ว่ากันว่า ‘เด็กก็เหมือนผ้าขาว’ จริงไหม?
เรามักจะได้ยินคำกล่าวแบบนี้อยู่หลายครั้งในอดีต ที่ใช้เปรียบเปรย ‘เด็ก’ ที่เป็นดั่งผ้าขาวบริสุทธิ์ ไม่ประสา และพร้อมที่จะเติบโตไปตามสภาพแวดล้อม และการเลี้ยงดูที่จะหล่อหลอมตัวตนของพวกเขาขึ้นมา
ซึ่ง เด็ก ในที่นี้อ้างอิงตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 แล้ว หมายถึง บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ และมีสิทธิที่จะได้รับการเลี้ยงดูอบรม ได้รับการศึกษา การรักษาพยาบาลและอื่นๆ อย่างเท่าเทียมกับผู้ใหญ่
แต่ในสังคมไทยยุคปัจจุบัน เรายังได้พบเห็นเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเข้ามามีบทบาทมากมายบนโลกโซเชียล และในชีวิตจริงๆ ที่อาจผูกโยงกับลัทธิ-ความเชื่อ และชื่อเสียงมากมาย จนเป็นคำถามว่า สิ่งเหล่านี้อาจกลายเป็นดาบ 2 คม ที่อาจหวนกลับมาทิ่มแทงเด็กเหล่านั้นหรือไม่?
เมื่อเด็กถูกจัดวางให้อยู่ในบทบาทความเป็น ‘ผู้นำ’ และมีอิทธิพลต่ออะไรบางอย่าง การเติบโตมาท่ามกลางความสนใจ ผู้ปกครองและสังคมควรทำความเข้าใจเพื่อให้เด็กคนหนึ่งได้เติบโตมาอย่างสมวัยหรือไม่ The MATTER จึงพูดคุยกับ หมอเดว–รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว

A single spotlight illuminates an empty table on a dark stage
หมอเดวเริ่มพูดถึงความเป็นบุคคลที่อยู่ท่ามกลางแสงสปอตไลท์ (Spotlight) โดยเฉพาะในสังคมไทยที่พร้อมจะเกิดดราม่าได้ตลอดเวลา ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนแรงกดดันให้กับบุคคลเหล่านั้น “ใช้คำว่าพลาดไม่ได้ คือถ้าพลาดแล้วก็อาจจะบาดเจ็บหนัก”
หมอเดวเล่าว่า ผู้ใหญ่ที่เลือกเป็นดารา, นักแสดง เป็นบุคคลที่มีวุฒิภาวะ มีอาชีพการงาน และเลือกเส้นทางนั้นด้วยตัวเอง บนความสมัครใจของตัวเองโดยไม่มีใครมาครอบงำ ซึ่งความหมายก็คือ หากวันนึงล้มและบาดเจ็บขึ้นมา ก็ต้องรับผลของการกระทำไปตามนั้น นอกจากนี้ ยังต้องประเมินตัวเองและเลือกอาชีพที่เหมาะกับบุคลิกภาพของตัวเองมาแล้ว ดังนั้นการจะเป็นบุคคลสาธารณะต้องเลือกตามจริตของตัวเอง
“ทีนี้กลับมาที่เด็ก เด็กที่อายุน้อยกว่า 18 ปี บุคลิกภาพยังไม่โตเต็มที่ และความเข้าใจอะไรในโลกยังอ่อนแอมาก เพราะฉะนั้นเขาจะไม่เข้าใจว่าที่กำลังถูกเสกสรรปั้นแต่ง และให้ขึ้นไปฉายบนสปอตไลท์ โดยที่ไม่ได้เลือก ซึ่งหากเกิดพลาดขึ้นมาแล้วมันอาจจะเกิดผลที่หนักเสียยิ่งกว่าบุคคลสาธารณะเสียอีก เรื่องแบบนี้เด็กวิเคราะห์เองไม่ได้ เขาจะไม่รู้ว่าหากเขาพลาดขึ้นมาแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น”

Taking photo of a baby
“ถ้าถามหมอ คนที่เป็นพ่อแม่ แม้แต่การเอารูปลูกตัวเองมาลงให้คนกดไลก์-กดแชร์ สร้างให้เป็นยูทูปเบอร์ หรืออินฟลูเอนเซอร์ตั้งแต่สมัยยังเด็ก โดยที่เขาไม่ได้มีโอกาสได้เลือกเลย เขาอาจจะไม่ได้ต้องการสปอตไลท์ก็ได้”
“เขาแค่ทำตามค่านิยมของพ่อแม่ ที่ผู้ใหญ่ไปสร้างสังคมหลอกๆ ขึ้นมา แล้วมีแรงจูงใจให้เขารู้สึกว่าถ้าเขาทำผู้ใหญ่จะชอบ คนจะมากราบไหว้ หรือศรัทธา บางครั้งถึงขนาดที่พ่อแม่เองอาจจะทำมาหากินได้ด้วย” — หมอเดว
กุมารแพทย์ท่านนี้เล่าต่อว่า แม้ว่าสังคมจะเป็นไปในเชิงบวก ต้องกลับมาดูที่คุณภาพชีวิตของเด็กว่ามันจะพัฒนาตัวตนให้กลายเป็นคนที่มีวุฒิภาวะอย่างไร “หมอขอใช้คำว่าเมื่อเป็นบุคคลสาธารณะ เขามีหน้าที่ในการตอบแทนสังคม ไม่ใช่รังแกสังคม ประเด็นก็คือว่าเด็กเขาไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่นั้น มันเป็นการตอบแทนสังคม หรือรังแกสังคมกันแน่”
“สังคมเรามันมีคนทุกรูปแบบ เวลาบาดเจ็บขึ้นมากลไกทางจิตเองก็ยังไม่แข็งแรง คือคำว่า ‘กลไกทางจิต’ ไม่ได้แปลว่าโรคจิตนะ แต่เป็นกลไกที่เราสร้างขึ้นมา แต่สิ่งเหล่านี้เป็นวุฒิภาวะที่พัฒนาขึ้นมาตามวัย ไม่ได้เกิดมาพร้อมสิ่งนี้เลย”

Little boy using a smartphone
“วุฒิภาวะของเด็กจะอ่อนแอมาก ถ้าโดนพ่อ-แม่ใส่ชุดข้อมูลเข้าไปแล้วบอกว่า ‘เด็กเขาบรรลุได้เองเลย’ หรือ ‘พ่อแม่ไม่ได้เสี้ยมอะไรเลย’ คือที่เราศึกษาดูวุฒิภาวะของสมองเด็ก เขาจะเติบโตเร็วที่สุด คือช่วง 14-15 ปี ซึ่งไม่ใช่ในเด็กประถมแน่นอน”
เมื่อพูดถึงในเชิงนามธรรม ความเชื่อ ลัทธิต่างๆ คุณหมอยกตัวอย่างว่าสำหรับเด็ก ความเข้าใจในนามธรรมเหล่านี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เร็วกว่าอายุ 10 ปี ทุกสิ่ง ทุกอย่างทำโดยแรงจูงใจ และผู้ใหญ่ที่เสี้ยมสอน ไม่ได้เกิดขึ้นจากการตัดสินใจด้วยตัวเด็กเอง
“แค่เรื่องการคบเพื่อน เด็กเองก็ต้องมีสังคม อย่าลืมว่าชีวิตของเด็กยังไปอีกไกล แต่ในขณะที่ชีวิตผู้ใหญ่มันสั้นลง พ่อแม่ไม่ได้อยู่ชั่วชีวิตของเด็ก” — หมอเดว
“ถ้าในช่วงที่เขาเติบโตมามันกลายเป็นสังคมที่เขาไม่ไว้วางใจสำหรับเขาล่ะ ลักษณะนี้มันผิดหลักสิทธิเด็กเสียด้วยซ้ำ สังคมมันมีทั้งที่สาดโคลนใส่ มอบช่อดอกไม้ให้ และขว้างก้อนหินใส่ พ่อแม่ที่บอกว่าตัดสินใจแทนลูกเพราะเขาคือลูกตน ก็โปรดเข้าใจด้วยว่า ลูกไม่ใช่ทรัพย์สมบัติของพ่อแม่” หมอเดวกล่าวพร้อมบอกด้วยว่า อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กนั้นแข็งแรงพอๆ กับรัฐธรรมนูญของไทย
ลูกไม่ใช่ทรัพย์สมบัติของพ่อแม่
หมอเดวเล่าว่า การพัฒนาเด็กคนนึงนั้น ประกอบไปด้วย 3 อย่าง
อย่างแรกคือ เนเจอร์ — คือเด็กคลอดออกมามีลักษณะครบ 32 หรือไม่ ว่ากันไปตามยีนส์ และพันธุกรรม ร่างกายพร้อม จิตใจพร้อม
ต่อมาคือ การเลี้ยงดู — สิ่งนี้จะมาพร้อมพื้นฐานทางอารมณ์ของเด็ก ซึ่งแต่ละคนไม่เหมือนกันอีก บางคนว่านอนสอนง่าย บางคนบ้าพลัง อ่อนไหวง่าย ซึ่งการเลี้ยงดูเป็นศิลปะ ที่ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้
และสิ่งสุดท้ายคือ วุฒิภาวะ — เป็นกลไกทางจิต รวมกับพัฒนาการ การใช้สมองและสติปัญญา ไหวพริบในการแก้ปัญหา

Happy family walking on the street
“พ่อ แม่ก็ต้องใช้สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมเขาให้เติบโต นึกคิดอย่างมีวุฒิภาวะ ซึ่งอย่างเร็วที่สุดก็ต้องอายุราว 14-15 ปี ดังนั้นตราบใดที่เขายังเล็ก พ่อแม่ต้องตระหนักรู้ว่าลูกไม่ใช่ทรัพย์สมบัติ แต่เรามีหน้าที่พัฒนาให้เขาเติบโตอย่างมีวุฒิภาวะ” — หมอเดว
คุณหมอบอกว่า หากเราใช้ตรรกะที่ว่า ‘เขาเป็นลูกฉัน เพราะฉันคลอดเขาออกมา’ เราจะ Overrule** เด็ก (**การใช้อำนาจบังคับ, ปกครอง, เหนือกว่า) คือไปคิดแทนและตัดสินใจแทนเลย มันก็ถูกที่ว่าเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบพ่อแม่มีอำนาจเต็มที่ แต่เมื่อเขาเติบโตขึ้นมาบางเรื่องเขาฟังเพื่อน บางเรื่องเขาฟังครู เขามีสังคมของเขา เราทำได้แค่ใช้วิจารณญาณของเราเองว่าสิ่งที่ลูกทำมันปลอดภัยหรือไม่
“พอยิ่งเติบโตไป ระบบนิเวศน์เขาจะเริ่มมีความหมายกับเขามากขึ้น หากพ่อแม่ยังคงใช้คำว่าลูกคือทรัพย์สมบัติของตัวเอง แล้วใช้แรงจูงใจต่างๆ อันนี้เท่ากับพ่อแม่รังแกลูก” — หมอเดว
“ถ้าท่านเป็นผู้ใหญ่ ท่านต้องให้ลูกมีพื้นที่ตัดสินใจเอง การให้ไปอยู่ในสปอตไลท์ถามว่าเขาถอนตัวได้ไหม? แล้วเขาจะถอนตัวได้ยังไง ในเมื่อมันเป็น Digital Footprint ไปหมดแล้ว เขาจะไปตามล้างยังไงหมด แล้วถ้าวันนึงเขารู้สึกว่าเขาไม่น่าทำแบบนี้เลย เขาจะอยู่ในสังคมต่อยังไง?”
“แล้วเขาจะโทษใครที่ทำให้เขามีบาดแผลทางใจ และทำให้เขาอยู่ในสังคมไม่ได้ เราต้องกลับมาคิดเพราะเรื่องแบบนี้ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง” หมอเดวกล่าวทิ้งท้าย
Graphic Designer: Sutanya Phattanasitubon
Editor: Thanyawat Ippoodom