ตลอดการใช้ชีวิตผ่านมากว่า 30 ปี หลักกิโลเมตรที่หลายคนมอบให้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต เข้ามาทักทายผมท่ามกลางภาวะของโลกอันมีเหตุอาเพศหลายอย่างมากมายตั้งแต่ขึ้นปีใหม่ของปี พ.ศ.2563 อย่างที่ได้รับ
ข่าวร้ายมาไม่ละเว้นแต่ละเดือน และที่สำคัญครั้งใหญ่สำหรับพวกเราทุกคนขณะนี้คือ ‘COVID-19’ ซึ่งผมว่ามีเค้าลางตั้งแต่ช่วงก่อนบ๊อกซิ่ง เดย์ปลายปี พ.ศ.2562 แล้ว ตั้งแต่ลิเวอร์พูลขึ้นนำจ่าฝูงไปซะไกล และผมมั่นใจว่านี่คือเหตุอาเพศของโลกนี้ (ล้อเล่น)
การเกิดขึ้นของเหตุโรคระบาดครั้งนี้ แน่นอนว่าเปลี่ยนวิถีชีวิตเราไปไม่มากก็น้อย เริ่มจากส่วนตัวผมเลย เนื่องจากผมทำงานด้านการเดินทาง จึงน่าจะเป็นบุคคลประเภทแรกๆ ที่ถูกหยุดงาน และย่อมส่งผลกระทบต่อรายได้โดยตรงจัดเต็มแบบจุกๆ เพราะการแพร่ระบาดของโรคนั้นแพร่ระบาดจากคนที่เดินทางไปมาหาสู่กัน และมันน่ากลัวตรงที่เรายังไม่มีวัคซีน การหยุดชะงักของโลกครั้งนี้ส่งผลต่อวิถีชีวิตไปไม่น้อยเลย
ภาวะการหยุดอยู่ที่บ้านจึงเป็นโจทย์ใหญ่ครั้งสำคัญ
ที่ทำให้ผมได้มีโอกาสทบทวนตัวเอง
ช่วงสามสี่ปีให้หลังนี้ ผมมีความสัมพันธ์แบบ love-hate relationship กับการงานพอสมควร ความรู้สึกของการไม่อยากไปทำงานเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ด้วยลักษณะงานนั้นไม่ได้เป็นเวลาออฟฟิศเหมือนคนอื่น การออกแบบเลือกเวลาทำงานที่ชอบได้ก็น่าจะเป็นข้อเด่นที่ทำให้งานที่ทำอยู่นั้นน่าพอใจ อีกทั้งรายได้นั้นก็ไม่ได้น้อยเลยหากเทียบกับการออกแรงแลกกับเงิน แต่นั่นต้องแลกมาด้วยสุขภาพที่เสียไป
หลายครั้งที่ผมตื่นขึ้นมามองนาฬิกาแล้วพบว่าบ่ายสามแล้ว ในขณะที่ชาวออฟฟิซกำลังจะเลิกงานอีกไม่กี่ชั่วโมง แต่ผมเพิ่งเริ่มวันเอง ทำให้แอบรู้สึกเสียดายวันเวลาเหมือนกันนะ ที่ต้องเอามาแลกกับการนอน ยังไม่ได้รวมถึงเวลาที่อยากเอาไปใช้ในสิ่งที่อยากทำจริงๆ
ในขณะที่ตารางงานที่ได้รับมอบหมายมาคล้ายกับเดือนและปีก่อนๆ ความตื่นเต้นที่จะได้ไปทำงานก็จากไปกลายเป็นความ “เออ ไปก็ได้วะ” คิดว่าไปหาเงินแล้วกัน แล้วผมก็อาศัยอยู่ในวงจรนี้ที่วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนไม่ได้ใส่ใจอะไรบางอย่าง
เมื่อผมอยู่บ้านเกือบครบหนึ่งเดือนหลังประกาศการล็อกดาวน์ทั่วประเทศ นั่นทำให้ผมมีเวลาว่างมากและเหลือเฟือจนเอาไปใช้จ่ายกับทุกอย่างเท่าที่สถานการณ์พอจะอนุญาตให้ทำได้หมด ผ่านพ้นช่วงการทำบิ๊กคลีนนิ่งเดย์ในห้องพักแทบทุกมุม แยกของไปบริจาค จัดชั้นหนังสือ ล้างห้องน้ำครั้งใหญ่ ซักผ้าม่านที่ปกติจะซักปีละครั้ง (ไม่มีอะไรเหลือให้ทำแล้วจริงๆ ถึงจะซัก) จึงเหลือเวลามาจับเจ่า นั่งอยู่เฉยๆ บนโซฟาตัวที่ผมมักจะทิ้งตัวลงทุกครั้งหลังเลิกงาน (แน่นอนว่า โซฟาก็ซักแล้ว)
ผมยกขาขึ้นมานั่งขัดสมาธิดูแล้วสังเกตได้ว่า ใต้นิ้วโป้งเท้าข้างซ้ายมีผิวที่ผิดแปลกไปจากเนื้อเท้านิ้วอื่นๆ ผมแบะขาพลิกเท้าแล้วดูให้ชัดขึ้น พบว่า เป็นผิวหนังแข็ง นูน มีจุดดำๆ อยู่ภายใน เข้าใจว่าน่าจะเป็นตาปลา ซึ่งก็เพิ่งนึกได้ว่าเคยรู้สึกเจ็บแบบน่ารำคาญเรื่อยมาหลายเดือนแล้ว แต่ไม่ได้สนใจจริงๆ สักที
ทันใดนั้นจึงวางเท้านั่นลง ลุกไปหยิบโทรศัพท์มา ส่งข้อความไปปรึกษาคุณหมอชื่อดังผู้ไม่ได้อยู่ที่ไหนโดยเฉพาะ ชื่อของเขาเป็นที่คุ้นเคยของพวกเราอย่าง ‘Google’ ซึ่งควรมากับวิจารณญาณ
คุณหมอระบุคร่าวๆ ว่าอาการที่ผมเป็นนั้น เขาเรียกว่า ‘ตาปลา’ เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การเสียดสีของผิวหนังกับพื้นรองเท้า การลงน้ำหนักผิดจุดในการเดินเพราะโครงสร้างของเท้า การเลือกใช้รองเท้าที่ไม่มีคุณภาพ เดินเยอะโดยไม่ใส่รองเท้า แม้กระทั่งความสกปรกที่ไม่ได้รับการใส่ใจอย่างสม่ำเสมอ แต่ที่โชคดี คือ ไม่ได้เป็นโรคติดต่อ
แล้วคนเป็นตาปลาเค้าต้องรักษายังไง?
หมอ Google และผู้ร่วมสันทัดกรณีมากมายต่างช่วยกันแนะนำคร่าวๆ ว่ามีหลายวิธี เช่น เอากรรไกรตัดหนังที่แข็งออก เอาเท้าแช่น้ำร้อน ใช้หินตะไบขัดเบาๆ ทาโลชั่น ไล่ไปถึงวิธีแบบชาวบ้านคือ ใช้สมุนไพร เช่น มะนาว กระเทียม ที่มีกรดอะไรซักอย่างทำให้ผิวหนังนั้นถูกกัดและค่อยๆ หลุดร่อนไปเอง ลามไปถึงการหาหมอผ่าตัดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
“ไม่ต้องถึงมือหมอหรอกค่ะ ดิฉันใช้กรรไกรตัดเล็บแช่แอลกอฮอล์ ค่อยๆ เล็มตัดหนังออกไป ตัดไปเรื่อยๆ จนถึงบริเวณที่ผิวบาง แล้วตัดเข้าไปอีกนิดนึงพอให้เลือดซึมออกมา พอถึงจังหวะนั้น ก็หยิบมาเลยค่ะ กระเทียมบ้านๆ จากตลาดนี่แหละแค่ ทุบๆ ให้ละเอียด แล้วเอามาโปะบนแผลนี้ พันผ้าไว้หนึ่งวันแล้วแกะออกมาดูค่ะ” หญิงผู้สันทัดกรณีท่านหนึ่งแนะนำอย่างมั่นใจผ่านประสบการณ์ของตัวเอง
ภาพขั้นตอนของแต่ละวันที่อัพเดทสถานการณ์เรียลไทม์มากๆ ในกระทู้พันทิปที่กดซ่อนภาพสยดสยองสำหรับบางคนไว้ ซึ่งแน่นอน คนป่วยโรคเดียวกันกับเธอผู้นี้อย่างผมต้องอยากรู้อยู่แล้ว ทันใดนั้นภาพเท้าที่ดำเนินการก็ปรากฏตัวพร้อมบาดแผลแดงเหมือนเนื้อหมูในตลาดก็เหมือนมาแปะบนเท้าส่วนนั้น เลื่อนลงไปเรื่อยๆ พบภาพที่เป็นไปในทางที่ดีขึ้นทีละนิด จนเมื่อจบกระทู้ก็พบว่าหนังเท้าเค้ากลับมาเป็นเกือบปกติแล้ว
แต่ไม่ทันจะเลื่อนไปไหนไกล คอมเมนต์ข้างล่างถัดไปก็มีความเห็นตรงข้ามไปอีกทาง
“ผมเป็นแพทย์ผิวหนังครับ ขอแนะนำว่าวิธีนี้ไม่ควรทำตามนะครับ เป็นวิธีที่อันตราย ผู้ป่วยอาจติดเชื้อได้ในกรณีนี้ถือว่าโชคดีครับที่เค้าไม่มีอาการอะไรเพิ่มเติม แนะนำว่าหากมีอาการลักษณะนี้ให้พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดีกว่าครับ”
ถ้าผมทำเองผมจะโชคดีแบบเค้าไหมนะ?
วันรุ่งขึ้นผมหาข้อมูลเรื่องสถานพยาบาลที่ให้บริการ มีทั้งข้อมูลออนไลน์ที่เป็นพื้นฐานทั่วไป แต่เมื่อโทรไปถามรายละเอียด มีหลายแห่งที่แจ้งว่าช่วงนี้ไม่รับทำหัตถการใดๆ เพราะลดความเสี่ยงช่วง COVID-19 ตัวเลือกของผมน้อยลงไปพอสมควร จึงมองหาโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งต้อนรับส่งมอบข้อมูลอย่างรวดเร็วและตรงไปตรงมา แต่ที่น่ากังวลอย่างนึงสำหรับผมคือ ค่ารักษาพยาบาล บางเจ้าแจ้งขั้นต่ำมาว่าประมาณหลักพันปลายจนถึงหลักหมื่นต้น จนเมื่อท้ายสุดผมก็เจอที่ให้บริการที่ราคาไม่สูงเกินไป และโชคดีที่ยังมีประกันช่วยเหลือไว้ส่วนหนึ่ง
วันที่นัดหมายพบแพทย์ หมอบอกผมว่า “อาการที่ผมเป็นนี่ไม่ใช่ตาปลาแล้วนะครับ คุณเห็นมั้ยว่าจุดที่มันดำๆ ตรงกลางเม็ดตรงนี้ มันมีอาการติดเชื้อแล้วครับ นี่เรียกว่า ‘หูด’ นะครับ ถ้าปล่อยทิ้งไว้นานกว่านี้มันจะลามไปจุดอื่นเรื่อยๆ นะครับ แล้ววิธีการรักษาสำหรับตอนนี้ก็คือ ต้องผ่าออกเท่านั้น”
ผ่าออก !!! เท่านั้น !!!
การผ่าตัดผ่านไปอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับความเจ็บปวดที่ช่างยาวนานของการฉีดยาชาที่นิ้วเท้าถึงสามเข็ม หลังจากทำแผลเสร็จ ผมขอคุณหมอดูชิ้นเนื้อที่ผ่าออกไป พบกับเศษก้อนเนื้อสุก กลิ่นเหมือนหมูย่างไหม้เกรียมที่ถูกเขี่ยทิ้งข้างเตา ภาพของพวกมันยังติดอยู่ในความทรงจำของผมจนถึงวันนี้
ก่อนกลับคุณหมอแนะนำว่า อย่าให้แผลโดนน้ำ ควรมาล้างแผลทุกวัน แล้วถ้าหายให้ลองเปลี่ยนรองเท้า เปลี่ยนวิธีการเดินดูแลเท้าให้มากกว่านี้หน่อย จะได้ไม่ต้องกลับมาผ่าอีก ซึ่งมันมีโอกาสกลับมาเป็นได้ทั้งจุดเดิมและจุดอื่นๆ
ผมนั่งรถเข็นคนป่วยออกมารอตรงช่องชำระเงิน แม้ค่าใช้จ่ายจะเป็นไปตามที่คาดหวังมาก่อนหน้าซึ่งไม่ได้มากมายนัก แต่สิ่งที่ทำให้ผมตระหนักดีนั่นคือ การไม่ดูแลตัวเองในช่วงที่ผ่านมา และผมต้องเจอภาวะของการเดินไม่สะดวกกับเท้าที่เป็นรูโบ๋แบบนี้ไปอย่างน้อยสองสัปดาห์ ซึ่งช่วง COVID-19 นี้ที่บังคับให้ผมหยุดอยู่บ้าน ไม่ได้ไปทำงานแบบนี้น่าจะเหมาะสมที่สุดแล้วที่จะใช้รักษาอาการและพักฟื้นฟูอาการเจ็บป่วยนี้ ถ้าผมคงต้องลางานคงจะเป็นเรื่องวุ่นวายพอสมควรหากเป็นช่วงสถานการณ์ปกติ
ในช่วงที่ยังพันแผลแบบนี้ ผมคิดถึงช่วงเวลาที่ผมเดินไปนู่นมานี่ได้แบบคนปกติ แม้จะมีมาตรการ social distancing ให้คนห่างกัน แต่อย่างน้อยผมก็เดินไปไหนมาไหนในบริเวณที่คนน้อยพอจะได้ไปอย่างสะดวกดั่งใจด้วยความสามารถในการบังคับเท้ามากกว่านี้ แม้สถานการณ์ก่อน COVID-19 ที่เป็นปกติก่อนหน้านี้จะเป็นเรื่องที่น่าเบื่อสำหรับผม
แต่วันนี้ผมยอมรับตรงๆ ว่า
ผมคิดถึงความปกติของมัน
การเดินด้วยเท้าที่ปกติในช่วง COVID-19 ก็น่าจะดีกว่า เดินบนเท้าที่เจ็บปวด ไปไหนมาไหน ไม่ได้ง่ายๆ แบบนี้
และการได้ไปทำงานในช่วงก่อน COVID-19 ที่ผมบ่นว่าเบื่อหน่ายแม้จะมีรายได้ที่เข้ามาอย่างสม่ำเสมอก็น่าจะดีกว่าการไม่มีรายได้เลยแบบวันนี้ นั่นทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าสิ่งสำคัญในช่วงเวลานี้ คือ คุณค่าของ ‘ภาวะปกติ’