“ทำไมน้ำถึงท่วมทั้งๆ ที่เป็นจังหวัดที่อยู่ติดกับแม่น้ำ”
“พอมีคนมาร้องเรียนก็ไปทำที เหมือนทำเอาหน้าไปแบบนั้น”
“จริงๆ มันไม่ใช่ครั้งแรก มันท่วมมาตลอดเลย มันน่าจะเรียนรู้กันได้แล้ว”
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเสียงจากคนในพื้นที่ที่เล่าถึงสถานการณ์น้ำท่วมในช่วงวันที่ 7 – 8 กันยายนที่ผ่านมา สมุทรปราการเผชิญกับฝนตกหนักและน้ำทะเลหนุนสูง ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขัง บ้านเรือนข้าวของประชาชนพังเสียหาย และทำให้การจราจรเป็นอัมพาตไปนานหลายชั่วโมง
เอก—หนึ่งในผู้ประสบภัยคืนวันที่ 7 กันยายนที่ผ่านมา เล่าว่า ต้องลุยน้ำเข้าบ้านที่สูงประมาณหน้าแข้ง และบางหมู่บ้านสูงเกือบเอว จะเรียกวินมอเตอร์ไซค์ หรือรถเพื่อกลับบ้านก็ทำไม่ได้ ประกอบกับความช่วยเหลือในเวลานั้นเข้าถึงช้าเหลือเกิน
“ผมว่ามันช้า และผมคิดว่าคนที่ช่วยๆ กันในตอนนั้นคือคนในหมู่บ้านด้วยกันเอง คืนนั้นมันแย่มาก จริงๆ มันไม่ใช่ครั้งแรก มันท่วมมาตลอด แล้วมันน่าจะเรียนรู้กันได้แล้ว ว่าจะเตรียมตัวให้ดีกว่านี้ได้อย่างไร” เขาเล่า
เช่นเดียวกับ กอล์ฟ ที่เล่าว่า ครั้งนี้น้ำท่วมหนักอาจจะเพราะน้ำทะเลหนุนสูงและฝนตกหนัก ที่ผ่านมาก็มีหน่วยงานเข้ามาพูดคุยด้วย แต่ก็ยังคงรู้สึกสิ้นหวังเช่นเดิม “ผมไม่รู้ว่าเขาจะปรับอะไรได้ ไม่รู้เลย”
ในขณะที่ บิว เล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่เกิดและโตมาเธอตั้งข้อสังเกตทุกครั้งว่าทำไมน้ำถึงท่วมทั้งๆ ที่เป็นจังหวัดที่อยู่ติดกับแม่น้ำ และทุกครั้งที่น้ำท่วมหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะพากันแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเสียมากกว่า
บิวรู้สึกว่างบประมาณถูกใช้ไปอย่างไม่คุ้มค่า แม้เทียบกับสมัยก่อนเมืองจะเจริญขึ้นก็ตาม แต่สุดท้ายสิ่งต่างๆ ที่สร้างมาก็ไม่ได้ถูกดูแลรักษาและไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมัน
“พอมีคนมาร้องเรียนก็ไปทำที เหมือนทำเอาหน้าไปแบบนั้น”

Thailand, flood victims woman stands in the flooded streets. (Shutterstock)
ปัญหาอยู่ที่ตรงไหน?
พนิดา มงคลสวัสดิ์ สส.จังหวัดสมุทรปราการ พรรคประชาชน เชื่อว่า ระบบและประสิทธิภาพของการระบายน้ำในจังหวัดมีส่วนเกี่ยวข้อง
เธอบอกกับ The MATTER ว่า สถานีระบายน้ำของสมุทรปราการจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ติดกับกรุงเทพฯ และช่วงที่เลยตำหรุ (อ.บางพลี) ไปจะถูกดูแลโดยกรมชลประทาน (ปัจจุบันโอนให้ท้องถิ่นดูแล) ซึ่งเป็นสถานีใหญ่และมีประสิทธิภาพในการระบายน้ำสูงมาก
“สิ่งที่น่าสนใจ คือ ครั้งนี้น้ำท่วมหนักในเมืองชั้นใน และถ่ายออกไปยังสถานีที่ท้องถิ่นดูแล พอเราไปตามกับทางเทศบาล เทศบาลก็เพิ่งส่งคนมาเปิดเครื่องสูบน้ำ ซึ่งในจังหวะนั้นน้ำทะเลหนุนสูงมันไม่สามารถเปิดประตูระบายได้ ยิ่งเปิดประตูไม่ได้ มันทำให้น้ำมันวนอยู่แต่ในเมืองเหมือนอยู่ในกล่อง คืนนั้นมันก็เลยเกิดน้ำท่วมสูงขึ้น ล้นทะลักเข้าบ้านเรือนประชาชน ท่วมถนน ประชาชนกลับบ้านกันไม่ได้ รถเสียหาย” พนิดาเล่า
“เราไปสำรวจพื้นที่ที่ยังได้รับผลกระทบอยู่ตามที่ได้รับแจ้งมา ในชุมชนยังมีน้ำขังอยู่ในบ้าน ประชาชนไม่ได้อยากได้อะไรแล้ว เขาเหนื่อยล้าเพราะไม่ได้นอน และต้องมาวิดน้ำออกจากบ้าน กระสอบทรายก็ยังไม่ถึง เขาต้องไปหาซื้อเครื่องสูบน้ำขนาดเล็กด้วยตัวเอง และถ้าเราสังเกตหลังจากที่น้ำลดจะเป็นวันที่คนขนของไปทิ้งมากที่สุด บางบ้านเครื่องใช้ไฟฟ้าเสียหายมาก เทศบาลต้องเอารถขนาดใหญ่เข้าไปเก็บขยะที่ชาวบ้านขนไปทิ้ง” สส.รายนี้สะท้อนเสียงของชาวบ้านให้ฟัง

Thailand, Debris after the flood There are a lot of things that are trash. (Shutterstock)
พนิดา ตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วงฤดูมรสุม แน่นอนว่าจะมีฝนตก ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจและมีนัยสำคัญคือ ‘ไม่มีการแจ้งเตือนประชาชน’ แม้ว่าจะมีการนำเอาระบบแจ้งเตือนภัย (Cell broadcast) มาใช้แล้วในบางพื้นที่ แต่เหตุใดจึงไม่มีการบังคับใช้ในทุกพื้นที่ ทั้งมหาดไทยเอง หรือป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เองน่าจะต้องเตรียมการสำหรับภัยพิบัติ โดยไม่จำเป็นจะต้องรอให้เป็นที่พูดถึงมากเท่านั้น
“เราทำงานเชิงรับอย่างเดียวไม่ได้ เพราะมันจะเกิดผลกระทบที่คุณต้องมาทำงานต่อ ถ้าปภ.มีโต๊ะบริหารสถานการณ์อยู่แล้วก็คาดการณ์ได้เลยว่าจังหวัดเรามันเคยมีน้ำท่วมช่วงมรสุม คุณควรจะต้องวิเคราะห์กันแล้วออกประกาศเตือนประชาชน อย่างน้อยแบบเรียลไทม์ก็ยังดี”
พนิดากล่าวต่อว่า หากประชาชนทราบว่าถนนจะเป็นอัมพาต น้ำท่วมรถเล็กผ่านไม่ได้ หรือจะต้องขนของขึ้นที่สูง
“แค่ความชัดเจนแค่นี้เองที่ประชาชนต้องการ การสื่อสารจากภาครัฐว่าเขาต้องทำตัวอย่างไร เขาต้องประมาณการ ประมาณเวลาอย่างไรในการรับมือกับสถานการณ์นี้”
นอกจากการสื่อสารที่มีปัญหา ระบบโครงสร้างพื้นฐานของสมุทรปราการเอง ก็มีส่วนที่ทำให้ผลกระทบของน้ำท่วมทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น พนิดาบอกว่า บางสถานีมีเครื่องสูบน้ำเยอะถึง 7 ตัว แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้งานจริงกลับใช้ได้เพียงตัวเดียว
“มันสำคัญตรงที่เมื่อน้ำทะเลหนุนสูงและเปิดประตูระบายน้ำไม่ได้ ก็ต้องสูบออก แต่จากปกติคุณมี 7 สูบ เหลือสูบเดียว ทำให้ระบายน้ำออกได้ช้าในเวลาที่น้ำทะเลหนุนสูง ถามว่าส่งผลกระทบมากไหม มันก็จะช้ากว่าปกติ แต่ถ้ามันเต็มประสิทธิภาพมันก็อาจจะทำได้ดีกว่านี้” พนิดาเล่า
เธอเสริมว่า ได้เสนอกับทั้งทางกรมชลฯ และท้องถิ่นว่า ควรนำงบประมาณมาซ่อมแซมให้พร้อมใช้ตลอดเวลา เนื่องจากความเสียหายที่แลกกับการไม่ยอมซ่อมอุปกรณ์โครงสร้างพื้นฐานของรัฐ มันส่งผลต่อประชาชนในวงกว้างและยังไม่มีช่องทางรับผิดชอบได้อย่างเต็มที่

Thailand, massive flooding. (Shutterstock)
‘สมุทรปราการ’ พื้นที่ต้องสาปให้น้ำท่วม?
นอกเหนือไปจากปัญหาที่กล่าวมาแล้ว บริบทของพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการเองก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจและน่าตั้งคำถามว่าทำไมน้ำถึงท่วมอยู่ซ้ำๆ ทั้งที่เป็นจังหวัดติดทะเล
พนิต ภู่จินดา รองศาสตราจารย์ประจำภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายกสมาคมนักผังเมืองไทย เล่าว่า ลักษณะพื้นที่ของสมุทรปราการ คือ เมืองปากแม่น้ำติดทะเล โดยเมืองประเภทนี้จะต้องรับน้ำ 3 ประเภท ได้แก่ น้ำเหนือ, สภาพพื้นที่ริมฝั่งทำให้มีน้ำฝนที่ตกในพื้นที่ตัวเอง (เหมือนภาคใต้) และน้ำหนุน
“ซึ่งด้วยปัจจัยดังกล่าว ทำให้สมุทรปราการเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมได้ง่าย”
พนิต เล่าต่อว่า เดิมการตั้งถิ่นฐาน ไม่ว่าจะธนบุรีหรือรัตนโกสินทร์ก็จะไม่ออกไปทางชายฝั่งมาก สังเกตได้จากการตั้ง ‘ป้อมวิไชยประสิทธิ์’ ซึ่งเป็นป้อมสำคัญที่ใช้ป้องกันข้าศึกตามริมแม่น้ำเจ้าพระยา และยังไปไม่ถึงปากอ่าว
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการผังเมืองท่านนี้ไม่ได้บอกว่า สมุทรปราการไม่เหมาะต่อการตั้งถิ่นฐานเสมอไป เพียงแต่การตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ดังกล่าวจะมีความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์ เนื่องจากมีความเสี่ยงน้ำท่วมถึง 3 ปัจจัยในพื้นที่เดียว และได้ยกตัวอย่างประเทศเนเธอร์แลนด์ที่ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ปากอ่าว โดยใช้วิธีสร้างคันดินกันน้ำท่วม ในขณะที่สิงคโปร์มีการสร้างพื้นที่กันชน รวมถึงมีการสร้างเขื่อนด้วย
“แต่ประเทศเราปล่อยให้คนไปตั้งถิ่นฐาน โดยไม่ได้ดูว่าเมืองต้องมีความต้องการอะไร เช่น ความปลอดภัย, ความต้องการขยายเมืองออกไป ขอย้ำอีกว่า การตั้งถิ่นฐานหรือสร้างโรงงานในพื้นที่นี้ไม่ได้ผิดอะไร แต่ความผิดคือการพัฒนาให้เกิดการตั้งถิ่นฐานแต่ไม่เตรียมการรับมือกับข้อจำกัดของพื้นที่อย่างเหมาะสม”
อีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อน้ำท่วมจังหวัดสมุทรปราการคือการพัฒนาเมือง นักวิชาการผังเมืองรายนี้กล่าวว่า เมื่อมีการพัฒนาเมือง มีโรงงานอุตสาหกรรม, ชุมชนและหมู่บ้านจัดสรร ทำให้พื้นที่ที่เคยรับน้ำ ชะลอน้ำก็หายไปเช่นกัน
ทั้งนี้ พนิตย้ำว่า ไม่ได้คัดค้านการเกิดอุตสาหกรรมหรือการขยายตัวของชุมชน แต่ต้องมีการทำโครงสร้างพื้นฐาน แต่โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ก็มีต้นทุนที่ต้องจ่าย บางคนมองว่าผู้ที่ทำธุรกิจบริเวณนั้นต้องเป็น ‘ผู้จ่าย’ แต่นั่นอาจกลายเป็นต้นทุนที่ดันให้ราคาที่ดินแพงขึ้น

Floods in the market in Samut Prakan, Thailand. (Shutterstock)
เขาเชื่อว่า ไม่ใช่เรื่องผิดที่เราไปตั้งถิ่นฐานก่อนการวางผังเมือง เนื่องจากความเป็นเมืองของกรุงเทพฯ ถูกขยายไปในพื้นที่ปริมณฑล หนึ่งในนั้นคือ ‘สมุทรปราการ’ ซึ่งมีลักษณะพื้นที่เป็น ‘เมืองท่า’ ทำให้เกิดการตั้งโรงงานในพื้นที่
ถึงกระนั้น ความเป็นเมืองของสมุทรปราการก็ไม่ได้เกิดขึ้นภายในพริบตา ที่ผ่านมาเมืองถูกพัฒนาขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งระหว่างนั้นควรมีการวางแผนรองรับตามทิศทางการเปลี่ยนแปลงของเมือง และหากไม่มีการวางแผนแล้ว เมืองก็จะโตขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีการวางโครงสร้างพื้นฐานไว้รับรอง
อย่างไรก็ตาม พนิต บอกว่า แนวทางการป้องกันน้ำท่วมมี 2 ประเภท คือ การใช้โครงสร้างแข็งหรือการก่อสร้าง (Active Design) เช่น เขื่อน ท่อระบายน้ำ หรือคันกั้นน้ำ และการแก้ปัญหาโดยใช้หลักธรรมชาติ (Passive Design) ซึ่งไม่ใช้การก่อสร้าง แต่เป็นการเก็บรักษาพื้นที่ซึมน้ำ ขุดลอกคูคลอง หรือทำแก้มลิงเพื่อรับน้ำ-ชะลอน้ำ
แก้น้ำท่วมที่ ‘ผังเมือง’ ได้ไหม?
นักวิชาการด้านผังเมือง มองว่า การปรับปรุงผังเมืองเป็นงานที่ต้องทำร่วมกันระหว่างนักผังเมืองและผู้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลายฝ่าย หากจะป้องกันอุทกภัยก็ต้องมีการตกลงร่วมกันว่าเมืองนี้จะมีการเปลี่ยนแปลง หรือมีทิศทางร่วมกันว่า หากเมืองเป็นแบบนี้จะสามารถรองรับน้ำได้ไหม
เขาเสนอทางออกด้วยว่า การวางผังเมือง จะมี ‘คณะกรรมการผังเมือง’ เป็นผู้ทำหน้าที่อนุมัติว่าผังเมืองสามารถใช้งานได้หรือไม่ ซึ่งเวลาออกแบบผังเมืองทุกๆ คนจะมีอำนาจเท่ากัน โดยก่อนที่จะตัดสินว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้จะต้องฟังความจากหลายฝ่าย
“ต้องมีงบประมาณและการดำเนินงานให้ทันเวลาด้วย ไม่ใช่ปากบอกว่า ทำตรงนี้ได้ แต่ความจริงไม่ลงมือทำอะไรเลย”