“จริงๆ นักข่าวจะมี ‘ความกดดัน’ อยู่แล้ว ด้วยลักษณะงานที่ต้องเจอกับเหตุการณ์ต่างๆ และมีเดดไลน์ แต่ว่าอดีตจะมีแพลตฟอร์มหลักๆ เพียงแค่สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ แม้โดนบีบโดยเงื่อนเวลาเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้หนักเหมือนวันนี้”
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา เกิดเหตุสะเทือนใจต่อวิชาชีพนักข่าว หลัง ‘นัท—ณัฐวุฒิ ปงลังกา’ นักข่าวและผู้ประกาศข่าวช่อง 8 เสียชีวิตขณะนอนหลับภายในบ้านพัก เมื่อคืนวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งก่อนหน้าเขายังคงนั่งจัดรายการตามปกติ
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้วงการสื่อไทยย้อนกลับมาตั้งคำถามถึง ‘สวัสดิภาพ’ ของนักข่าว ที่เกิดขึ้นจากวัฒนธรรมการทำงานหนักซึ่งถูกมองข้ามมายาวนาน โดยเฉพาะยุคปัจจุบันที่สื่อออนไลน์เข้ามามีบทบาทในการทำงานมากขึ้น ทำให้นักข่าวหลายคนต้องเผชิญความกดดันจากการทำงาน ‘แข่งกับเวลา’ อยู่เสมอ
เพื่อทำความเข้าใจถึงแรงกดดันจากโครงสร้างและปัจจัยแวดล้อมที่กำลังบีบคั้นวิชาชีพสื่อขณะนี้ The MATTER ได้พูดคุยกับ ‘มานะ ตรีรยาภิวัฒน์’ รองศาสตราจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว พร้อมข้อเสนอเพื่อเสริมสร้างสวัสดิภาพที่ดีในชีวิตของนักข่าวในอนาคต
กรณีนักข่าวเสียชีวิตขณะนอนหลับสะท้อนระบบการทํางานข่าวในปัจจุบันอย่างไร?
“จากกรณีนักข่าวเสียชีวิต จริงๆ แล้วเราอาจจะยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่ามีสาเหตุเกิดจากอะไร เพราะเราไม่ได้มาจากสายการแพทย์ แต่จากการติดตามข่าวพบว่า นัทเขาหลับไปแล้วไม่ตื่นอีกเลย ซึ่งผมคิดว่าภาพที่ทุกคนเห็น คือการทํางานหนักของของนัท และแวดวงสังคมของคนทํางานข่าว” มานะ กล่าว
แม้จะยังไม่สามารถสรุปสาเหตุได้ แต่การเสียชีวิตของณัฐวุฒิก็ทำให้เกิดบทสนทนาเพื่อทบทวนสวัสดิการและสวัสดิภาพของสื่อมวลชนตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมานะได้สรุปประเด็นปัญหาที่นักข่าวหนึ่งคนต้องเผชิญจากการทำงาน ดังนี้
“จริงๆ นักข่าวจะมี ‘ความกดดัน’ อยู่แล้ว ด้วยลักษณะงานที่ต้องเจอกับเหตุการณ์ต่างๆ และมีเดดไลน์ แต่ว่าอดีตจะมีแพลตฟอร์มหลักๆ เพียงแค่สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ แม้โดนบีบโดยเงื่อนเวลาเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้หนักเหมือนวันนี้” มานะ อธิบาย
มานะกล่าวว่า นักข่าวในปัจจุบันต้องทำงานแข่งกับเวลามากกว่าอดีต เพราะหากย้อนไปสมัยที่สื่อหนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์รุ่งเรือง ก็จะมีความกดดันจากการกำหนดเวลา ‘ปิดข่าว’ ที่ผู้สื่อข่าวทุกคนต้องส่งเนื้อหาให้กองบรรณาธิการภายในเวลาที่กำหนด และตรวจสอบข้อเท็จจริงต่างๆ ก่อนถึงเวลาเผยแพร่เนื้อหาสู่สาธารณะ
แต่เมื่อสื่อออนไลน์เข้ามา รูปแบบการทำงานของนักข่าวก็เปลี่ยนไป โดยถูกบีบให้ต้องผลิตข่าวแบบเรียลไทม์เพื่อแข่งขันกันทุกแพลตฟอร์ม ซึ่งนอกจากการแข่งขันระหว่างสื่อกันเองแล้ว ยังมีการแข่งขันกับเพจออนไลน์และอินฟลูเอนเซอร์ต่างๆ ด้วย
“การแข่งขันนี้กลายเป็นแรงกดดันเรื่อง ‘ความเร็ว’ จนหลายๆ ครั้ง ‘ความถูกต้อง’ ก็ถูกละเลยด้วยซ้ําไป” มานะ กล่าว
ความเร็วที่กดดันนักข่าวหลายๆ คน สัมพันธ์กับการประเมินผลหรือ KPI ที่สื่อบางสำนักใช้วิธีการประเมินผลงานนักข่าวจาก ‘จำนวนข่าว’ ที่ถูกรายงาน หรือ ‘ยอดการเข้าถึง’ ของผลงานแต่ละชิ้น แม้แต่สื่อโทรทัศน์ซึ่งเดิมประเมินผลตาม ‘รายการข่าว’ ก็เปลี่ยนเป็นการวัดผลจากยอดชม ‘ข่าวรายชิ้น’ เช่นกัน
หากถามว่าทำไมยอดการเข้าชมถึงกลายเป็นเครื่องมือประเมินการทำงานของนักข่าว ทั้งที่อาจมีตัวชี้วัดอื่นที่ดีกว่า อย่างคุณภาพของเนื้อหา คำตอบนั้นคือ ปัจจัยเรื่อง ‘ธุรกิจสื่อ’ ซึ่งกำลังเผชิญภาวะซบเซา เนื่องจากองค์ข่าวไม่สามารถทำกำไรได้มากนัก และเงินสนับสนุนก็หาได้ยากกว่าในอดีต
ธุรกิจสื่อหลายแห่งจึงพยายามลดต้นทุน ทั้งในส่วนจำนวนบุคลากรและสวัสดิการพนักงาน ทำให้คนข่าวที่ยังอยู่ต้อง ‘แบกภาระงาน’ ที่มากกว่าปกติ คือ ทำงานทั้งในส่วนของตัวเองและส่วนของเพื่อนร่วมงานที่ลาออกหรือถูกเชิญออกไป กระนั้น ค่าตอบแทนก็ไม่ได้สูงตามภาระงานที่ได้รับ
นอกจากนั้น นักข่าวบางคนยังเผชิญปัญหาความเครียดสะสมจากการรายงาน ‘ข่าวร้าย’ ติดต่อกันหลายวัน โดยเฉพาะช่วงเกิดเหตุภัยพิบัติหรือความรุนแรงในการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งทำให้เกิดความเครียดทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว เมื่อมาผสมกับปัจจัยอื่นๆ แล้ว ความกดดันของนักข่าวก็ยิ่งทวีขึ้นไปอีก
“ปัจจัยพวกนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งที่ทําให้นักเรียนสื่อหลายๆ คน ที่พอเข้าสู่แวดวงสื่อมวลชนแล้ว ก็มักเปลี่ยนใจหรือขยับตัวไปทําอาชีพอื่น เพราะการทำข่าวต้องเผชิญความกดดันมาก แต่ผลตอบแทนกลับไม่สูงนัก หลายคนที่เข้ามาด้วยอุดมการณ์หรือความรู้สึกที่อยากจะทําอะไรบางอย่าง ก็มักถอนตัวกันหลังทำงานไปได้ 2-3 ปี ส่วนคนที่อยู่มาก่อนก็ต้องแบกภาระงานที่หนักไปเรื่อยๆ” มานะ อธิบายข้อสังเกตของเขา
แล้วทำไมนักข่าวถึงต้องทำงานหนักจนละเลยการพักผ่อนหรือการดูแลสุขภาพตัวเอง?
“ผมว่านักข่าวโดยส่วนใหญ่ซึ่งเป็นมาตั้งแต่สมัยก่อน คือ ‘สนุกกับงาน’ มากเกินไป เพราะงานข่าวเป็นงานที่ท้าทาย … โดยเฉพาะช่วงวัย 20-30 ปี ก็ยังรู้สึกมีไฟ อยากทำข่าวให้ได้เต็มที่ อยากทําให้ดี แต่ขณะเดียวกัน วัฒนธรรมขององค์กรข่าว ก็มักเชิดชูคนที่ที่ลุยข่าวได้โดยไม่หลับไม่นอน” มานะ กล่าว
มานะเล่าว่า การทำงานข่าวไม่ได้มีการตอกเวลาเข้า-ออกงานที่ตายตัวเหมือนพนักงานออฟฟิศทั่วไป เพราะถึงกำหนดเวลาเลิกงานไว้ 6 โมงเย็น แต่บางทีงานข่าวก็ลากยาวไปอีก ซึ่งคนที่สามารถทำงานได้เยอะและเร็วก็มักได้รับการชื่นชมจากองค์กร ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่สนับสนุนให้คนทำงานหนัก โดยละเลยการดูแลสภาพร่างกายหรือจิตใจ ทั้งที่อาจมีบางคนสามารถบริหารจัดการเวลาได้ พร้อมทําข่าวที่ตนเองรับผิดชอบได้ดี แต่เมื่อไม่ได้ทำงานล่วงเวลาก็ไม่ได้รับการชื่นชม
ทั้งนี้ มีนักข่าวบางส่วนที่ดูเหมือนยินยอมพร้อมทำงานหนัก โดยเฉพาะคนที่สนุกกับการทำงาน เพราะเห็นว่างานข่าวท้าทาย และมีไฟที่จะผลิตผลงานแต่ละชิ้นออกมาให้ดี ซึ่งมานะมองว่าบรรณาธิการหรือหัวหน้าควรสังเกตและสะกิดให้นักข่าวคนนั้นได้พักผ่อนบ้าง
ยกตัวอย่างกรณีส่งผู้สื่อข่าวไปรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภัยพิบัติหลายวัน ก็ควรส่งนักข่าวคนอื่นไปสลับตัว เพื่อให้แต่ละคนได้มีเวลาพักสภาพร่างกายและจิตใจอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ ก่อนกลับมาลุยงานต่อ แต่ในทางปฏิบัติ องค์กรส่วนใหญ่จะให้นักข่าวพักเพียง 2-3 วัน แล้วกลับมาทำงานทันที
เนื่องจากบรรณาธิการบางส่วนยังนิยมการใช้อำนาจกดดันหรือด่าทอ เพื่อให้ผู้สื่อข่าวทำงานสำเร็จตามเป้าหมาย โดยไม่ทำความเข้าใจหรือผ่อนปรนให้นักข่าวพักผ่อนก่อนได้ ซึ่งบรรณาธิการเหล่านี้มักใช้ความเคยชินจากวัฒนธรรมการทำงานแบบเดิม จึงคิดว่าตนเองทนได้ คนอื่นก็ต้องทนได้เช่นกัน
ดังนั้น หากนักข่าวบางคนจะรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะไม่ไหวและต้องการพักผ่อน แต่บรรณาธิการมีบุคลิกที่ดูเหมือนไม่เปิดใจรับฟัง นักข่าวบางคนอาจไม่กล้าสื่อสารกับหัวหน้าโดยตรง จนทำให้สะสมเป็นความเครียดซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและใจในท้ายที่สุด
“บางวัฒนธรรมองค์กรไม่ได้เปิดช่องให้คนทำงานได้พูดคุยสะท้อนปัญหาที่ตัวเองกำลังเผชิญ แต่บางองค์กรที่หัวหน้างานมีความเข้าใจเรื่องนี้ เขาอาจสังเกตเห็นสัญญาณบางอย่างจากลูกทีมและเข้าไปพูดคุยได้โดยตรง โดยลูกทีมก็พร้อมที่จะบอกอย่างตรงไปตรงมาว่าตอนนี้ตัวเองกำลังเผชิญปัญหาอะไรอยู่ เช่น อกหัก พ่อแม่ป่วยหนัก มีปัญหาครอบครัว เป็นต้น” มานะ กล่าว
นอกจากนั้น ยังมีอีกปัญหาที่สัมพันธ์กับปัจจัยที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ คือ เมื่อมีการเลิกจ้างพนักงานหรือรัดเข็มขัดองค์กร ทำให้เหลือคนทำงานน้อยกว่าภาระงานที่มีอยู่ นักข่าวบางจึง ‘ไม่กล้า’ ลางานหรือพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูตัวเอง เนื่องจากห่วงว่าจะทำให้เพื่อนที่เหลืออยู่มีภาระงานเพิ่มขึ้น
“สมมุติ โต๊ะข่าวนึงเหลือคนทำงาน 3-4 คน แล้วข่าวมันเยอะ ก็ยิ่งทําให้คนที่เจอปัญหาไม่กล้าพูด เพราะรู้สึกว่าถ้าพูดหรือขอหยุด เพื่อนก็ต้องโหลดงานหนักไปอีก” มานะ กล่าว
ข้อเสนอเพื่อสร้างสวัสดิภาพที่ดีของสื่อมวลชน
จากการพูดคุยข้างต้น พบว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในแวดวงการทำงานของสื่อมวลชนมีต้นตอมาจากปัจจัยที่นักข่าวแทบจะควบคุมไม่ได้ ด้วยสภาพงานที่ให้ความสำคัญกับการเป็น ‘ผู้รายงานข่าวคนแรก’
เนื่องจากยิ่งรายงานเร็ว ยอดการเข้าถึงก็ยิ่งสูง ส่งผลโดยตรงต่อการประเมินผลงาน (KPI) ขณะที่องค์กรสื่อเองก็ต้องพยายามเอาตัวรอดในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจและการรัดเข็มขัด ทำให้แรงกดดันเหล่านี้ตกมาอยู่บนบ่าของคนทำงาน
The MATTER จึงถามถึงข้อเสนอเพื่อการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของนักข่าวกับนักวิชาการสื่อท่านนี้
“ผมคิดว่าองค์กรวิชาชีพควรหันมาคุยกัน เพราะถ้ารอให้สํานักข่าวทำก็อาจไม่ทําหรอก เพราะเหล่านี้เป็นเรื่องของธุรกิจ เม็ดเงิน กําไร เจ้าของสื่อเองก็คงไม่ได้หันมาให้ความสําคัญกับเรื่องนี้มากนัก” มานะ ระบุ
มานะเสนอว่า นี่ควรเป็นวาระใหญ่ที่องค์กรวิชาชีพต่างๆ เช่น สมาคมนักข่าวฯ สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กสทช. ฯลฯ จะหันมาให้ความสําคัญกับการผลักดันนโยบายการเพิ่มสวัสดิการให้กับสื่อมวลชนมากขึ้น
เพราะที่ผ่านมาสื่อมวลชนได้ทำข่าวเสนอข้อเรียกร้องให้กลุ่มคนอื่นๆ “แต่เราไม่ค่อยเรียกร้องเพื่อขอความช่วยเหลือหรือสวัสดิการให้ตัวเอง” แม้มีสหภาพแรงงานสื่อมวลชนแต่ก็ไม่ได้มีบทบาทมากนัก ไม่สามารถเป็นตัวแทนในการเรียกร้องสวัสดิการของตัวเองได้อย่างแท้จริง
“อย่าลืมว่านักข่าวเองก็เป็นแรงงานแบบหนึ่งนะครับ แต่เราไม่เคยได้สวัสดิการหรือเรียกร้องสิทธิบางอย่างที่เราควรได้รับการคุ้มครอง ผมว่าเราควรจะใช้โอกาสนี้ในการหันกลับมาพูดคุยและผลักดันให้ (สวัสดิการ) เกิดขึ้น” มานะ กล่าว
ทั้งนี้ ระหว่างที่รอการผลักดันสวัสดิการคนทำสื่อซึ่งไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้หรือไม่ องค์กรข่าวแต่ละแห่งก็ควรสร้างพื้นที่กลางให้คนทำงานได้ระบายความเครียดที่สะสมไว้ เปิดโอกาสให้นักข่าวได้หยุดพักหากรู้สึกว่าสภาพร่างกายหรือจิตใจไม่ไหว
รวมถึงลงทุนกับสวัสดิการด้านสุขภาพกาย สุขภาพใจ ให้มากขึ้น ไม่ใช่แค่ให้ใช้สิทธิประกันสังคม หรือการตรวจสุขภาพประจําปี เพราะการดูแลสวัสดิภาพคนทำงานมีรายละเอียดมากกว่านั้น
มานะกล่าวทิ้งท้ายว่า การสร้างสวัสดิภาพที่ดีให้คนทำงานต่างมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่ก็อยากชวนองค์กรสื่อต่างๆ ร่วมคิด ว่าการที่เราละเลยปัญหาตรงนี้ แล้วสูญเสียบุคลากรที่มีคุณภาพไปจนต้องมานั่งเสียใจทีหลัง เป็นการไม่ลงทุนที่คุ้มกับผลลัพธ์ที่ได้มาหรือไม่
เพราะการมีสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี ย่อมส่งผลต่อสุขภาพกายและใจของคนทำงาน ซึ่งหากนักข่าวแต่ละคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี พวกเขาก็จะสามารถผลิตงานดีๆ ให้องค์กรและสังคมต่อไป