หมายเหตุ : บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของ Spider-man : Far From Home
เราเตือนแล้วนะ!
เราเตือนแล้วนะ!
เราเตือนแล้วนะ!
เราเตือนแล้วนะ!
ตั้งแต่ Avenger : Endgame เป็นต้นมา คิดว่าหลายคนก็อาจจะคอยดูว่ามาร์เวลจะจัดการกับการเล่าเรื่องราวของซูเปอร์ฮีโร่ยังไงต่อไป จะสามารถปั้นตัวละคร หรือเขียนบทให้คนอินได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งก็แอบรู้สึกว่า Spider-man : Far From Home เอาอยู่ในการเป็นตัวปิดเฟส 3 และการปูทางไปสู่หนังของมาร์เวลในอนาคต
เรื่องราวคร่าวๆ ของสไปเดอร์แมนในภาคนี้คือ เหตุการณ์หลังจากโลกผ่านพ้นภัยจากการดีดนิ้วของธานอส ซึ่งแลกมาด้วยการสูญเสียหรือแยกย้ายกันไปของทีม Avengers รุ่นแรก ทั้ง Captain America, Blackwidow, Thor, Hulk, Hawkeye และที่สำคัญคือ Iron Man ซึ่งในตอนจบของ Avenger : End Game หลายคนก็น่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เรารู้จัก ปีเตอร์ พาร์กเกอร์ กันพอสมควรจาก Spider-man : Homecoming และในภาคใหม่นี้ก็ยังคงได้เห็นความสดใส ไฮสคูล และความน่ารักของ ทอม ฮอลแลนด์ เช่นเดิม แต่ในภาคนี้ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนัง coming of age ของปีเตอร์ พาร์กเกอร์ไปอีกขั้น หลังจากสูญเสียพ่อทูลหัวประจำตัวอย่างโทนี่ สตาร์ก ไป แม้ในหนังช่วงแรกๆ เราจะเห็นความสดใสของปีเตอร์ที่แสดงออกมา แต่ลึกๆ แล้วหลังจากเขาถูกคาดหวังให้เป็นผู้รับบท Iron Man คนต่อไป ทั้งความเสียใจ ความกดดัน และความผิดหวังในตัวเองก็ประเดประดังทำให้ปีเตอร์รู้สึกเสียศูนย์และตั้งคำถามกับการรับหน้าที่เป็นฮีโร่ ความอ่อนแอของปีเตอร์ พาร์กเกอร์ในภาคนี้จึงนำมาสู่หายนะอีกครั้ง
ซึ่งในตอนท้าย ไม่ต้องเดามากมายก็พอจะรู้ว่า ปีเตอร์จะปรับตัวเข้ากับภาระหน้าที่ที่ได้รับมาได้ เป็นการจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งประมาณหนึ่ง (จนกระทั้ง end credit ขึ้น) แต่ในหนังเรื่องนี้ นอกจากความขัดแย้งระหว่างการเป็นฮีโร่กับการเสียสละชีวิตส่วนตัวนั้น อีกประเด็นที่น่าสนใจจะพูดถึงมาจากความคิดของเควนติน เบ็ค หรือที่หลายคนอาจจะติดชื่อ ‘มิสเทริโอ’ ของเขาไปแล้ว สิ่งหนึ่งที่เขามักย้ำอยู่เสมอคือการที่เขาสามารถ ‘สร้าง’ ความจริงได้ (ความจริงในที่นี้คือ truth ไม่ใช่ fact ที่หมายถึงข้อเท็จจริง) ในยุคที่ธานอสหรือชาวต่างดาวเข้ามาบุกโลกเป็นว่าเล่น ทำให้มนุษย์นั้นเชื่อว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ และไม่ว่าใครก็เป็นซูเปอร์ฮีโร่ได้ด้วยพลังพิเศษและผ้าคลุม
ซึ่งถ้าเทียบกับโลกของเราตอนนี้มันก็คงไม่ค่อยต่างมากนัก
เควนติน เบ็ค คือหนึ่งในคนที่เคยทำงานให้โทนี่ สตาร์ก และต้องเจ็บช้ำน้ำใจจากการทำงานรวมกับโทนี่ เขาผูกแค้นฝังใจเจ็บและหลังจากโลกสูญเสียโทนี่ไป เขาก็คิดจะวางแผนเป็น Iron Man คนต่อไปเพื่อเอาชนะโทนี่ โดยผลงานที่เควนตินเป็นคนสร้างขึ้นก็คือเทคโนโลยีโฮโลแกรม ที่ช่วยสร้างภาพเสมือนจริงที่ทำได้เหมือนเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ผ่านการใช้นวัตกรรม Binarily Augmented Retro-Framing หรือ B.A.R.F. ที่คิดค้นโดยเบ็คเอง และหากจำกันได้ใน Captain America : Civil War โทนี่เอาเทคโนโลยีนี้มานำเสนอให้เด็กๆ ในสถาบัน MIT ดู และบอกว่าเขาใช้เพื่อบำบัดตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ต่อยอดไปสู่สิ่งใดต่อ จนกระทั่งในหนังของสไปดี้ภาคนี้ เบ็คเอาเครื่องมือที่เขาคิดค้นมาผสานเข้ากับการสร้าง ‘เรื่องเล่า’ ที่ทีมงานหลากหลายคนช่วยกันทำให้สมจริง จนกลายเป็นสุดยอดนวัตกรรมที่นำหายนะมาสู่ปีเตอร์ พาร์กเกอร์ และเพื่อนๆ ของเขา
เมื่อมองสิ่งที่เบ็คทำ มันคือการสร้างความจริงโดยใช้เทคโนโลยี ซึ่งหากมองกันดีๆ แล้ว ในปัจจุบัน ณ โลกของเราเองนี้ ก็มีทั้ง deep fake ที่เกิดเป็นกรณีดังที่กับ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้สร้างเฟซบุ๊ก ซึ่งมีคนใช้เทคโนโลยีนี้ในการปลอมแปลงตัวของมาร์ก เพื่อทดลองว่าเฟซบุ๊กจะจับผิดวิดิโอนี้ได้ไหม และทำให้ชาวโลกเห็นว่าเทคโนโลยีนี้มันน่ากลัวอย่างไรในการปลอมแปลงบุคคล หรือไม่ต้องไปไหนไกล ในเฟซบุ๊กเอง เราสามารถสร้างเรื่องราว ตัวตน และสิ่งต่างๆ ได้ง่ายดาย จะแอคหลุม แอคตัวแทน แอคที่เอามาใช้ปลอมตัวเล่นๆ เมื่อมองให้ลึกลงไป นี่คือพลังของเทคโนโลยีในโลกยุคใหม่ คือ ไม่ว่าใครก็สร้างความจริงขึ้นมาได้ (และมันน่าเชื่อถือมาก ถ้าคุณเนียนพอ)
และนั่นทำให้มนุษย์มีพลัง ‘สร้างความจริง’
จากเทคโนโลยีที่ผสานกับเรื่องเล่าที่แข็งแรงพอ
ถ้าจำกันได้เมื่อปีค.ศ. 2016 หลายคนน่าจะเคยได้ยินคำว่า Post-truth ซึ่งกลายเป็นคำศัพท์ประจำปี 2016 จาก Oxford Dictionary (แต่คำว่า Post-truth จะมีคนใช้กันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1992) โดยควาหมายของ Post-truth นั้นหมายถึง “การที่คนเลือกเชื่อด้วยอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง มากกว่าจะตัดสินผ่านข้อเท็จจริง” และการที่คนเชื่ออะไรโดยไม่ได้สนใจข้อเท็จจริงนี่ล่ะ ที่ทำให้ความจริงมีตัวเลือกและมีความหลากหลายมากขึ้น ความจริงไม่ได้เป็นสิ่งที่ขลังหรือตายตัวอีกต่อไป แต่ลื่นไหลได้เหมือนกับเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง
ย้อนกลับมาที่หนังเรื่องนี้ เควนติน เบ็ค ใช้ประโยชน์จากการที่ผู้คนเพิ่งประสบกับเหตุการณ์ธานอส ทำให้ผู้คนเริ่มคิดว่าตอนนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ ซึ่งเป็นผลมาจากความตกใจ ความกลัว และความช็อก ที่จู่โจมเข้ามาของคนธรรมดาๆ ที่อยู่ในจักรวาลมาร์เวล พวกเขาผ่านช่วงที่โดนดีดนิ้วหายไป และจู่ๆ ก็โดนดีดนิ้วตามกลับมา ความรู้สึกทั้งหลายเหล่านี้กลายเป็นเชื้อชั้นดีให้เควนตินกล้าลงมือทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ โดยใช้เทคโนโลยีที่เขาสร้าง
และไม่เพียงแต่คนในโลกของจักรวาลมาร์เวลเท่านั้น แต่พวกเราในโลกแห่งนี้ก็อาจเรียกได้ว่าอยู่ในยุค post-truth หากใครสงสัยว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น ให้ลองนึกภาพว่า เมื่อเราเถียงกันเรื่องการเมืองแล้วอีกฝ่ายไม่ยอมรับข้อเท็จจริงที่คุณเสนอ ก็เป็นเพราะเขาเลือกเชื่อความจริงอีกแบบ ความจริงที่เขารู้สึกว่ามัน ‘จริง’ กว่าของคุณ (ซึ่งไม่ได้บอกว่าความจริงไหนถูกผิด แต่หมายความว่า ความจริงกลายเป็นชอยส์ให้คนเลือก ซึ่งอาจเลือกจะเชื่อตามความรู้สึกส่วนตัว มากกว่าข้อเท็จจริงที่นำเสนอให้)
ในครั้งที่โลกรู้จักวิทยาศาสตร์ หลายคนเชื่อว่าความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว แต่ตอนนี้ บางคนอาจต้องลองคิดใหม่ เมื่อความจริงคือสิ่งที่ถูก ‘สร้าง’ ขึ้นได้ ผ่านเรื่องเล่า และยิ่งเทคโนโลยีช่วยทำให้เรื่องเล่าแนบเนียนขึ้น อะไรจริง อะไรปลอม ก็คงจะเริ่มแยกได้ยาก
ซึ่งการอยู่ในโลกยุค post-truth ที่เรากำลังเผชิญยังไม่ได้มีปัญหาแค่เรื่อง การตั้งคำถามต่อความจริงที่ไปสั่นคลอนอะไรหลายๆ อย่าง แต่ยังรวมไปถึงการที่ไม่ว่าใครก็สร้างความจริงได้อย่างที่บอกไป ยิ่งมีเทคโนโลยีมารองรับ ยิ่งสังคมออนไลน์ขยายไปมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ไม่ว่าใครก็สามารถสร้างชีวิตและความจริงของตัวเองขึ้นมาได้ เหมือนอย่างที่ deep fake ทำได้
นอกจากนี้ที่กำลังเป็นปัญหาในช่วงหลายต่อหลายปีที่ผ่านมาอย่าง fake news ก็ยิ่งกลายเป็นเรื่องที่จัดการได้ยากมากขึ้น ในเดือนพฤษภาคมปี 2018 สำนักข่าว Washington post รวบรวมสิ่งที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ พูดออกสื่อตั้งแต่เข้าดำรงตำแหน่ง ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดๆ โดยพวกเขารวบรวมได้มากกว่าสามพันข้อความ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าทรัมป์นำเสนอความเข้าใจผิดในเรื่องราวต่างๆ เฉลี่ย 6.5 เรื่องต่อวัน และยังทำให้หลายคนเชื่อไปด้วย
หรือในตอนนี้ เราอาจเห็นการโจมตีต่อบุคคลทางการเมืองในบ้านเรา เช่น การโพสต์ภาพพรรคการเมืองหนึ่งไปกินอาหาร แล้วบรรยายว่า ดูสิ! พวกเขาไปกินอาหารกันหรูขนาดนี้เลยนะ หรือแม้แต่การส่งต่อข่าวในกรุ๊ปต่างๆ ที่กลายมาเป็นปัญหาให้หลายฝ่ายต้องตามแก้ ตามทำความเข้าใจกันใหม่
ในแต่ละวันของเราเองก็ต้องพบเจอกับ fake news มากมาย ที่อาจสร้างขึ้นด้วยความเข้าใจผิด หรือจริงๆ ก็อาจจะจงใจ แต่นั่นทำให้การท่องโลกอินเทอร์เน็ตของคนในยุคปัจจุบันมีความจริงหลากหลายให้เราเลือก
ซึ่งการที่หนังเรื่องนี้เลือกหยิบจับประเด็นของการสร้างความจริงในวันที่เทคโนโลยีพัฒนาไปไกลแทบจะเหมือนที่เราเคยดูผ่านๆ ในหนัง ยิ่งช่วยทำให้คนดูอาจตระหนักถึงการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ และน่าสนใจตรงที่หนังสามารถหยิบจับประเด็นนี้มาใส่กับความแฟนตาซีได้อย่างลงตัว
ในตอนแรกที่ปีเตอร์และหลายๆ คนต่างเชื่อสิ่งที่เควนติน เบ็คพูดนั้น ก็อาจจะเป็นเหมือนกับคนในปัจจุบันที่เราอาจเผลอเชื่อไปเพราะถูกคำว่า ‘ความจริง’ หลอกลวง ยิ่งเมื่อเราหวาดกลัว หรืออยู่ในสถานการณ์ที่กำลังแย่ การได้เชื่ออะไรที่ทำให้ตัวเองสบายใจก็อาจทำให้หลายคนรู้สึกดีขึ้นไม่มากก็น้อย และมองว่าความจริงที่ตัวเองเลือกเชื่อจะทำให้รู้สึกปลอดภัย
แต่หลังจากปีเตอร์เริ่มเอะใจ และเข้าใจว่าเรื่องราวทั้งหมดคือความจริงที่ถูกสร้าง นั่นทำให้เขาสามารถเอาชนะเควนติน ได้ ซึ่งหนทางที่ทุกคนจะเอาชนะโลกที่ความจริงสร้างได้ และความจริงที่ถูกสร้างนั้นเข้มแข็งมากๆ ก็คือการตั้งคำถามกับทุกสิ่งก่อนเชื่อ
ปีเตอร์ต้องใช้ Peter Tingle เพื่อระวังตัวและจัดการกับความลวงที่เคว็นติน เบ็คสร้าง ตัวเราเองก็อาจต้องฝึกฝนเซนส์การรับข้อมูลทุกอย่างก่อนปักใจเชื่อไปเสียทั้งหมดเหมือนกัน
อ้างอิงข้อมูลจาก