“ก็แค่คนคุยเองรึเปล่า ทำไมต้องร้องไห้ขนาดนั้น?”
“อย่างน้อยก็กลับมาคุยกันเป็นครั้งสุดท้ายหน่อยได้ไหม”
ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าความสัมพันธ์ไม่มีสถานะมันไม่แน่นอน วันนี้เราอาจจะเพิ่งบอกรักกันไป แล้วพรุ่งนี้เขาอาจจะหายไปเลยก็ได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลของการหมดรักแล้ว เจอคนใหม่ ไม่ชอบอะไรสักอย่างในตัวเรา หรือบางครั้งอาจจะเป็นการที่เขามีตัวจริงของใจอยู่แล้วรู้สึกผิดขึ้นมา แล้วยังไงล่ะ รู้ว่าเสี่ยง แต่ความรู้สึกมันห้ามกันได้ที่ไหน ใส่สุดแบบไม่เผื่อใจไปเลย ถ้ามีอะไรที่จะเสียใจ ก็คงเป็นกลัวเสียใจที่ไม่ได้ทำมากกว่า (ถึงสุดท้ายจะมานั่งเสียใจเพราะเขาจากไปแบบไม่บอกลาสักคำตลอดก็เถอะ)
ก็แค่คนคุยมั้ย จะเศร้าอะไรขนาดนั้น
เราไม่ได้เป็นอะไรกันมาตั้งแต่แรก การจบความสัมพันธ์กันมันจึงไม่ได้มีคำบอกเลิกที่ชัดเจนขนาดนั้น บางครั้งอาจจะเป็นการถกเถียงกันเรื่องสถานะระหว่างเรา แล้วเขาก็ไม่กลับมาตอบข้อความข้อเราอีกเลย หรือเป็นการที่เราถูกบล็อกและหายจากวงโคจรของกันและกันไปตลอดกาล และเมื่อจากกันแล้ว สิ่งที่เขาทิ้งไว้ให้ไม่ใช่ความทรงจำที่ดี แต่เป็นความสับสน ความผิดหวัง ความสงสัยว่าทำไม เราทำอะไรผิดไปตอนไหน
แต่เขาไม่ใช่ ‘แค่’ คนคุยไง เข้าใจกันหน่อยนะ การอกหักจากความสัมพันธ์ไม่มีชื่อเรียก บางครั้งก็รับมือได้อยากกว่าการเลิกรากับคนรักอีก เพราะการที่เขาจากไปทำให้เราจมอยู่กับคำถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา ซึ่งคำถามแบบนี้ไม่มีคำตอบอยู่แล้ว แต่เราเองก็หยุดคิดไม่ได้ กลายเป็นการซ้ำเติมตัวเองโดยไม่รู้ตัว
คาลานิต เบน-อาริ (Kalanit Ben-Ari) นักบำบัดคู่สมรสและผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์กล่าวถึงเรื่องนี้เอาไว้ว่า การที่เราเลิกรากับความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียก ความรู้สึกหน่วงใจที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เพราะเราอาลัยอาวรณ์ในตัวบุคคล แต่เป็นความหน่วงใจจากการสูญเสียสิ่งที่เคยวาดฝันไว้ ความหวังที่ความสัมพันธ์จะเป็นจริงขึ้นมาก็พังทลายลง เหมือนการถูกกระชากขึ้นมาให้ตื่นจากห้วงความสุขแสนหวาน
เราไม่ได้กำลังคิดถึงเขา แต่เรากำลังคิดถึงช่วงเวลาที่เราคุยกันครั้งแรก ความตื่นเต้นของการรอเขาตอบข้อความกลับมา การโทรคุยกันของเราจนดึกดื่นมืดค่ำ เดตแรกของเราที่คาเฟ่ ไปจนถึงจูบแรกที่ได้รับจากเขา เพราะความรู้สึกแรกรักเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ไม่ว่าจะร้องขอหรือยอมแลกด้วยอะไร ก็เอากลับมาไม่ได้อีกแล้ว และมันไม่ได้เกิดขึ้นกับใครก็ได้ เรื่องแบบนี้มันมีตัวตายตัวแทนได้ที่ไหนกัน
เตรียมวางแผนก่อน ตอนล้มจะได้ไม่เจ็บหนัก
แต่ถึงอย่างนั้นความสัมพันธ์แบบไม่มีสถานะอาจจะเวิร์กกว่าสำหรับบางคน แคโรไลน์ เวสต์ (Caroline West) ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ให้ความคิดเห็นกับเรื่องนี้เอาไว้ว่า ปัจจุบันผู้คนมองความสัมพันธ์แบบไม่มีชื่อเรียกในทางที่บวกขึ้นแล้ว พวกเขาใช้โอกาสนี้ในการ ‘ลอง’ ดูว่าความรู้สึกที่มีในใจมันจะพัฒนาไปได้ถึงไหน แต่ก็ยังให้โอกาสตัวเองในการสร้างความสัมพันธ์อื่นอยู่ ซึ่งการที่ยังไม่ตกลงเรื่องสถานะจะช่วยให้เราสามารถชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีและข้อเสียในตัวอีกคนและตัดสินใจได้เด็ดขาดขึ้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องยกระดับสถานะ
สิ่งหนึ่งที่มักถูกลืมไปเมื่อความสัมพันธ์แบบไม่มีสถานะกำลังสุกงอม คือการเปิดใจคุยกันอย่างตรงไปตรงมาว่า ‘สรุปแล้วเราเป็นอะไรกัน’ บางคนอาจกลัวคำตอบที่ได้รับ บางคนอาจกลัวว่าเปิดประเด็นแบบนี้แล้วอีกฝ่ายจะเปลี่ยนไป หรือที่แย่ที่สุดคือความสัมพันธ์จะจบลงทันทีที่ถามคำถามนี้ออกไป แต่มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะคุยกัน การกำหนดขอบเขตว่าเราเป็นอะไรกัน เราจะจริงจังกับความสัมพันธ์นี้ไหม เราจะเป็นได้แค่ไหน มีวันไหนไหมที่เราจะพัฒนาไปมากกว่านี้ การขยับสถานะจะเกิดขึ้นไหม อย่างน้อยเราจะได้คาดการณ์ได้ว่าการใส่สุดครั้งนี้จะแหกโค้งหรือไม่
ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการส่งข้อความหากันตอนตี 2 การไปนอนค้างคืนที่ห้องแล้วแยกย้ายออกไปใช้ชีวิตของแต่ละคนในตอนเช้า ไม่มีทีท่าว่าจะขยับไปเป็นสถานะอื่นใดเลย อย่างน้อยก็ต้องบอกกันว่าถ้ามีใครที่อยากเดินออกจากความสัมพันธ์ก็ขอให้หันหน้าคุยกันก่อน อย่าปล่อยให้มีใครต้องเสียใจคนเดียว ก็จะช่วยให้ขาลงของความสัมพันธ์ไม่ได้ลงอย่างรวดเร็วจนต้องมีใครเจ็บหนัก (ยกเว้นเขาจะผิดคำพูดในสิ่งที่เคยตกลงกันไว้ อันนั้นก็อีกเรื่องหนึ่งนะ)
ใช้เวลารักษาใจ ให้พร้อมกับความสัมพันธ์ครั้งใหม่ที่ต้องดีกว่าเดิม
แต่ถ้ามันไม่ทันแล้ว เพิ่งโดนคนคุยเทไปเมื่อกี้เองเนี่ย จะทำยังไงดี เราจะบอกว่าเราเข้าใจความรู้สึกที่เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นได้จริง ความเสียใจนี้เป็นเรื่องจริง มันไม่ใช่คำว่า ‘แค่’ คนคุย ก็เรารักของเรา จะเสียใจขนาดนี้มันไม่แปลกหรอก
ในวันที่เสียใจ สิ่งแรกที่ต้องทำคือโยนโมเมนต์ที่เคยทำให้ใจฟูทิ้งออกไปให้หมด ถอดฟีลเตอร์สีชมพูที่ตาของเราออก สิ่งเหล่านั้นมันไม่สามารถเกิดขึ้นได้อีกแล้ว การโหยหามีแต่จะทำให้เรารู้สึกช้ำกว่าเดิม ให้เวลาตัวเองได้เข้าใจความรู้สึกที่เกิดขึ้น กลับมารักตัวเองอีกครั้ง เพราะเราจะไม่สามารถรักใครได้อย่างสมบูรณ์แบบถ้าเรายังไม่สามารถรักตัวเองได้ลง
เมื่อหันกลับมารักตัวเอง เราจะสังเกตได้ว่าเวลาจะช่วยให้เราเวิร์กกับใจได้ด้วย จากการฟูมฟายทั้งวันทั้งคืนจะกลายเป็นแค่น้ำตาคลอหน่วยนิดเดียวตอนฟังเพลงที่เคยส่งให้เขา จากการส่งข้อความ ‘สุดท้าย’หาเขาทุกวัน จะกลายเป็นความเหน็ดเหนื่อย เบื่อหน่าย และไม่อยากจะส่งข้อความถึงเขาอีกต่อไป เพราะเราไม่ได้รับอะไรกลับมาเลย และเราจะรู้ความจริงว่า เราก็ไม่ได้ต้องการข้อความ ‘สุดท้าย’ อะไรขนาดนั้นหรอก
เส้นทางของเราพาดผ่านกันหนึ่งครั้ง และแยกจากกันไปตลอดกาล แต่อย่างน้อยเขาก็ทิ้งอะไรไว้ให้เราได้เรียนรู้และเติบโตแหละ
อ้างอิงจาก