่จะทำด้วยหากมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ฉะนั้นจำเป็นต้องคาดหวังไปที่ผู้ที่ได้รับการเลือกคนใหม่ ที่ต้องเข้าไปแก้โจทย์ แก้ปัญหา ของสมุทรปราการให้ได้”
การร่วมมือกัน เพื่อคนสมุทรปราการ
สส.สมุทรปราการ ระบุว่า ก่อนอื่นจะมีการร่วมงานกันอย่างแน่นอน ผ่านสมาชิก อบจ. ที่ได้รับการคัดเลือกเข้าไป “สมุทรปราการมี สมาชิก อบจ. 36 คน ซึ่งมีพรรคประชาชนเข้าไป 12 คน เท่ากับเป็น 1 ใน 3 ซึ่งเสียงดังกล่าวจะเป็นคนที่ไปผลักดันวาระและประเด็นต่างๆ ที่เราเตรียมไว้สำหรับการผลักดันนโยบายแน่นอน
“อันดับที่สอง ในฐานะที่ผึ้งเป็น สส.เอง ตั้งแต่องค์การบริหารส่วนจังหวัดชุดก่อนหน้านี้ เราก็พยายามทำงานร่วมกัน ทั้งการฝากประเด็นต่างๆ ที่รับปัญหาจากประชาชนมาแล้ว แล้วมาดูว่าปัญหาไหนเป็นอำนาจของ อบจ. เราก็มีการประสานความร่วมมือไป ดังนั้นเราก็จะทำงานลักษณะนี้กับ อบจ. ชุดใหม่เช่นเดียวกัน คือแก้ปัญหาของประชาชน เพื่อให้สมุทรปราการเปลี่ยนได้”
การเมืองท้องถิ่นกับบ้านใหญ่
พนิดา แสดงความเห็นต่อการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ผ่านมาว่า สำหรับเธอแล้วเรื่องนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ เพราะการเลือกตั้งถูกจัดขึ้นในวันเสาร์ วันที่หลายคนยังต้องทำงาน
“ผู้ออกมาใช้สิทธิในการเลือกตั้งครั้งนี้อยู่ที่ 52 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าน้อยมากๆ มันต่ำกว่าการเลือกตั้ง อบจ. เมื่อปี 2020 ที่ตัวเลขอยู่ที่ 61 เปอร์เซ็นต์”
“ประชาชนหลายคนส่งข้อความมาหาว่า ต้องลางาน หรือต้องยอมเสียค่าแรงรายวัน เพื่อมาเลือกผู้แทนจากสมุทรปราการ” เธอระบุปิดท้าย
ทั้งนี้ ‘สมุทรปราการ’ เป็นจังหวัดที่ได้รับงบประมาณ อบจ. สูงถึง 2,500 ล้านบาทต่อปี หากเทียบเป็น 4 ปี จะมีงบฯ สูงถึง 1 หมื่นล้านบาท จึงไม่เป็นเรื่องไม่แปลกว่าทำไม การเลือกตั้ง อบจ.ในครั้งนี้ หลายคนต่างจับตามองสนามเลือกตั้งในสมุทรปราการเป็นพิเศษ เพราะด้วยงบฯ ที่จังหวัดได้รับจำนวนมหาศาล รวมถึงการที่จังหวัดดังกล่าวขึ้นชื่อเรื่อง ‘บ้านใหญ่’ ที่ตระกูลและเครือข่ายอัศวเหมครองการเมืองท้องถิ่นมานานหลายสิบปี
อย่างไรก็ดี การเลือกตั้ง อบจ. สมุทรปราการครั้งนี้อาจเป็นการยืนยันว่า บ้านใหญ่ยังคงเรืองอำนาจในการเลือกตั้งท้องถิ่น? เนื่องจาก ‘สุนทร ปานแสงทอง’ บ้านใหญ่เมืองปากน้ำ เครือข่ายตระกูลอัศวเหม สามารถคว้าชัยชนะเลือกตั้งนายก อบจ.สมุทรปราการ
ทว่าตั้งแต่การเลือกตั้งจบลง กลับเกิดข้อสังเกตมากมายเกี่ยวกับผลการเลือกตั้ง อบจ. สมุทรปราการ เช่น การรายงานผลในช่วงเวลา 02.30 น. กับ 03.13 น. ตัวเลขจำนวนผู้มาใช้สิทธิถูกปรับลดลงจาก 569,659 เป็น 565,061 คะแนน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ห่างกันถึง 4,598 คะแนน
และยังมีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องบัตรเสีย ซึ่งปรากฏตัวเลขในอัตราที่สูงกว่า 51,788 คะแนน ส่งผลให้พรรคประชาชนยื่นเรื่องให้มีการนับคะแนนผู้สมัครนายก อบจ. สมุทรปราการใหม่ ซึ่งผู้อำนวยการสำนักงาน กกต. จังหวัดสมุทรปราการทำการรับเรื่องไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ท้ายที่สุดแล้ว การเลือกตั้ง อบจ. ครั้งนี้ ผู้ที่ขนานนามว่าเป็นบ้านใหญ่จะกวาดชัยชนะไปเป็นจำนวนมาก แต่ในเวลาเดียวกันก็มีความเห็นมากมายที่มองว่า
ถ้าการเลือกตั้งถูกจัดขึ้นในวันอาทิตย์ รวมถึงมีการเปิดโอกาสให้มีการใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า หรือเลือกตั้งนอกเขตได้ จำนวนผู้ใช้สิทธิอาจเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก และผลลัพธ์ที่ออกมาอาจต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นต้องจับตาดูต่อไปว่าการเลือกตั้งท้องถิ่นจะถูกปรับเปลี่ยน เพื่อให้ตัวเลขคนมาใช้สิทธิเลือกตั้งเพิ่มขึ้นหรือไม่
อ้างอิงจาก