“ความฝันของคนหนึ่งคน สามารถแตกสลายออกได้เป็นเสี่ยงๆ เพียงเพราะความผิดพลาดแค่ครั้งเดียว”
เป็นประโยคจากนักเรียนวัยมัธยมรายหนึ่ง ที่พูดถึงความกดดันซึ่งเกิดขึ้นจากระบบการศึกษา และความคาดหวังจากสังคมรอบข้าง ความรู้สึกทำนองนี้เป็นอีกมุมหนึ่งที่เกิดขึ้นในประเทศสิงคโปร์
หลายๆ ครั้งเวลาที่มีข่าวเรื่องจัดอันดับการศึกษา ชื่อของประเทศสิงคโปร์มักถูกหยิบยกขึ้นมาอยู่บ่อยๆ ในฐานะโมเดลที่หลายประเทศอยากเดินตาม ยิ่งถ้าไปดูกันที่อันดับคะแนน PISA หรือ ผลการทดสอบโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ เราก็คงจะเห็นได้ว่า สิงคโปร์ติดอยู่ในอันดับหัวตารางมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ดูเผินๆ แล้วการศึกษาของสิงคโปร์จึงดูเหมือนจะเป็นเลิศจริงๆ ไม่น่าจะมีอะไรตั้งคำถามกันมากนัก
แต่ถึงอย่างนั้น ท่ามกลางคะแนน PISA ที่สูงลิ่วของเด็กสิงคโปร์ ถ้ามองลงไปในรายละเอียดแล้ว มันกลับมีปัญหาใหญ่ที่ถูกซุกซ่อนอยู่เหมือนกัน แถมยังเป็น ‘อาการบางอย่าง’ ซึ่งเกิดขึ้นคล้ายๆ กับที่บ้านเรากำลังเผชิญหน้าอยู่ด้วย
อะไรคือปัญหาในการศึกษาสิงคโปร์?
ท่ามกลางคะแนนที่สูงลิ่วในการสอบ PISA เบื้องหลังของผลในปลายทางนั้น คือสภาวะที่เด็กๆ นักเรียนในสิงคโปร์ต้องเผชิญความกดดันเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแค่ความคาดหวังจากผู้ปกครอง หากแต่ยังเป็นนโยบายภาครัฐที่มุ่งหวังว่าเด็กๆ เหล่านี้จะต้องเป็นเลิศให้ได้
พูดให้ถึงที่สุดก็คือ การศึกษาที่มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาผู้เรียน เริ่มถูกแปรเปลี่ยนเป็นการศึกษาเพื่อเน้นผลสอบ ผู้ปกครองต้องวิ่งหาที่เรียนพิเศษให้กับลูกหลานของตัวเองอย่างจริงจัง ซึ่งผลสุดท้าย แม้เด็กจะได้คะแนนที่ดีขึ้นจริง แต่ก็มีเสียงที่กังวลว่า ด้วยสภาพแวดล้อมที่กดดันขนาดนี้ การมุ่งเรียนเพื่อเอาคะแนนสอบให้ได้ดีๆ เพียงอย่างเดียว ยังอาจจะกระทบพัฒนาการของเด็กในด้านอื่นๆ
“ข้อผิดพลาดอย่างหนึ่งของพ่อแม่ชาวสิงคโปร์คือ พวกเขากดดันลูกเรื่องการเรียนมาก พวกเขากังวลมากเกินไปว่าลูกๆ จะได้รับความรู้ไม่พอในห้องเรียน พวกพ่อๆ แม่ๆ ก็เลยส่งลูกไปเรียนกวดวิชา ทั้งวิชาเลข ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน” ศ.คิชอร์ มาห์บูบานี คณบดีสถาบันนโยบายสาธารณะ ลี กวน ยู ของมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS) กล่าว
“เพราะเหตุนี้โรงเรียนกวดวิชาจึงกลายเป็นอุตสาหกรรมมูลค่านับพันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งผมเห็นว่าการเรียนกวดวิชาเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นเลย มันมากเกินไป ผมคิดว่าความผิดพลาดอย่างหนึ่งของพ่อแม่ชาวสิงคโปร์คือเขากดดันลูกๆ มากเกินไป เมื่อเด็กๆ ต้องใช้เวลาไปกับการทำการบ้านหรือเรียนพิเศษมากๆ เข้า พวกเขาก็จะหมดสนุกกับการศึกษา และไม่รักการอ่านหนังสือ” ศ.มาห์บูบานี ให้ความเห็นกับ ThaiPBS
‘Kiasu’ ค่านิยมกลัวความผิดพลาด
ในสิงคโปร์มีคำว่า ‘Kiasu’ ที่หมายถึงความกลัวในข้อผิดพลาด / ความพ่ายแพ้ ค่านิยมนี้เคยเป็นแรงผลักดันอันสำคัญ ที่ทำให้สิงคโปร์สามารถพุ่งทะยานขึ้นจากประเทศใหม่ ขึ้นไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วได้
“ผมเชื่อมั่นว่าสิ่งที่โรงเรียนสิงคโปร์สอนในห้องเรียนนั้นเพียงพอแล้ว แต่มีคำหนึ่งในสิงคโปร์ที่เรามักใช้กันนั่นคือคำว่า kia-su ซึ่งแปลว่าห่วงกังวลมากเกินไป” ศ.มาห์บูบานี กล่าว
ว่ากันว่า ชาวสิงคโปร์นั้นให้ความสำคัญกับค่านิยมนี้กันมากๆ และทำให้ประเทศสามารถเอาชนะปัญหาความยากจน และวิกฤตขาดแคลนทรัพยากรได้ คำว่า Kiasu จึงสะท้อนได้ถึงการเอาจริงเอาจังกับสิ่งที่ทำ เพื่อประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ได้
จริงอยู่ที่การต่อสู้เพื่ออยู่รอดคือสิ่งที่จำเป็น (โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ประเทศต้องเอาชนะความยากจน) อย่างไรก็ตาม เมื่อค่านิยม Kiasu ถูกนำมาหลอมรวมกับระบบการศึกษาในยุคหลังมานี้ มันกลับมีผลกระทบที่น่ากังวลตามมาด้วยเหมือนกัน
ผู้ปกครองจำนวนมากคาดหวังว่า ลูกหลานต้องเป็นเลิศในด้านวิชาการ และชีวิตของพวกเขาจะต้องไม่มีความผิดพลาด เด็กๆ จึงถูกส่งไปโรงเรียนกวดวิชา เด็กๆ ต้องเรียนพิเศษอย่างหนักหน่วง เพื่อเป็นเลิศให้ได้ตามความคาดหวังของพ่อแม่ หรือถ้าพูดให้เห็นภาพมากขึ้นได้ว่า พ่อแม่ก็คาดหวังให้ลูกๆ ต้องทำคะแนนให้ดี ต้องเป็นที่หนึ่งของห้อง ต้องเอาคะแนนสูงๆ ติดอันดับท็อปของโรงเรียนกลับมาให้ที่บ้านภาคภูมิใจ
ผลกระทบของการศึกษาที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน เห็นได้จากการเติบโตของธุรกิจติวเตอร์ในสิงคโปร์ เคยมีข้อมูลว่า ธุรกิจติวเตอร์ในสิงคโปร์สามารถสร้างมูลค่าได้มากถึงปีละกว่าหลายหมื่นล้านบาท ข้อมูลในปี 2016 ยังระบุด้วยว่า ผู้ปกครองกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของสิงคโปร์ได้ส่งลูกหลานไปเรียนพิเศษเพิ่มเติมโดยเฉพาะในวิชาคณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับเด็กๆ ได้อย่างเต็มที่
ยิ่งการศึกษากลายเป็นสิ่งที่ต้องแข่งขัน และลงทุนด้วยเงินจำนวนมาก ปัญหาที่ตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ในสิงคโปร์คือความเหลื่มล้ำที่เกิดขึ้น
ครอบครัวที่มี ‘ต้นทุน’ ชีวิตสูงจะเข้าถึงโอกาสในการเป็นเลิศทางการศึกษาได้สูงตามไปด้วย แต่ในทางกลับกัน ครอบครัวที่ต้นทุนไม่เยอะ โอกาสที่จะเข้าถึงโอกาสเหล่านั้นก็ลดหลั่นลงไป
นี่คือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในการศึกษาของสิงคโปร์ เมื่อทุกอย่างถูกมองว่าต้องเป็นการแข่งขัน ลูกของฉันต้องเป็นเลิศด้านการศึกษา ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือไม่เพียงแค่ความเหลื่อมล้ำ หากแต่สุขภาพจิตใจและร่างกายของเด็กก็ถูกพ่อแม่ทำร้ายไปแบบอ้อมๆ โดยที่ไม่รู้ตัว
สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องอันตรายที่สุดคือ เด็กนักเรียนอาจถูกเปลี่ยนเป็น ‘เครื่องจักรแห่งการเรียน’ ที่ขาดความคิดสร้างสรรค์ และไม่สามารถค้นหาคำตอบต่างๆ ในชีวิตจริงได้เท่าที่ควร
ความคาดหวังที่อยากให้เด็กๆ เป็นเลิศ จึงกลายเป็นดาบสองคมที่ระบบการศึกษาในสิงคโปร์ต้องหาทางแก้ไข
‘Learning for life’ โจทย์การศึกษาใหม่ของสิงคโปร์
ในช่วงหลังมานี้ รัฐบาลสิงคโปร์เริ่มตระหนักถึงปัญหาต่างๆ มากยิ่งขึ้น โดยสิ่งที่พยายามจะแก้ไขให้ได้ก็คือลดทอนบรรยากาศของการแข่งขันลงไปให้ได้มากที่สุด เพื่อให้การศึกษาได้กลับมาถึงเป้าหมายพื้นฐาน นั่นคือเรียนเพื่อรู้ชีวิต และพัฒนาตัวเองโดยที่ไม่ต้องไปเอาชนะใคร
“เราจะรับรองว่า จะพัฒนาระบบที่ช่วยให้นักเรียนไม่ต้องคร่ำเคร่งมากเกินไป” คือคำยืนยันจาก ออง ยี คุง รัฐมนตรีการศึกษาของสิงคโปร์
ขณะเดียวกันรัฐบาลสิงคโปร์ ยังได้ประกาศนโยบาย ‘Thinking Schools, Learning Nation’ โดยมีหัวใจเป็นการปรับปรุงระบบการศึกษา ให้เปลี่ยนจากการแข่งขันกันด้วยการท่องจำ ไปสู่การศึกษาที่เน้นกระบวนการเรียนรู้ และเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ให้กับเด็กนักเรียนมากยิ่งขึ้น
ในเชิงรูปธรรมแล้ว สิ่งที่รัฐบาลสิงคโปร์ประกาศแล้วว่าจะเกิดขึ้นแน่นอน ในอนาคต เช่น
- ยกเลิกการสอบกลางภาค ของประถม 1-5 และ มัธยม 1-3
- ยกเลิกการสอบปลายภาค ของประถม 1-2
- ยกเลิกการจัดอันดับผลการสอบในใบแจ้งคะแนน
- ยกเลิกการรายงานคะแนนต่ำสุด/มากสุดของชั้นเรียน
ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นภายใต้เป้าหมายที่อยากสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมกับการศึกษา และไม่อยากให้ทั้งนักเรียนและผู้ปกครองมุ่งเน้นแต่แค่ผลการเรียนจนมากเกินไป
สอดคล้องกับ Andreas Schleicher ผู้เชี่ยวชาญเรื่องระบบการศึกษาจาก OECD ที่เคยให้ความเห็นว่า จริงๆ แล้วความกดดันจากระบบการศึกษานั้นเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นเลย และรัฐบาลสิงคโปร์ควรจะนำ ‘ปัจจัยอื่นๆ’ เช่น การเติบโตทั้งในเชิงกายภาพและสภาพจิตใจ มาบ่งชี้ความสำเร็จของนักเรียน นอกเหนือไปจากการวัดผลในทางวิชาการ
บทเรียนการปรับเปลี่ยนของสิงคโปร์
จากสิ่งที่เกิดขึ้นในสิงคโปร์ เราก็คงจะเห็นความเหมือนและความแตกต่างกับการศึกษาของบ้านเราอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
แน่นอนว่า สิ่งที่คล้ายกันเป็นอย่างมากๆ คือบรรยากาศการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นการแข่งขันและผลการเรียนอย่างดุเดือด หากแต่ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วกับสิงคโปร์ คือนโยบายที่เป็นรูปธรรม ลดการสอบที่ไม่จำเป็น รวมถึงทำลายกำแพงที่ช่วยให้เด็กๆ ไม่ต้องแบกรับความกดดันเกินตัว
แม้ค่านิยมเรื่องการแข่งขัน และการเปรียบเทียบในด้านการศึกษาจะไม่ใช่เรื่องที่แก้ไขกันได้ง่ายๆ แต่การเริ่มพยายามปรับมันทีละเล็ก ทีละน้อย ก็อาจจะดีกว่าปล่อยให้ปัญหาสะสมตัวมากเกินไป หรือเดินไปสู่จุดที่แก้ไขอะไรไม่ได้อีกเลย
รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการของสิงคโปร์ เคยพูดเอาไว้ว่า “ตอนนี้คุณครูในสิงคโปร์เหมือนรถไฟความเร็งสูง รีบเร่งทั้งการสอน ทั้งการสอบ เพื่อวัดและประเมินผลเด็กนักเรียน ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราควรจะหยุดพักกันสักหน่อย”
คำกล่าวนี้น่าจะช่วยให้เราหันกลับมามองการศึกษาไทยได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
อ้างอิงข้อมูลจาก