1 กุมภาพันธ์ 2568 ถือเป็นนัดหมายที่สำคัญของประชาชน เนื่องจากเป็นวันเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) หรือการเลือกตั้งท้องถิ่นที่สำคัญพอๆ กับการเลือกตั้งระดับชาติ
การเลือกตั้งในรอบนี้ จะเกิดขึ้นใน 17 จังหวัดเท่านั้น เนื่องจากบางจังหวัดได้จัดการเลือกตั้ง อบจ.ไปก่อนหน้านั้นแล้ว อย่างไรก็ตาม ตลอดที่ผ่านมาจนปัจจุบัน มีการรณรงค์ให้คนกลับบ้านไปเลือกตั้ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ปฏิเสธได้ยากว่า สำหรับใครหลายคนแล้ว การเลือกตั้ง อบจ. ยังดูเหมือนจะห่างไกลจากการรับรู้และชีวิตของพวกเขาพอสมควร
จึงกลายเป็นคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น อะไรที่ทำให้เกิดความรู้สึกไกลห่างกันขึ้นมาได้?
อบจ.สำคัญกับคนในพื้นที่ยังไง
ilaw ระบุถึงอำนาจหน้าที่ของ อบจ. ว่า มีหน้าที่ในการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในพื้นที่ เช่น การจัดทำบริการสาธารณะต่างๆ อาทิ สร้างถนน สะพาน เส้นทางคมนาคมต่างๆ ท่อขนส่งระบายน้ำ ตลอดจนสร้างสวนสาธารณะ ฯลฯ
ดังนั้น อบจ.ถือเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย มีเขตรับพื้นที่รับผิดชอบครอบคลุมทั้งจังหวัด ซึ่งพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ระบุว่า อบจ.ได้รับงบประมาณสนับสนุนรวมทั้งประเทศกว่า 28,797.8 ล้านบาท
โดยเม็ดเงินเหล่านี้จะถูกนำไปเติมเต็มโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ของประชาชนทั้ง 76 จังหวัด ยกเว้นกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา ส่งผลให้การเลือกตั้งอบจ.ในครั้งนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตั้งเป้าหมายให้มีผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งถึง 65 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม หากย้อนไปเมื่อปี 2563 พบว่า มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง อบจ. อยู่ที่ 62.25 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ทำไมตัวเลขถึงน้อยเช่นนี้?
ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า ให้เหตุผลว่า “ผู้คนบางส่วนที่ไม่สนใจ เพราะอาจรู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัว”
เขากล่าวต่อ การเลือกตั้ง อบจ. เป็นการเลือกตั้งท้องถิ่น ที่คนต้องได้รับผลกระทบจากมันโดยตรง ทั้งได้รับบริการ ได้รับประโยชน์จากนโยบายหรือโครงการต่างๆ ถึงจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของพวกเขาอย่างแท้จริง
อบจ.สำคัญ แต่ด้วยกลไกของมันทำให้คนรู้สึกว่าไกลตัว
แม้หลายคนอาจจะมองว่า อบจ.จะเป็นหน่วยงานที่ใกล้ชิดกับประชาชน คล้ายกับ สส. หรือผู้ว่าราชการจังหวัด แต่สติธรเห็นว่า “ไม่ใช่เสียทีเดียว” แม้ว่าหากระบุถึงท้องถิ่น บางคนอาจรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องสำคัญ แต่สำหรับอาจไม่ได้คิดเช่นนั้น
เขาให้เหตุผลว่า ปัญหาหลักสำคัญของ อบจ. คือ “หน้าที่ของมันไม่ได้ใกล้ชิดกับประชาชน สมกับที่การปกครองท้องถิ่น” เพราะว่าการปกครองท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดต่างๆ มีหน่วยการปกครองที่ใกล้ชิดกับประชาชน และเกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชนมากกว่า
เช่น หน่วยงานที่อยู่ในเขตเมืองก็คือ เทศบาล หน่วยงานที่อยู่นอกเขตเมืองก็คือ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ซึ่งทั้ง 2 หน่วยงาน ถือเป็นผู้ให้บริการประชาชนประจำวัน อย่างทำบัตรประชาชน เก็บขยะ กวาดถนน ฉีดพิษสุนัขบ้า
ขณะที่หน้าที่ อบจ.แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เพราะ อบจ.เป็นฝ่ายที่ดูภาพใหญ่และภาพรวมของจังหวัด อาทิ สร้างถนน สะพาน จนอาจทำให้ประชาชนบางส่วนรู้สึกว่าการมีนายกอบจ.ที่ดี ไม่ดี หรือไม่เก่ง ไม่ได้ส่งผลกับชีวิตของพวกเขาขนาดนั้น จนเกิดระยะห่างระหว่าง อบจ. และ ประชาชน ซึ่งหากเทียบกับตำแหน่งหน้าที่อื่นๆ เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด ประชาชนจะรู้สึกใกล้ชิดมากกว่า เพราะดูแลสิ่งที่เป็นรากฐานปัญหาของจังหวัด
ยกตัวอย่าง การจัดการภัยพิบัติ อุทกภัย ซึ่ง อบจ.ก็อาจจะมีบทบาทเช่นนี้ได้เหมือนกัน ทว่าไปไม่ถึงเพราะอำนาจหน้าที่โดยตรงมันถูกแบ่ง และถูกกำหนดว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาลส่วนกลางที่มีกลไกแขนขา สำหรับดูสารทุกข์สุกดิบของประชาชนไปแล้ว ได้แก่ ผู้ว่าฯ หน่วยงานจากกระทรวงต่างๆ เกษตรจังหวัด แรงงานจังหวัด สาธารณสุขจังหวัด ที่ล้วนมาจากส่วนกลางทั้งสิ้น
“ฉะนั้นการที่ประชาชนบางส่วนไม่ให้ความสนใจต่อการเลือกตั้ง อบจ. ทั้งๆ ที่มันเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา ถึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เนื่องจากมีหน่วยงานอื่นที่ใกล้ชิดกับพวกเขามากกว่า และดูเหมือนจะสร้างความสุข และความทุกข์ให้ได้มากกว่าในเชิงเปรียบเทียบ” สติธร กล่าว
บ้านใหญ่ ไม่ใช่ปัจจัยหลักของความห่างเหิน
สติธร ระบุว่า อบจ. เป็นการปกครองท้องถิ่นที่ถูกออกแบบมาให้ห่างเหินอยู่แล้วในตัวของมัน แต่ถึงกระนั้นมันก็มีบทบาทในเชิงโครงสร้างอำนาจ แม้ว่าเทศบาล และ อบต. จะใกล้ชิดกับประชาชนมากกว่า แต่หน่วยงานเหล่านี้ดูแลพื้นที่จำกัด พอพื้นที่จำกัด ประชากรที่ต้องดูแลก็น้อยลงไปด้วย ยิ่งเทศบาลตำบล คนออกมาเลือกตั้งแค่หลักหมื่นคน และ อบต.ประมาณหลักพันเท่านั้น
ดังนั้นการที่พื้นที่ไม่ได้ใหญ่ ประชากรไม่ได้เยอะ งบประมาณที่จัดสรรลงไปก็ไม่เยอะมากตามไปด้วย มีผลประโยชน์น้อยในเชิงทรัพยากรการบริหาร
เขาเสริมว่า ในขณะที่ อบจ.ห่างเหินก็จริง แต่ดูแลทรัพยากรบริหารเยอะกว่ามาก เนื่องจากมีอำนาจในการคุมพื้นที่ทั้งจังหวัด และยังสามารถไปส่งเสริมความใกล้ชิดกับประชาชนให้กับหน่วยงานปกครองท้องถิ่นอื่นๆ ได้อีกด้วย อาทิ อบต.งบประมาณไม่พอ อบจ.จะนำเงินไปเสริมให้ หรือ อบต.หลายแห่งต้องการทำงานบางอย่างร่วมกัน อบจ.ก็จะเข้ามาทำหน้าที่ประสานและเชื่อมโยงให้
อบจ.กลายเป็นตัวเสริมอำนาจในเชิงการบริการทรัพยากร สามารถช่วยหน่วยงานท้องถิ่น เพราะงบประมาณที่ได้รับมีจำนวนมาก หรือมีเฉลี่ยประมาณพันล้านบาทต่อปี
“การมีเงินมหาศาล มีอำนาจในบริหารคนมากมาย จึงเป็นที่หมายปองของคนที่จะเข้าสู่สนามการเมือง”
เขาอธิบายเพิ่มว่า การลงเลือกตั้ง อบจ.จึงกลายเป็นแรงจูงใจให้คนที่อยากเข้าสู่อำนาจทางการเมือง ที่อาจมีเป้าหมายต่อไปเป็นระดับชาติ
“นอกจากนี้ตำแหน่งดังกล่าวยังเป็นที่ต้องการของคนที่อยากปกป้อง หรือเพิ่มผลประโยชน์ของตนเอง ด้วยการเข้าไปมีอำนาจรัฐผ่านกลไกทางการเมือง จึงเป็นแหล่งที่มาว่าคนที่มีลักษณะเป็นเจ้าพ่อ เป็นบ้านใหญ่”
สติธร อธิบายว่า การเลือกตั้งท้องถิ่นจึงมีภาพลักษณ์เป็นฐานของบ้านใหญ่ แต่จริงๆ แล้วการเมืองท้องถิ่นไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อเหตุผลดังกล่าว แต่ด้วยศักยภาพของคนที่ไม่เท่ากัน คนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมที่ดี ก็มีโอกาสในการยึดตำแหน่ง อบจ.มากกว่า
หาเสียงกันอย่างดุเดือด เพราะโจทย์การเมืองเปลี่ยนไป
สำหรับสติธร เขามองว่าการที่คนมีหน้ามีหน้าตาในแวดวงการเมือง อย่างอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ลงมาช่วยหาเสียงการเลือกตั้ง อบจ. ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
“ปัจจุบันการเมืองภาพใหญ่แข่งขันกันอย่างเข้มข้น มันไม่ได้เป็นการเมืองง่ายๆ เหมือนยุคก่อนหน้า ที่แข่งกันด้วยอะไรบางอย่างเท่านั้น เช่น แข่งกันด้วยการสร้างกระแส การเสนอนโยบาย หรือการใช้ระบบอุปถัมภ์”
เขาเสริมว่า ตอนนี้การแข่งขันในการเมืองภาพใหญ่มันซับซ้อนมาก ซับซ้อนจนพรรคการเมืองเองต้องลงมาชิงพื้นที่ และความได้เปรียบจากการเมืองท้องถิ่นตั้งแต่เริ่มต้นเอง ปัจจุบันมันไม่ใช่การเมืองรูปแบบเดิม ที่ปล่อยให้ท้องถิ่นแข่งกันเอง และค่อยไปกวาดเอาผู้ชนะเข้ามาอยู่ในพรรค หรือพอเลือกตั้งใหญ่ค่อยไปสร้างความสัมพันธ์ทีหลังได้ ซึ่งถ้าใครยังทำแบบนี้ ก็รอวันแพ้ในการแข่งขันการเมืองระดับชาติได้เลย
หากเทียบกับสมัยก่อนอาจจะยุคทักษิณสมัยไทยรักไทย ที่ไม่ต้องลงท้องถิ่นบ่อย แต่สมัยนี้ไม่ใช่แล้ว เพราะปัจจุบันพรรคเพื่อไทยไม่ใช่พรรคอันดับหนึ่งแล้ว หากจะกลับมายิ่งใหญ่ต้องลงมาเอง
ระบบการเลือกตั้งมีปัญหา ทำให้คนไปใช้สิทธิน้อย
สติธร กล่าวว่า เวลามีคนบอกว่าการเลือกตั้ง อบจ. เป็นการเมืองท้องถิ่น นั้นก็แปลว่าเป็นการเมืองที่ดูแลชีวิตของผู้คนในท้องถิ่นแต่ละจังหวัด แต่ว่าชีวิตส่วนใหญ่ของคนที่มีสิทธิเลือกตั้ง กลับอยู่ในอีกพื้นที่หนึ่ง
ดังนั้น การเดินทางกลับไปเลือกคนที่ในทฤษฎีต้องเป็นคนให้บริการ และดูแลสารทุกข์สุกดิบในที่พื้นที่ที่เรามีทะเบียนบ้านอยู่ อาจทำให้เกิดความรู้สึกว่าเดินทางไปเลือกแล้วยังไงต่อ เนื่องจากท้ายที่สุดแล้ว เราก็ต้องกลับไปยังพื้นที่ที่เราใช้ชีวิต
“สมมติผมอยู่ปทุมธานี ทำไมถึงไม่ให้เราเลือกที่ปทุมธานี แทนการไปเลือก อบจ.จังหวัดที่เราอาจมีทะเบียนอยู่ เราควรได้เลือกผู้แทนในพื้นที่ที่เราอยู่หรือเปล่า”
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการจากสถาบันพระปกเกล้า ระบุทิ้งท้ายว่า ถ้าหากใครที่มีสิทธิเลือกตั้ง อบจ.ก็อยากให้ไปเลือก แม้ว่าระบบและวิธีการอาจไม่เอื้อแก่เรามากนัก
“ให้คิดว่าไปเลือกเพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตย หรือเลือกเพื่อคนที่เรารักที่ตอนนี้ยังอยู่ในพื้นที่นั้น” สติธร ระบุปิดท้าย