ตั้งแต่ต้นมีนาคม ฉันวางแผนกับน้องในฝ่ายไว้ว่าถ้าเกิดเหตุปิดอาคารเพราะมีคนติดเชื้อ หรือมีคนในที่ทำงานติดเชื้อ หรือใครคนใดคนหนึ่งของพวกเราในทีมติดเชื้อ เราจะต้องทำอะไรกันบ้าง
ทุกคนเตรียมงานล่วงหน้าที่จะต้องทำที่บ้านอย่างน้อย 1 เดือน เตรียมข้อมูล เตรียมรายชื่อ เบอร์โทรศัพท์ของคนที่ต้องติดต่องานด้วย ทุกวันจะต้องเอาคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กกลับบ้านเพราะเผื่อว่าพรุ่งนี้เราไม่ได้เข้ามาทำงาน นอกจากการเตรียมงาน สิ่งที่เราพยายามเตือนกันคือการระมัดระวังตัวในการใช้ชีวิต หมั่นล้างมือและทำความสะอาดอุปกรณ์ต่างๆ
คนในฝ่ายเราใส่หน้ากากอนามัยกันทั้งวันตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ ฉันออกจะภูมิใจที่ตัวเองเตรียมการล่วงหน้าไว้ดี
ในวันหนึ่งของกลางเดือนมีนาคม มีการเรียกประชุมด่วนกันไม่กี่คน ญาติของคนในที่ทำงานติดเชื้อโควิด จะต้องทำอะไรบ้าง พนักงานคนนั้นไม่ได้มาทำงานแล้ว เขาไปตรวจและกำลังรอผลเนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงที่การระบาดสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเข้าตรวจและรอผลตรวจใช้เวลาอยู่พอสมควร
ที่ประชุมไล่เรียง Timeline เริ่มจากวันล่าสุดที่เขาพบกับผู้ติดเชื้อแล้วนับต่อว่าช่วงหลังจากวันนั้น เขาพบปะพูดคุยกับใครบ้าง หนึ่งในนั้นคือฉันกับน้องในทีมที่ประชุมกับเขาในห้องเล็กๆ ร่วมชั่วโมง ฉันกับน้องใส่หน้ากากอนามัยกันตลอดเวลาแต่จำได้ว่าบางช่วง เขาถอดหน้ากากออกมาไอเพราะเขาบอกว่าเขาแพ้หน้ากาก ตอนนั้นเราไม่ได้คิดอะไรมาก แต่พอรู้ว่าเขาสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ ภาพที่เขาถอดหน้ากากออกมาไอในระหว่างการประชุมทำให้เราเริ่มคิดมากอย่างไม่ต้องสงสัย
ฉันกับน้องเก็บของกลับบ้านทันทีในตอนสายของวันนั้น ยังเหลือน้องในทีมบางส่วนที่เริ่มจะไม่สบายใจ แม้ว่าพนักงานคนนั้นไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันกับผู้ติดเชื้อ แม้ว่าเราจะใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่พูดคุยกับเขา แต่เราไม่รู้เลยว่า มันจะติดเชื้อกันง่ายแค่ไหน ข่าวที่ออกมาเหมือนจะติดกันได้อย่างง่ายดาย
ฉันอยู่ในห้องแคบๆ ปกติกลับมาถึงที่พักตอนเย็น ในห้องจะอบอ้าวนิดๆ รอสักพัก พอค่ำอากาศเย็นลงก็ดีขึ้น ตอนกลับมาถึงที่พักตอนใกล้เที่ยงนี่มันร้อนอบอ้าวอยู่ไม่เบา น้องที่ต้องกลับบ้านทันทีแวะซื้อปรอทวัดไข้ก่อนเข้าบ้าน หลังจากกินข้าวกลางวัน ก็เริ่มประชุมงานออนไลน์กับน้องในฝ่าย งานต้องเดินต่อไปแม้ฉันจะรู้ว่าแต่ละคนมีอะไรอยู่ในใจ เด็กๆ ไม่ได้ห่วงตัวเองเท่ากับห่วงคนในครอบครัว บางคนมีพ่อเป็นเบาหวาน บางคนแม่ไม่ค่อยสบาย สิ่งที่หัวหน้าทีมจะทำได้คือให้กำลังใจและเตือนให้ทุกคนระวังตัว คนที่อยู่กับครอบครัวต้องทำเหมือนตัวเองติดเชื้อแล้ว ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่บ้าน แยกวงกินข้าวและทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้ หน้าฉากที่ฉันคุยกับน้องๆ คือแบบหนึ่ง แต่หลังฉากจากการประชุม ฉันพบว่าใจไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่แสดงออกไป ไม่ได้จดจ่ออยู่กับงานเท่ากับการนั่งทำงานในห้องทำงาน แต่ใจไปจดจ่ออยู่กับผลของการตรวจของพี่คนนั้น เขาจะติดเชื้อมั้ยนะ ถ้าเขาติดเชื้อ แล้วเราล่ะ?
วันถัดมาเป็นวันหยุด อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลกับเรื่องงาน เพียงแต่เรื่องการปฏิบัติตัวแบบ Self – Quarantine อาจจะต้องพิเศษกว่าปกติ ฉันมีของกินตุนไว้บ้างแล้ว อยู่ได้เป็นสัปดาห์ จึงไม่ได้เดือดร้อนกับการกิน แต่การที่ไม่ได้ออกจากห้องแคบๆ ไปไหนเลย มันออกจะอึดอัดอยู่บ้างสำหรับคนที่วันๆ แทบไม่เคยอยู่ห้อง ห้องแคบๆ ที่ร้อนอบอ้าวแทบทั้งวัน จะต้องปรับตัวอย่างไร
ถ้าต้องทำความเย็น เปิดแอร์ทั้งวันค่าไฟฟ้าคงจะขึ้น ที่ที่เย็นที่สุดในช่วงกลางวันคือห้องครัวแคบๆ เป็นส่วนที่ไม่เจอแดดโดยตรง ถัดจากห้องครัวออกไปคือระเบียงตากผ้าพื้นที่ประมาณ 2 ตารางเมตร ฉันซักผ้าทุกวันเพื่อให้ร่มเงาของผ้าที่ตากไว้ช่วยกันการสะท้อนของแสงแดด เปิดประตูให้ลมพัดความเย็นจากน้ำบนพื้นระเบียง และจากความชื้นของผ้าเปียกๆ เข้ามา มีพัดลมช่วยอีกตัว พอจะอยู่ได้
ในส่วนของอาหาร เขาแนะนำให้กินของมีประโยชน์และเลี่ยงของหวาน ฉันงดขนม น้ำหวาน เบเกอรี่ทั้งหลายที่ชอบ ส่วนกับข้าวนั้นทำเอง ถ้าซื้อมาต้องอุ่นให้ร้อนจัดก่อนกินเสมอ ที่ทำง่ายที่สุดคือนึ่งผัก ต้มไข่ กินกับข้าว การอยู่แต่ในห้อง แทบไม่ได้เคลื่อนไหว ทำให้ใช้พลังงานน้อยมาก การกินเข้าไปในปริมาณปกติทำให้อึดอัดและไม่สบายตัว เมื่อเปลี่ยนมากินแบบง่ายๆ เพราะวิถีชีวิตบังคับให้ไปไหนไม่ได้ กินน้อยลง มื้อเย็นกินแค่ผลไม้นิดหน่อย กลับพบว่าตัวเบา สบาย น้ำหนักลดไป 1-1.5 กก
ทำงานจากที่บ้าน ทักทายกับคนในทีมทุกเช้าและแชตกันระหว่างวันยามต้องประสานงาน มีวิดีโอคอลให้ได้เห็นหน้ากันวันละครั้ง ก็ยังทำงานเหมือนเดิมแต่ดูไม่ได้จริงจังเท่าเดิมเพราะบรรยากาศของการอยู่บ้าน ถึงอย่างนั้นเราก็มีแอพที่วัดความก้าวหน้าของงานด้วย ก็เลยเถลไถลไม่ได้มากนัก
ยามว่างก็อ่านอะไรไปเรื่อยเปื่อย ช่วงนี้ใช้ชั่วโมงเน็ตไปเยอะมาก มีความอึดอัดใจอยู่บ้างที่ไม่ได้ออกไปไหน รู้สึกว่า ถ้าได้ออกไปเดินเล่นแถวนี้ก็ยังดี แต่เพราะช่วง Self-Quarantine เป็นช่วงเข้ม ต้องทำตัวเหมือนคนที่ติดเชื้อแล้ว จึงไม่ควรจะออกไปไหน สำนึกต่อสังคมกับความสุขทางใจมันตีกัน
ระหว่างรอผลการตรวจของพี่คนนั้นอยู่ 4 วัน มีความกังวลใจอยู่พอสมควร ดีที่ไม่มีไข้ ไม่มีอาการอะไร ผลปรากฏว่าเขาไม่พบการติดเชื้อ ทุกอย่างดูจะลงตัวไปหมด การกักตัวอย่างเข้มข้นก็ดูไม่น่ากลัวสักเท่าไหร่
อีก 3 วันถัดมา ฉันรู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวนิดๆ แต่เป็นเฉพาะช่วงบ่ายๆ ไม่กี่ชั่วโมง พอตกเย็นอาการนั้นก็หายไป ไม่มีอาการอื่นใด ผ่านมาเข้าวันหยุด จู่ๆ ก็รู้สึกไม่อยากอาหารแต่อย่างใด วันนั้นกินข้าวก่อนเที่ยงไป 1 มื้อแล้วไม่ได้กินอะไรต่อ ร่างกายเหมือนอุ่นๆ จะเป็นไข้ วัดไข้ทุก 2-3 ชั่วโมง อยู่ที่ 37-37.5 แปลว่ามันใกล้จะเป็นไข้แล้วสินะ ตกดึกยังตื่นมาวัดไข้ เช้าอีกวัน ตื่นมาเหมือนจะเจ็บคอ ใช่หรือเปล่านะ นึกได้ว่าช่วงนี้ถ่ายเหลวมาหลายวันติดกัน แต่ก็ไม่ได้ท้องเสีย ไม่ได้ไอ ไม่ได้จามจะไปตรวจได้มั้ย ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงสูงสักหน่อย เขาจะตรวจให้มั้ย
ต้มน้ำร้อน ดื่มน้ำอุ่นไปทั้งวัน เขาบอกว่าการสูดไอความร้อนเข้าไปจะช่วยได้ ก็ทำวันละหลายครั้ง ใจมีแต่ความกังวล หรือเราจะติดเชื้อจากพี่คนนั้น หรือเราอาจจะติดจากที่อื่น เราอาจจะเป็นพวกที่ไม่แสดงอาการก็ได้ เราอาจจะ.. สารพัดของความกังวลที่ผุดขึ้นมา
แล้วถ้าเราติดเชื้อ ที่ทำงานจะเป็นอย่างไร ต้องมีใครถูกกักกันเพราะเราบ้าง ต้องมานับ Timeline ว่าเราไปพบเจอกับใครบ้าง แล้วที่คอนโดล่ะ เขาต้องมาฉีดพ่นอะไรมั้ย ช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีลิสต์รายชื่อคอนโดรายวันออกมาว่าคอนโดไหนมีผู้ติดเชื้อบ้าง
ร่างกายเหมือนจะไม่สบาย อยากจะนอนพักก็นอนไม่หลับ เอาเจลเย็นมาประคบระบายความร้อนทั้งที่วัดไข้ด้วยปรอทแล้วยังไม่เกิน 37.5 ปวดหัวจี๊ดๆ มา 3-4 ครั้ง ความกังวลใจทำร้ายตัวเองได้ขนาดนี้ ไม่อยากอาหาร ไม่อยากอ่านไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น กายกับใจดูจะประสานงานกันในทางดิ่งลง
เย็นวันนั้น ฉันถามตัวเองว่ากลัวอะไร
กลัวว่าคนอื่นต้องมาติดเชื้อเพราะฉัน งั้นหรือ
กลัวว่าต้องมีคนมาเดือดร้อนเพราะฉัน งั้นหรือ
หรือจริงๆ กลัวว่า เขาจะมองว่า ‘ฉัน’ นี่มันไม่ดีเลย
กลัวว่าสังคมจะรังเกียจที่เป็นผู้ติดเชื้อ
ตัวมันใหญ่เหลือเกินจนทนไม่ได้ที่จะถูกใครรังเกียจ ความรู้สึกว่า ‘ฉัน’ เป็นผู้ติดเชื้อนี่มันใหญ่ครอบจักรวาลมากๆ พอเห็นความรู้สึกตรงนี้ มันเริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น ติดเชื้อก็ติดเชื้อสิ ไม่เห็นจะเป็นไร ติดเชื้อก็ไปอยู่โรงพยาบาล ใครที่ติดเพราะเรา เขาก็คงต้องไปเหมือนกัน ถ้ามันจะติดเชื้อ มันก็ติดเชื้อ เท่านั้นเอง ใครจะมองว่า ‘มึง’ ติดเชื้อ แล้วยังไง?
ฉันพบว่า เมื่อมองเห็นตัวใหญ่ๆ ที่ซ่อนอยู่ข้างใน ดูเหมือนตัวมันเริ่มหดลง ใจไม่กังวลมากเท่าเก่า ไม่รู้สึกว่าฉันต้องอย่างนั้น ฉันต้องอย่างนี้
เช้าวันถัดมา ฉันเหมือนคนที่ค่อยๆ ฟื้นไข้ ลุกมาอาบน้ำแต่งตัว กินข้าว ฟังเสียงนกที่ร้องอยู่นอกหน้าต่าง มองกระรอกไต่ตามต้นไม้หน้าคอนโด
อารมณ์ ความรู้สึกกลับมามั่นคง
การอยู่กับความรู้สึกของตัวเองในช่วงโรคระบาด ก็เป็นอะไรที่ดีอยู่มิใช่น้อย