ท่าเต้นติดตา เนื้อเพลงติดหู ไอดอลหน้าตาสวยหล่อ กับเหล่าแฟนคลับที่พร้อมโบกแท่งไฟ สนับสนุนไอดอลเกาหลีคนโปรด ภาพของวงการ K-Pop หรือวัฒนธรรมเพลงจากเกาหลีใต้ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีอิทธิพลในบ้านเรามากมาย และแพร่ขยายแทรกซึมเข้าไปมีบทบาทและฐานแฟนคลับในอุตสาหกรรมเพลงทั่วทุกมุมโลก
ทั้งถ้ามองในทางรัฐศาสตร์ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของวงการบันเทิง แต่ K-Pop ยังมีผลทำให้วัฒนธรรมเกาหลี ทั้งการแต่งกาย อาหารการกิน การท่องเที่ยว หรือแม้แต่ภาษา ถูกโปรโมทผ่านเสียงเพลง K-Pop และไอดอลผู้ส่งสารไปอย่างหลากหลาย เป็นอำนาจที่เรียกว่า ‘Soft Power’ ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างหนึ่งของประเทศเกาหลีใต้ก็ว่าได้
แต่ล่าสุด วัฒนธรรม K-Pop ยังไปไกลมากกว่านั้น เมื่อมีข่าวว่าศิลปินเกาหลีใต้ กว่า 160 คนเตรียมตัวเดินทางไปเปิดคอนเสิร์ตในเกาหลีเหนือ ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสที่หายากมากๆ และไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง จึงน่าติดตามว่าในครั้งนี้วัฒนธรรม K-Pop จะสามารถเป็นทูตสัมพันธไมตรี เชื่อมสองเกาหลีที่แตกร้าว ให้กลับมีสัมพันธ์ที่ดีขึ้นผ่านเสียงเพลงได้ไหม และอย่างไร
K-Pop กับการสร้างสันติภาพ
เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่ากระแส K-Pop เกาหลี โด่งดังและมีฐานแฟนคลับไปทั่วโลก ตีตลาดประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้มากมาย แต่กับเกาหลีเหนือ ประเทศที่มีเขตแดนติดกัน ทั้งประวัติศาสตร์วัฒนธรรมที่ร่วมกันมา กลับไม่ใช่เรื่องง่ายที่ K-Pop จะเข้าไปแทรกซึมในประเทศปิดแห่งนี้ แต่เกาหลีใต้เองก็พยายามใช้วัฒนธรรมนี้มาเป็นตัวแทนในการสร้างสันติภาพระหว่าง 2 ประเทศมาตลอด
ตั้งแต่ปี 2011 เกาหลีใต้ได้จัดฟรีคอนเสิร์ตที่ชื่อว่า ‘Peace Concert’ ในทุกๆ ปี จัดขึ้นโดยกระทรวงรวมชาติ (Ministry of Unification) และรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งชื่อและธีมของงานก็เป็นที่รู้กันว่า ต้องการสื่อถึงสันติภาพและเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองเสรีภาพของเกาหลี โดยวันออกอากาศงานคอนเสิร์ตก็ตรงกับวันที่ 15 สิงหาคมของทุกปี หรือวันที่ญี่ปุ่นยอมให้เกาหลีในช่วงที่ยังเป็นประเทศเดียวกันเป็นอิสรภาพ ทั้งสถานที่จัดคอนเสิร์ตเอง ก็คือสวนสาธารณะนูรี เมืองพาจู ในจังหวัดคย็องกีเหนือ ห่างกับเขตปลอดทหาร (DMZ) ที่เป็นชายแดนระหว่างเกาหลีทั้งสองเพียง 5 ไมล์เท่านั้น
และในปี 2017 ที่ผ่าน ที่ความสัมพันธ์เกาหลีเหนือ-ใต้ ตึงเครียดเป็นพิเศษ จากการทดสอบยิงขีปนาวุธตลอดทั้งปีของฝั่งทางเหนือ ก็มีการจัดคอนเสิร์ตนี้ขึ้น ในชื่อว่า ‘Again, Peace!’ พร้อมศิลปินชื่อดังอย่าง Girl’s Generation, Mamamoo, Ailee, BTOB และอีกมากมายเข้าร่วม ด้วยจำนวนแฟนเพลงกว่า 25,000 คนที่เข้าร่วมคอนเสิร์ตนี้
รัฐบาลท้องถิ่นของเมืองพาจู กล่าวถึงการจัดคอนเสิร์ตในครั้งนี้ว่า “เราไม่สามารถมีสงครามเกาหลีอีกรอบได้แล้ว ดังนั้น Peace Concert จึงมีความหมายมาก” และ “ตะโกนคำว่า ‘ไม่’ ให้กับมิสไซล์และการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ตะโกนว่า ‘เราต้องการสันติภาพ’ ในคอนเสิร์ตนี้ บางทีเกาหลีเหนืออาจจะได้ยิน”
นัม ฮยอนจิน นักศึกษาที่เข้าร่วมคอนเสิร์ต เพราะเป็นแฟนคลับของวง Cosmic Girls ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ความจริงก็รู้สึกหวั่นกลัวเพราะบริเวณคอนเสิร์ตใกล้กับเกาหลีเหนือ แต่เขาก็หวังจริงๆ ว่าเกาหลีเหนือจะได้ยินเสียงเพลงแห่งเสรีภาพเหล่านี้ ทั้งจะเข้าใจว่าความสุขจากเสรีภาพนี้จะสามารถนำสันติมาให้ทั้ง 2 ประเทศได้
การทูตเสียงเพลง ใช้ดนตรีแทรกซึมทางวัฒนธรรม
แม้คอนเสิร์ตที่จัดขึ้น จะไม่มีคนเกาหลีเหนือเข้าร่วม หรือได้ชมการถ่ายทอดสด และเกาหลีเหนือจะปิดประเทศ พยายามไม่ให้วัฒนธรรมจากภายนอกรั่วไหลเข้ามา แต่เพลง K-Pop ก็ยังคงเป็นที่นิยมในเกาหลีเหนือ โดยมีวิธีที่แอบซ่อน หรือปล่อยให้วัฒนธรรมเพลงป็อบเข้าไปถึงคนเกาหลีเหนือได้
วิธีซึ่งเป็นที่นิยม ในการส่งของต่างๆ คือการปล่อยบอลลูน เช่น การบรรจุหนังฮอลลีวูด ซีดีเพลง หรือขนมช็อกโกพาย ที่ล้วนแต่เป็นสิ่งต้องห้ามในเกาหลีใต้ บริเวณเขตชายแดน เป็นการทำให้คนเกาหลีเหนือได้รับรู้วัฒนธรรมเกาหลีใต้ ซึ่งวิธีนี้ก็เป็นการเผยแพร่ K-Pop ด้วย แต่ในช่วงปี 2015 รัฐบาลเกาหลีใต้ ได้แบนการส่งของด้วยบอลลูนนี้เพราะอาจนำอันตรายมาให้ประชาชนมากกว่าเป็นประโยชน์ได้
แต่อีกหนึ่งวิธีที่ยังคงมีการใช้ และยิ่งทำให้ K-Pop โด่งดังในเกาหลีเหนือมากในปีที่ผ่านมา คือการใช้ USB ที่เรียกว่า ‘Stealth USB’ ที่มีใส่ไฟล์เพลง หรือซีรีส์เกาหลีเข้าไป ซึ่งในตอนแรกที่เสียบกับคอมพิวเตอร์ จะพบว่าว่างเปล่า และไม่มีข้อมูล แต่ต้องใส่รหัสเพื่อเปิดข้อมูล และในปีที่ผ่านมา G-Dragon ศิลปินจากวง Bigbang ได้เปลี่ยนรูปแบบการออกอัลบั้ม จากการปล่อยเป็น CD มาเป็น USB ทำให้วิธีนี้และเพลงของ G-Dragon กลายเป็นที่นิยมอย่างมากในเกาหลีเหนือ ที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญในเกาหลีเหนือยังได้หารือกันถือผลกระทบ และความนิยมที่น่ามหัศจรรย์ของศิลปิน K-Pop ในเกาหลีเหนือ
ทั้งจากการทำรายงานข่าวของ K-entertainment ที่ได้แทรกซีมเข้าไปในเกาหลีเหนือและสัมภาษณ์ถึงผู้คนในเกาหลีเหนือ ซึ่งได้คำตอบว่าฮัลยูนั้น กำลังเป็นกระแสมากในเกาหลีเหนือ วัยรุ่นในปัจจุบันนิยมร้องเพลงของไอดอลที่โด่งดัง โดยเฉพาะ Bigbang และ G-Dragon ทั้งการที่คนรุ่นใหม่ชื่นชมไอดอล K-Pop หรือดูซีรีส์เกาหลี ยังแสดงให้เห็นว่า วัฒนธรรม K-Pop มีอิทธิพลในประเทศ และมีส่วนเป็นปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงการเมืองและเศรษฐกิจด้วย
คิม ฮักแจ ศาสตราจารย์ของสถาบันรวมชาติและสันติภาพศึกษา ของมหาวิทยาลัย Seoul National ได้กล่าวว่ารัฐบาลเกาหลีใต้ต้องการใช้ประโยชน์จากความน่าดึงดูดใจของวัฒนธรรมป๊อปเกาหลีในการดำเนินนโยบาย ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับช่วงที่เยอรมนีถูกแบ่งออกเป็นตะวันออกและตะวันตก “คนของเยอรมนีตะวันออกปรารถนาการดำเนินชีวิตและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผ่านการเรียนรู้ถึงชีวิตของผู้คนในเยอรมันตะวันตกผ่านทางสื่อต่างๆ”
ซึ่งก็เป็นจริง เพราะมีชาวเกาหลีเหนือที่แปรพักต์และหนีออกมาได้กล่าวว่าความบันเทิงในเกาหลีใต้รวมถึงเพลง K-Pop ช่วยให้พวกเขาได้เรียนรู้ความเป็นจริงของชีวิตนอกประเทศของตน
เพลง K-pop กับการเป็นอาวุธ
‘ยิงมา ยิงกลับ’ แม้เกาหลีเหนือจะยิงขีปนาวุธ แต่ดูเหมือนว่าอาวุธของฝั่งเกาหลีใต้จะเป็นเสียงเพลง
นอกจาก K-Pop จะเป็นกระแสที่ถูกส่งออกไปเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรม หรือแสดงออกถึงสันติภาพแล้ว มันยังถูกใช้เป็นอาวุธของรัฐบาลเกาหลีใต้ ที่ใช้ตอบโต้ หลังเกาหลีเหนือประกาศซ้อมยิงขีปนาวุธไฮโดรเจน ในช่วงเดือนมกราคม ของปี 2016 ทางการเกาหลีใต้ได้ติดตั้งลำโพงขนาดใหญ่ บริเวณเขตแดนปลอดทหาร
ซึ่งเกาหลีใต้ได้ใช้เพลงที่รวมถึง K-Pop 4 เพลง ที่แอบแฝงด้วยความหมายโต้ตอบเกาหลีใต้ ได้แก่เพลง 100 Years of Life ของลีเอรัน, Me Gustas Tu ของวงไอดอลเกิร์ลกรุ๊ป G-Friend, Let Us Just Love ของวง APink ที่เพลงประกอบซีรีส์เกาหลี Protect the Boss ซึ่งมีเรื่องย่อตาม Wikipedia ว่าเกี่ยวกับ ‘ชายหนุ่มที่ยังเยาว์วัยซึ่งไม่มีประโยชน์ในอาชีพการงานของตัวเอง’ ที่หลายคนคาดการณ์ว่าหมายถึง คิมจองอึน ผู้นำของทางเหนือ และเพลงสุดท้ายคือ Bang Bang Bang ของวง Bigbang เพลงฮิตในเกาหลีใต้ ที่มีท่อนร้องว่า ‘เหมือนกับคุณที่ถูกยิง ปัง ปัง ปัง!’ ด้วย
รัฐบาลเกาหลีใต้มักใช้โฆษณาชวนเชื่อเพื่อโปรโมทประชาธิปไตย และวัฒนธรรม ซึ่งกระทรวงกลาโหมเองได้กล่าวว่า K-Pop เป็นอาวุธที่ดีที่สุดที่ทำให้ผู้ฟังในเกาหลีใต้เกิดสนใจและกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น
คอนเสิร์ตเปิดประตูสร้างความสัมพันธ์
และล่าสุด เกาหลีเหนือที่ปิดกั้น และสั่งห้ามไม่ให้ประชาชนฟังเพลง K-Pop มาตลอด กลับเปิดประเทศให้ศิลปินเกาหลี กว่า 160 คน เช่น เกิร์ลกรุ๊ป Red Velvet, ซอฮยอน สมาชิกวง Girl’s Generation, โช ยองพิล, ลี ซุนฮี ไปจัดคอนเสิร์ตเป็นเวลา 4 วัน แต่ถึงจะดูเป็นการเปิดกว้างและยอมให้ศิลปิน K-Pop จำนวนมากไปจัดคอนเสิร์ตในครั้งนี้ แต่นักร้องดังอย่าง Psy เจ้าของเพลง Gangnam Style กลับถูกปฏิเสธให้เข้าร่วมในรายชื่อศิลปินที่เดินทางไปเกาหลีเหนือ เพราะฝั่งอนุรักษ์นิยมของทางเกาหลีเหนือเป็นกังวลกับสไตล์การแสดงของ Psy
แต่นี่ก็ถือเป็นการเปิดกว้างมากที่สุดครั้งหนึ่งของเกาหลีเหนือ ที่ยอมให้ K-Pop เข้าไปเผยแพร่ในประเทศได้ เพราะคอนเสิร์ตล่าสุด ที่นักร้องเกาหลีใต้ได้ไปจัดที่เกาหลีเหนือ เกิดขึ้นเมื่อ 13 ปี ก่อน คือในปี 2005 เป็นคอนเสิร์ตเดี่ยวของโช ยองพิลที่ในครั้งนี้เขาก็จะไปร่วมด้วย ซึ่งในครั้งนั้น มีการถ่ายทอดสดการแสดงของเขาทั่วทั้ง 2 เกาหลี และในคอนเสิร์ต โชได้ทำให้ชาวเกาหลีเหนือประทับใจ ลดความตึงเครียด หรือความกลัวระหว่างทั้งสอง และยังถูกกล่าวขานว่า ตลอด 2 ชั่วโมง เขาสามารถทำในสิ่งที่นักการเมืองไม่สามารถทำได้มาตลอดทศวรรษ เขาเข้าถึงและสัมผัสใจผู้ชมได้ แม้ว่าเพลงของเขาจะไม่ใช่ที่คุ้นเคยสำหรับคนเปียงยาง แต่เขาก็ทำให้พวกเขามีอารมณ์ร่วมไปกับพวกมันได้
ดังนั้น ถ้าคอนเสิร์ตที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ (31 มีนาคม 2018) ผ่านไปได้ด้วยดี คาดว่าจะยิ่งเป็นการเปิดทางให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศดียิ่งขึ้น ตามมากับการสานสัมพันธ์ในงานโอลิมปิกฤดูหนาวที่เกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพที่ผ่านมา ซึ่งยิ่งอาจปูทางให้การเจรจาผู้นำเกาหลีใต้และเหนือ ของมุน แจอิน และคิม จองอึน ที่เพิ่งจะได้ฤกษ์ตกลงว่าจะเจอกันในวันที่ 27 เมษายนนี้เป็นไปในบรรยากาศที่ดียิ่งขึ้น
ไม่ว่าผลของการเจรจาระหว่างเกาหลีเหนือ และเกาหลีใต้จะออกมาเป็นอย่างไร แต่เราก็แทบปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พลังของเสียงเพลงกำลังมีอิทธิพลและเป็นเครื่องมือทางการทูตที่กำลังมีพลังมากขึ้นเรื่อยๆ แถมยังเข้าถึงจิตใจผู้คนได้มากกว่าการกำลัง หรือ อำนาจในแบบแข็งกร้าว
อ้างอิงข้อมูลจาก