เครื่องบินแอร์บัสลดระดับลงสู่ท่าอากาศยานนราธิวาส…
เวลาเที่ยงตรง นอกเหนือจากแสงแดดที่สะท้อนผิวทะเล ทัศนียภาพแรกที่ทุกคนบนเครื่องจะได้เห็น คือต้นมะพร้าวสูงใหญ่รายเรียงหาดบ้านทอน หาดที่ว่ากันว่าเป็นแลนด์มาร์กชมเครื่องบินแห่งใหม่ ไม่ต่างอะไรจากหาดไม้ขาว ที่อยู่ติดกับท่าอากาศยานภูเก็ต
นราธิวาสมีขนาดพื้นที่ราว 4,475 ตารางกิโลเมตร ถือว่าเป็นจังหวัดกลางๆ หากเทียบกับจังหวัดอื่น แต่หากมองให้ลึกจะพบว่าป่าเขาได้กินพื้นที่ 2 ใน 3 ของจังหวัดไปแล้ว โดยทิศเหนือติดกับปัตตานี ตะวันออกติดอ่าวไทย และทางใต้สิ้นสุดลงที่แม่น้ำโก-ลก ซึ่งถือเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างไทยกับมาเลเซียด้วย
แต่เดิมในภาษามลายู พื้นที่แห่งนี้ถูกเรียกว่า เมอนารา (Menara) มาจากคำว่า กัวลา เมอนารา (Kuala Menara – กัวลา หมายถึง ปากน้ำ และ เมอนารา หมายถึง กระโจมไฟหรือหอคอย) ขณะที่ชาวไทยพุทธเรียกว่า บางนรา จนกระทั่งรัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเป็น นราธิวาส ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2458

ท่าอากาศยานนราธิวาส

อาหารมื้อแรกที่นราธิวาส
ที่จังหวัดใต้สุดของไทยแห่งนี้ สิ่งแรกที่รอต้อนรับเราคือปลากุเลาเค็ม แกงส้ม กุ้งต้มกะทิ ยำมะม่วงใส่มะพร้าว และอีกหลายเมนูท้องถิ่นขึ้นชื่อ
ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าว แม้ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม เราลงพื้นที่ จ.นราธิวาส เพื่อรายงานเกี่ยวกับภารกิจต่างๆ ของกระทรวงการต่างประเทศในพื้นที่ รวมทั้งที่ร่วมมือกันกับหน่วยงานอื่นๆ ทั้งในไทย และในอีกฝั่งของชายแดน ที่ต้องข้ามไปฝั่งมาเลเซีย ณ เมืองโกตาบารู รัฐกลันตัน
รถขับผ่านด่านตรวจที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำการแล้วจำนวนมาก บัดนี้ เรากำลังมุ่งหน้าสู่ อ.ตากใบ ริมแม่น้ำโก-ลก เพื่อสำรวจชายแดน และภารกิจด้านเขตแดนระหว่างไทยกับมาเลเซีย ที่ดำเนินร่วมกันมาอย่างยาวนาน

วิถีชีวิตริมแม่น้ำโก-ลก ที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส
1.
เขตแดนไทย-มาเลเซีย ตามแนวแม่น้ำโก-ลก
หนึ่งในกำหนดการคือ เราต้องลงเรือเพื่อสำรวจหลักอ้างอิงเขตแดน ตามแนวแม่น้ำโก-ลก
เส้นเขตแดนในแม่น้ำโก-ลกถือเป็นส่วนหนึ่งของพรมแดนไทย-มาเลเซีย ซึ่งมีระยะทางยาวทั้งหมด 662 กิโลเมตร แบ่งเป็นเขตแดนตามแนวสันปันน้ำ 556 กิโลเมตร และเขตแดนตามแนวร่องน้ำลึก 106 กิโลเมตร ฝั่งไทยครอบคลุม จ.สตูล จ.สงขลา จ.ยะลา และ จ.นราธิวาส และฝั่งมาเลเซียครอบคลุมรัฐปะลิส เกดะห์ เประ และกลันตัน
หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า สันปันน้ำ แต่อาจจะยังไม่แน่ใจว่าหมายถึงอะไร สันปันน้ำ หรือ watershed คือ สันเขา หรือที่สูง ซึ่งแบ่งน้ำฝนออกเป็น 2 ฟาก ให้ไหลลงไปในแต่ละด้าน โดยไม่มีการไหลย้อนกลับ และมักใช้ในการกำหนดเขตแดนกันอยู่แล้ว
ส่วน ร่องน้ำลึก หรือ thalweg ก็หมายถึง ร่องทางเดินของน้ำ ที่เป็นส่วนที่ลึกที่สุดของแม่น้ำ

เขตแดนไทย-มาเลเซีย
เขตแดนไทย-มาเลเซีย มีที่มาที่ไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2452 หรือ ค.ศ. 1909 หรือก็คือในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อสยามและอังกฤษลงนามใน สนธิสัญญาอังกฤษ-สยาม เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2452 ส่งผลให้มีการปักปันเขตแดน ซึ่งกลายมาเป็นเส้นเขตแดนดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
สนธิสัญญาดังกล่าว ยังเป็นการตกลงกันว่า สยามจะยกสิทธิการปกครองและบังคับบัญชาเหนือ 4 รัฐมลายู คือ กลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี (เกดะห์) และปะลิส ให้กับอังกฤษ การตกลงครั้งนี้เป็นบริบทส่วนหนึ่งที่จะพัฒนากลายมาเป็นวาทกรรม ‘เสียดินแดน’ ที่คนไทยคุ้นเคยกันดี เรื่องนี้ถ้าจะถกเถียงกันในแง่ประวัติศาสตร์ ก็คงจะอภิปรายกันไม่จบ
แต่เส้นเขตแดนที่ตกลงกันในครั้งดังกล่าว ก็กลายมาเป็นพรมแดนที่ยังคงจับต้องได้ในศตวรรษที่ 21 ทั้งนี้ก็เพราะในกฎหมายระหว่างประเทศ เราต่างยึดถือหลักการที่เรียกว่า การสืบสิทธิ (succession) เป็นสำคัญ
กล่าวคือ เมื่อมาเลเซียเป็นเอกราชจากเจ้าอาณานิคมอย่างอังกฤษ ก็ยังคงต้องรับเอาสนธิสัญญาที่ตกลงกันไว้เรื่องเขตแดนระหว่างสยามกับอังกฤษมาด้วย เพื่อให้เขตแดนมีความแน่นอน มีความมั่นคง

ด่านศุลกากรตากใบ

กาจฐิติ วิวัธวานนท์ ผอ.กองเขตแดน บรรยายถึงภารกิจด้านเขตแดนไทย-มาเลเซีย
ที่ด่านศุลกากรตากใบ ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่ง ปากแม่น้ำโก-ลก กาจฐิติ วิวัธวานนท์ ผอ.กองเขตแดน และ พ.อ.จีระศักดิ์ บรรเทิง แม่กองสนามจัดทำหลักเขตแดนไทย-มาเลเซีย อธิบายเกี่ยวกับภารกิจด้านเขตแดนให้เราฟัง
“เราตบมือข้างเดียวไม่ได้ เราต้องทำร่วมกัน” ผอ.กองเขตแดนอธิบายเบื้องต้น ถึงการดำเนินการด้านเขตแดน ที่ต้องร่วมมือกันทั้งไทยและมาเลเซีย
ขณะที่ทางฝั่งไทยเอง เขาเล่าว่า “เราทำงานคนเดียวไม่ได้ เราต้องมีทีม”
ดังนั้น จึงมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้แทนจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานในระดับเทคนิค เช่น กรมแผนที่ทหาร และกรมอุทกศาสตร์
เมื่อบรรยายไปได้พอสมควร เราจึงลงเรือตำรวจน้ำ เพื่อสำรวจพื้นที่

เรือเฟอร์รี่เทียบท่าที่ด่านศุลกากรตากใบ ก่อนข้ามไปฝั่งมาเลเซีย

ลงเรือสำรวจเขตแดนในแม่น้ำโก-ลก

แม่น้ำโก-ลก
เรือเริ่มเดินทางจากปากแม่น้ำที่ฝั่งอ่าวไทย และแล่นเข้ามาเรื่อยๆ
แม่น้ำโก-ลก มีความยาวมากกว่า 100 กิโลเมตร ครอบคลุมในส่วนที่เป็นเขตแดนตามร่องน้ำลึกของพรมแดนไทย-มาเลเซียทั้งหมด อย่างไรก็ดี ตลอดสายของแม่น้ำ ส่วนใหญ่มีความกว้างไม่ถึง 100 เมตร บ้างก็ว่า “พายเรือ 3 จ้ำ” ก็ข้ามฝั่งได้แล้ว เมื่อหลายปีก่อน ยังเคยมีข่าวน้ำลดระดับ จนคนเดินข้ามไปมาได้
เรือแล่นมาได้เพียงประมาณ 1 กิโลเมตร ก็จะเจอกับทางแยกของแม่น้ำ ซึ่งจะแตกสาขาออกมาเป็นแม่น้ำบางนรา อีกหนึ่งแม่น้ำสายหลักของนราธิวาส
และหากนั่งเรือลึกเข้าไปอีกราวๆ 30 กิโลเมตร ก็จะพบกับตัวเมืองสุไหงโก-ลก อีกหนึ่งศูนย์กลางสำคัญ โดยเฉพาะในด้านการค้าชายแดน
ริมสองฝั่งแม่น้ำมีชุมชนกระจายตัวประปราย มองเผินๆ จากบนเรือ บรรยากาศแทบไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะฝั่งไหน สิ่งที่อาจจะพอทำให้แยกได้ คืออักษรรูมีบนอาคารบ้านเรือน หรือก็คืออักษรโรมันที่ใช้กำกับภาษามลายูในฝั่งมาเลเซีย นอกเหนือไปจากนั้น ก็มีเพียงชาวบ้านที่ใช้ชีวิตตามวิถีริมชายแดนอย่างเรียบง่าย

อาคารหลักเล็งจุด B หรือ Transit Point B จุดแบ่งเขตแดนทางบกและทางทะเล
2.
ภารกิจปักปัน-ปักหลักเขตแดน ที่ยังคงดำเนินต่อไป
“คนไปดูเขตแดน มี 2 ประเด็นที่ชอบใช้ศัพท์ผิดกัน – ปักปัน กับ ปักหลัก ใครรู้บ้างครับว่ามันต่างกันยังไง” ผอ.กองเขตแดนตั้งคำถามชวนคิด ตั้งแต่ก่อนที่เราจะลงเรือ
แท้จริงแล้ว 2 อย่างนี้เป็นกระบวนการที่แตกต่างกัน แต่เป็นขั้นตอนที่ต่อเนื่องกัน
การปักปันเขตแดน (delimitation) ก็คือการเจรจากำหนดเขตแดนในเชิงหลักการ ในกรณีของไทย-มาเลเซีย ก็คือการเจรจาจนได้มาเป็นสนธิสัญญาอังกฤษ-สยามดังที่กล่าวถึงไปแล้วข้างต้น
เมื่อปักปันเขตแดนได้แล้ว ก็นำมาสู่ขั้นตอนของ การปักหลักเขตแดน (demarcation) หรือขั้นตอนของการสำรวจว่าเส้นเขตแดนอยู่ตรงไหน และสร้างหลักหมายต่างๆ ในภูมิประเทศจริง เพื่อให้เส้นเขตแดนที่ตกลงกันไว้ สามารถมองเห็นและสัมผัสได้จริง
พ.อ.จีระศักดิ์อธิบายว่า การปักหลักเขตแดนไทย-มาเลเซีย สามารถแบ่งได้เป็น 3 ยุคหลักๆ

พ.อ.จีระศักดิ์ บรรเทิง แม่กองสนามจัดทำหลักเขตแดนไทย-มาเลเซีย

ตัวอย่างหลักอ้างอิงเขตแดน
ยุคที่ 1 ระหว่างปี พ.ศ. 2453-2455 ภายหลังลงนามในสนธิสัญญากับอังกฤษ โดยเป็นการปักหลักเขตแดนเดิมได้ 109 หลัก ตามแนวเขตแดนทางบก
ยุคที่ 2 ระหว่างปี พ.ศ. 2516-2518 กรมแผนที่ทหาร และกรมสำรวจและทำแผนที่มาเลเซีย (JUPEM) สำรวจและปักหลักเขตแดนร่วมกัน ได้ถึง 12,169 หลัก
ยุคที่ 3 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 จนถึงปัจจุบัน เป็นการซ่อมแซม และบำรุงรักษาหลักเขตแดนในยุคที่ 2 ที่ชำรุดและสูญหาย
ในส่วนของเขตแดนในแม่น้ำโก-ลก ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทั้งฝั่งไทยและมาเลเซียได้ดำเนินการสำรวจร่วมกัน เป็นเวลาถึง 9 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543-2552 เพื่อปักปันเขตแดนแบบคงที่ หรือที่เรียกว่า fixed and permanent boundary ที่ไม่ว่าแม่น้ำจะเปลี่ยนทางเดินไปอย่างไร เขตแดนก็จะมีพิกัดที่คงที่เหมือนเดิม
ข้อมูลจาก พ.อ.จีระศักดิ์ ระบุว่า จากการดำเนินการ 9 ปี ส่งผลให้มีปักหลักอ้างอิงเขตแดน และหลักอ้างอิงเสริมได้ 1,550 คู่ รวมทั้งสิ้น 6,200 หลัก ทั้งฝั่งไทยและมาเลเซีย

ตัวอย่างการปักปันเขตแดนแบบคงที่ บริเวณปากแม่น้ำโก-ลก
หลักอ้างอิงเขตแดน หลักอ้างอิงเสริม คืออะไร?
กาจฐิติอธิบายในเรื่องนี้ว่า “หลักอ้างอิงเขตแดนไม่ใช่หลักเขตแดน เพราะเส้นเขตแดนอยู่ในแม่น้ำ เราถึงเรียกว่า หลักอ้างอิงเขตแดน เพราะเราปักหลักกลางแม่น้ำไม่ได้ ต่างจากเขตแดนทางบก ซึ่งเราเรียกว่า หลักเขตแดน โดยใช้สันปันน้ำ”
ใน 1 แนว จะประกอบไปด้วยหลักอ้างอิงเขตแดนรวมทั้งหมด 4 หลัก ฝั่งละ 2 หลัก หลักที่อยู่ใกล้แม่น้ำจะเรียกว่า หลักอ้างอิงเขตแดน (BRP) ซึ่งที่หัวหลักจะชี้ลงไปในแม่น้ำ ทำให้ทราบเขตแดนที่แท้จริง ส่วนที่เข้ามาทางบกมากขึ้น เรียกว่า หลักอ้างอิงเสริม (ARM) เพื่อช่วยยืนยันพิกัดของหลักอ้างอิงเขตแดน
และหลังจากนี้ ก็จะต้องมีการผลักดัน เพื่อให้มีการเจรจา และลงนาม MOU ระหว่างไทยกับมาเลเซีย รับรองผลการปักปันเขตแดนแบบคงที่ดังกล่าวต่อไป
“ความเป็นไปของการดำเนินการตลอด 9 ปี ต้องใช้ความพยายาม ตบมือข้างเดียวไม่ได้นะครับ ต้องตกลงและเห็นชอบร่วมกัน ถึงจะสามารถดูได้ว่า เขตบ้านเรา เขตแดนของเราอยู่ตรงไหน” ผอ.กองเขตแดนอธิบาย

ณัฐพล ขันธหิรัญ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์หลังขึ้นเรือที่ฝั่งมาเลเซีย
หลังสำรวจแม่น้ำโก-ลก เรียบร้อยแล้ว เราขึ้นเรือที่ด่านศุลกากรฝั่งมาเลเซีย ตรงข้ามกับตากใบ ที่ริมแม่น้ำอีกฟากของชายแดนแห่งนี้ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศให้สัมภาษณ์กับถึงภาพรวมของภารกิจด้านเขตแดนไทย-มาเลเซีย
“ในเรื่องของการปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับมาเลเซีย เราจะเห็นว่า มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ” รองปลัดฯ ณัฐพล กล่าว
“แน่นอน เรื่องดินแดนและอธิปไตยเป็นเรื่องอันดับหนึ่งอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ เรากำลังมองก้าวข้ามไปอีกระดับหนึ่ง คือว่า เราจะทำยังไงให้การปักปันเขตแดนนำไปสู่ประโยชน์ของประชาชนสองฝั่ง เราต้องการให้ประชาชนสองฝั่ง เป็นมิตรที่ดีต่อกัน มีการไปมาหาสู่กัน มีการค้า
“การปักปันเขตแดนที่มีความชัดเจน ที่ป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาต่างๆ จะนำไปสู่การอำนวยความสะดวกให้ประชาชนสองฝั่ง มีความกินดีอยู่ดี แลกเปลี่ยนสินค้ากันไปกันมาระหว่างกัน นี่คือเป้าหมายระยะยาวของเรา และเราก็คิดว่า สถานะของการปักปันเขตแดนด้านไทย-มาเลเซีย จะเป็นตัวอย่างให้เราทำกับเมียนมา ลาว และกัมพูชา”
ในระหว่างที่รองปลัดฯ ให้สัมภาษณ์อยู่ที่ฝั่งมาเลเซีย เสียงอะซานก็ดังขึ้นจากตากใบ – ยิ่งตอกย้ำความใกล้ชิดทางวัฒนธรรมของทัังสองฝั่ง

ประชาชนที่ด่านเป็งกาลันกูโบ (Pengkalan Kubor) ตั้งอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำโก-ลก ตรงข้ามกับตากใบ
3.
วิถีชายแดน
ขึ้นเรือที่มาเลเซีย – เราเดินทางต่อเพื่อไปพบปะกับชุมชนชาวสยามในรัฐกลันตัน
สนธิสัญญาอังกฤษ-สยาม ค.ศ. 1909 นอกจากจะทำให้เขตแดนไทย-มาเลเซีย เป็นรูปเป็นร่างดังในปัจจุบันแล้ว ยังส่งผลอีกอย่างหนึ่งที่เป็นรูปธรรม และเราได้สัมผัสด้วยตาในวันนี้ นั่นคือ ทำให้คนเชื้อสายสยามหรือที่เรียกกันในท้องถิ่นว่า ชาวสยาม ต้องกลายเป็นพลเมืองของอีกชาติไป เพราะการยก 4 รัฐมลายูให้กับอังกฤษ
ศูนย์กลางของชุมชนชาวสยามในรัฐกลันตัน อยู่ที่วัดพิกุลทองวราราม อ.ตุมปัต ถัดออกมาจากชายแดนเล็กน้อย กล่าวขานกันว่าเป็นวัดที่มีอายุถึง 700 ปี และเจ้าอาวาส พระครูสุวรรณวรานุกูล ก็เปรียบเสมือนหัวหน้าชุมชนไปด้วย ไม่ต่างจากชุมชนไทยในอดีต

พบปะชุมชนชาวสยาม

พระครูสุวรรณวรานุกูล เจ้าอาวาสวัดพิกุลทองวราราม อ.ตุมปัต รัฐกลันตัน มาเลเซีย (ภาพจาก กระทรวงการต่างประเทศ)
“ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน คนสยามส่วนมากจะสร้างวัด วัดจะมาพร้อมกับคนสยามที่มาอยู่ เมื่อคนสยามอยู่กันเป็นชุมชน ส่วนมากสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือวัด เพราะฉะนั้น สันนิษฐานได้ว่า วัดเกิดขึ้นพร้อมกับคนสยามที่อยู่ที่นี่
“ถ้าคนสยามที่อยู่ที่นี่ประมาณ 700 กว่าปี วัดก็ประมาณนั้น” ท่านเจ้าอาวาสให้สัมภาษณ์
รัฐกลันตันถือเป็นรัฐที่เคร่งศาสนาอิสลามมากที่สุดในมาเลเซีย โดยมีประชากรที่เป็นคนมุสลิมมากกว่า 90% แต่วัดพุทธสยาม และชาวพุทธก็ยังดำรงอยู่ได้เคียงคู่มัสยิด
เรื่องนี้ชวนให้กลับมามองจังหวัดชายแดนภายใต้ อย่างเช่น จ.นราธิวาส เอง ก็มีประชากรที่เป็นคนมุสลิมถึง 82% และนับถือพุทธเพียง 17% – ในแง่ประชากรศาสตร์ยิ่งสะท้อนความคล้ายคลึงของสองฝั่งแม่น้ำโก-ลก และสองฝั่งชายแดน

สะพานรถไฟข้ามชายแดน ที่สุไหงโก-ลก
หลังเสร็จภารกิจในมาเลเซีย เราเดินทางกลับประเทศไทย ผ่านด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก นั่นจึงทำให้เราได้เข้าไปรับฟังการบรรยายเกี่ยวกับการนำเข้า-ส่งออกของด่านฯ ด้วย
จากสถิติพบตัวเลขที่น่าสนใจ เช่น ในปีงบประมาณ 2566 ไม้แปรรูปจากมาเลเซียถูกนำเข้ามามากที่สุด มีน้ำหนักถึง 22 ล้านกิโลกรัม คิดเป็นมูลค่านำเข้าประมาณ 321 ล้านบาท และปลาทะเลทั้งตัวแช่เย็น ก็ติดอันดับทั้งนำเข้าและส่งออก โดยนำเข้ามา 2 ล้านกิโลกรัม (48 ล้านบาท) และส่งออกไปมาเลเซีย 10 ล้านกิโลกรัม (219 ล้านบาท)
อีกตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ ครีมเทียมข้นหวานชนิดพร่องไขมัน ซึ่งก็เคยติดอันดับนำเข้าจากมาเลเซีย ธีร์ จิตรพิทักษ์เลิศ ผอ.ส่วนควบคุมทางศุลกากร อธิบายในเรื่องนี้ว่า เป็นเพราะชาวมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้เชื่อมั่นในครีมเทียมฮาลาลที่ผลิตจากมาเลเซียมากกว่า
เขายังบอกอีกว่า ไทยกับมาเลเซียเปรียบเสมือนเป็น ‘บ้านพี่เมืองน้อง’ อย่างสินค้าเช่นปลาทะเล ฤดูไหนที่ไทยจับไม่ได้ ก็นำเข้าจากมาเลเซีย และเมื่อมาเลเซียจับไม่ได้ ก็นำเข้าจากไทย

กลับสู่ฝั่งไทย ผ่านสะพานมิตรภาพ 1 (ไทย-มาเลเซีย) ที่สุไหงโก-ลก
แม้ในยุคสมัยปัจจุบัน ที่โลกยังคงยึดถือระบบระหว่างประเทศที่มีรัฐชาติเป็นตัวแสดงสำคัญ ซึ่งนักเรียนวิชาสังคมศึกษาคงจะท่องจำกันได้จนขึ้นใจว่า รัฐมีองค์ประกอบ 4 อย่าง คือ ประชากร ดินแดน รัฐบาล และอำนาจอธิปไตย
ดังนั้น โลกไร้พรมแดนอย่างแท้จริงคงจะไม่เกิดขึ้นในเร็ววันนี้
แต่หากพูดกันแบบพลเมืองโลกสักหน่อย และจากทั้งหมดที่เราได้ไปสำรวจมา ก็คงจะไม่ผิดนัก ถ้าจะบอกว่า พื้นที่สองฝั่งชายแดนไทย-มาเลเซีย ไม่ใช่บ้านพี่เมืองน้อง หากแต่เป็นบ้านเดียวกัน
พงษ์ประภัสสร์ แสงสุริยง